<![CDATA[บทความ]]> https://encom.co.th/blog/ Thu, 28 Nov 2024 23:41:34 +0000 Zend_Feed http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss <![CDATA[ถังดับเพลิง co2 ที่ไม่มีเกจ์วัดแรงดัน เราจะสามารถตรวจเช็คได้อย่างไร]]> https://encom.co.th/blog/co2-fire-extinguisher-without-pressure-gauge-How-to-check/ นำถังดับเพลิง ไปชั่งน้ำหนัก โดยน้ำหนักเครื่องดับเพลิง co2 อยู่ที่ประมาณ 14.5 – 16 กิโลกรัม

]]>
Thu, 17 Aug 2023 07:19:04 +0000
<![CDATA[ทำไมเครื่องดับเพลิงประเภท Co2 จึงระบุไว้ว่าสามารถดับ Class B และ Class C แค่2ชนิดโดยที่ไม่ระบุ Class A ในเมื่อเชื้อเพลิงClass C จริงๆแล้วก็คือของแข็ง?]]> https://encom.co.th/blog/Why-Co2-type-fire-extinguishers-can-extinguish-ClassB-and-ClassC/ เครื่องดับเพลิงชนิด Co2 สามารถดับเพลิง Class A ได้ แต่ไม่สามารถระบุได้เนื่องจาก

  • เชื้อเพลิง Class A นั้นมีไม้และกระดาษรวมอยู่ด้วย ซึ่งไม้เมื่อโดนเผาไฟแล้วจะกลายสภาพเป็นถ่าน เมื่อโดนลม(Oxygen) แล้วไฟสามารถกลับมาติดได้อีกครั้ง
  • หากเป็นผงเคมีแห้งเมื่อฉีดแล้ว ผงเคมีจะลงปกคลุมที่เชื้อเพลิงทำให้ไฟไม่สามารถติดขึ้นมาใหม่ได้
]]>
Thu, 17 Aug 2023 07:17:59 +0000
<![CDATA[ทำไมเครื่องดับเพลิงขนาดเดียวกันต้องมีหลาย Fire Rating และหลายราคา เช่น 2A-2B และ 6A-20B?]]> https://encom.co.th/blog/Why-do-fire-extinguishers-have-multiple-Fire-Rating-and-different-prices/ เนื่องจากแต่ละสภาพแวดล้อมมีการประเมินความเสี่ยงไม่เท่ากัน

  • บางพื้นที่ที่มีความเสี่ยงและมีเชื้อเพลิงมาก ก็จะใช้เครื่องดับเพลิงที่มี Fire Rating สูง
  • บางพื้นที่มีความเสี่ยงต่ำก็สามารถใช้เครื่องดับเพลิงที่มี Fire Rating น้อยกว่าซึงราคาถูกกว่าได้

ส่วนราคาขึ้นอยู่กับ

  • ความเข้มข้นของเคมีที่บรรจุเคมีของ 6A-20B จะมีความเข้มข้นสูงกว่าแบบ 2A-2B
]]>
Thu, 17 Aug 2023 07:15:53 +0000
<![CDATA[Fire Rating คืออะไร? แล้วค่าเหล่านี้สำคัญอย่างไร?]]> https://encom.co.th/blog/What-is-Fire-Rating/ Fire Rating สำคัญมากสำหรับเครื่องดับเพลิง เนื่องจากเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพในการดับไฟของแต่ละรุ่น

อ้างอิงจากมาตรฐาน มอก.322-2537 ระบุไว้ว่า

  • A คือประสิทธิภาพในการดับไฟที่เชื้อเพลิงเป็นของแข็ง(Class A) เช่น ไม้ กระดาษ ขนสัตว์ พลาสติก เป็นต้น
  • B คือประสิทธิภาพในการดับไฟที่เชื้อเพลิงเป็นของเหลว(Class B) เช่น น้ำมัน ทินเนอร์ ก๊าซ เป็นต้น

 

]]>
Thu, 17 Aug 2023 07:13:20 +0000
<![CDATA[แรงดันภายในเครื่องดับเพลิงควรตรวจสอบอย่างไร]]> https://encom.co.th/blog/How-is-the-pressure-inside-a-fire-extinguisher-checked/
  • แรงดันปกติ(195psi): เข็มอยู่ในแนวตั้ง 90ºC ที่แรงดันปกติ195psi หรือในพื้นที่สีเขียวแสดงว่าอยู่ใน สภาพพร้อมใช้
  • แรงดันตํ่า(RECHARGE): เข็มเอียงไปทางด้านซ้ายมือนอกพื้นที่สีเขียว หรือต่ำกว่าแรงดันปกติ195psi แสดงว่าแรงดันภายในถังต่ำกว่าปกติอยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งาน ควรติดต่อบริษัททันทีเพื่อทำการอัด ฉีดแรงดันใหม่
  • แรงดันเกิน(OVERCHARGE): เข็มเอียงไปทางด้านขาวมือนอกพื้นที่สีเขียว หรือสูงกว่าแรงดันปกติ 195psi แสดงว่าแรงดันภายในถังสูงกว่าปกติสภาพถังอาจจะบวมหรือแตกออกหากแรงดันขึ้นสูงเกิน 1000psi อาจทำให้เกิดอันตรายเนื่องจากถังอาจระเบิดได้!!! ควรติดต่อบริษัทให้ดำเนินการแก้ไขโดยด่วน 
  • หมายเหตุ: เครื่องดับเพลิงชนิดCO2 จะไม่มีมาตรวัดแรงดัน ผู้ใช้สามารถตรวจวัดก๊าสภายในถังได้โดย วิธีชั่งน้ำหนัก หากน้ำหนักก๊าสภายในถังลดลงต่ำกว่า80 % ควรติดต่อบริษัทเพื่อทำการดำเนินการบรรจุใหม่ในทันที

    ]]>
    Thu, 17 Aug 2023 07:12:06 +0000
    <![CDATA[Aruba Instant On มีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์เครือข่ายไร้สายอื่น ๆ อย่างไร? ]]> https://encom.co.th/blog/How-is-Aruba-Instant-On-different-from-other-wireless-products/ Aruba Instant On มีการตั้งค่าและการใช้งานที่ง่ายและใช้งานได้ทันที เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เพื่อให้ความครอบคลุมและความเร็วในการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพ

    ]]>
    Fri, 11 Aug 2023 11:38:53 +0000
    <![CDATA[Aruba Instant On เหมาะกับใครมากที่สุด?]]> https://encom.co.th/blog/Who-is-Aruba-Instant-On-best-suited-for/ Aruba Instant On เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงกลางที่ต้องการการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายที่มีประสิทธิภาพและง่ายต่อการใช้งาน เช่น ร้านค้าเล็ก ๆ ที่ต้องการความครอบคลุมสัญญาณ Wi-Fi หรือองค์กรที่ต้องการเครือข่ายไร้สายในบริเวณที่จำกัด

    ]]>
    Fri, 11 Aug 2023 11:37:20 +0000
    <![CDATA[ผลิตภัณฑ์ Aruba Instant On มีอะไรบ้าง?]]> https://encom.co.th/blog/What-are-the-Aruba-Instant-On-products/ ผลิตภัณฑ์ Aruba Instant On ประกอบด้วยอุปกรณ์เครือข่ายไร้สายต่าง ๆ อาทิเช่น Access Points (APs) ที่ใช้สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์ควบคุมอื่น ๆ ที่ช่วยในการจัดการและปรับแต่งเครือข่าย

    ]]>
    Fri, 11 Aug 2023 11:36:03 +0000
    <![CDATA[Aruba Instant On คืออะไร?]]> https://encom.co.th/blog/What-is-Aruba-Instant-On/ Aruba Instant On เป็นชื่อแบรนด์ของผลิตภัณฑ์เครือข่ายไร้สายที่พัฒนาโดย Aruba, บริษัทในกลุ่มของ Hewlett Packard Enterprise (HPE) สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายในธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง ผลิตภัณฑ์นี้มีการตั้งค่าและใช้งานที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงเพื่อให้ความครอบคลุมและความเร็วในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ.

    ]]>
    Fri, 11 Aug 2023 11:34:12 +0000
    <![CDATA[การซื้อถังดับเพลิงควรทำอย่างไรเพื่อความปลอดภัยและประหยัดค่าใช้จ่าย?]]> https://encom.co.th/blog/How-should-I-buy-a-fire-extinguisher-for-safety-and-cost-savings/ การซื้อถังดับเพลิงควรคำนึงถึงสถานที่และสภาพแวดล้อมในการใช้งาน เลือกซื้อถังที่มีความพร้อมในการดับเพลิงสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

    ]]>
    Fri, 11 Aug 2023 10:18:29 +0000
    <![CDATA[การทดสอบความพร้อมของถังดับเพลิงทำอย่างไร?]]> https://encom.co.th/blog/How-to-test-the-availability-of-fire-extinguisher/ การทดสอบความพร้อมของถังดับเพลิงใช้การทดสอบความชื้น การทดสอบประสิทธิภาพในการดับเพลิง และการตรวจสอบสภาพภายนอกของถังเพื่อความปลอดภัย

    ]]>
    Fri, 11 Aug 2023 10:17:22 +0000
    <![CDATA[ถ้าเกิดเพลิงไหม้ในห้องครัว ควรใช้ถังดับเพลิงอย่างไร?]]> https://encom.co.th/blog/fire-in-the-kitchen-How-should-use-fire-extinguisher/ เมื่อเกิดเพลิงไหม้ในห้องครัว ควรใช้ถังดับเพลิงที่มีส่วนของน้ำในการดับเพลิงเพื่อลดการกระจายเซฟที่เกิดขึ้น

    • ถังดับเพลิงที่มีส่วนของฝาปิดหรือหัวฉีดน้ำ
    ]]>
    Fri, 11 Aug 2023 10:15:51 +0000
    <![CDATA[ถังดับเพลิงควรวางไว้ที่ที่ไหนในบ้านหรือสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย?]]> https://encom.co.th/blog/Where-should-fire-extinguishers-placed-in-a-home-place-wherethere-risk-of-fire/ ถังดับเพลิงควรวางไว้ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยสูง

    • ในครั้งครั้งที่มีเครื่องจักรทำงาน
    • ห้องครัวหรือสถานที่ที่ใกล้ชิดกับแหล่งเกิดอัคคีภัย
    ]]>
    Fri, 11 Aug 2023 10:14:31 +0000
    <![CDATA[ข้อจำกัดในการใช้ถังดับเพลิงคืออะไร?]]> https://encom.co.th/blog/What-are-the-restrictions-on-the-use-of-fire-extinguishers/ การใช้ถังดับเพลิงอาจมีข้อจำกัดทางเทคนิค เช่น

    • ขนาดของถังที่จำกัด ความพร้อมในการใช้งานของถัง
    • ความเหมาะสมในการดับเพลิงตามประเภทของสิ่งเนินไฟ
    ]]>
    Fri, 11 Aug 2023 10:12:59 +0000
    <![CDATA[ตู้ Rack ใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์เครือข่ายและคอมพิวเตอร์ชนิดไหนบ้าง?]]> https://encom.co.th/blog/What-kinds-of-equipment-racks-used-for/ ตู้ Rack ใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์ที่ใช้ในเครือข่ายและระบบคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดพอเหมาะสม เช่น

    • ซิสเต็ม แร็คมาว์ท์ รูเตอร์ ฮับ สวิตช์ และอุปกรณ์เครือข่ายที่อื่น ๆ ซึ่งอาจประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์ เกตเวย์เกอร์ อุปกรณ์บันทึกข้อมูล และอุปกรณ์เครือข่ายสำหรับการเชื่อมต่อในศูนย์ข้อมูล
    ]]>
    Sun, 06 Aug 2023 17:03:58 +0000
    <![CDATA[การติดตั้งอุปกรณ์ในตู้ Rack เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดอะไรบ้าง?]]> https://encom.co.th/blog/Requirements-for-installing-in-rack-cabinets/ การติดตั้งอุปกรณ์ในตู้ Rack ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของตู้ Rack ที่ใช้งาน เช่น

    • สูงของอุปกรณ์ต้องเป็นไปในรูปแบบของหน่วย Rack (U) เช่น 1U, 2U
    • ต้องมีการติดตั้งอย่างแน่นหนา และปลอดภัยภายในตู้ Rack เพื่อป้องกันการสะสมความร้อนและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น
    ]]>
    Sun, 06 Aug 2023 17:02:30 +0000
    <![CDATA[การเลือกซื้อตู้ Rack ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง]]> https://encom.co.th/blog/What-should-considered-when-choosing-rack/ เมื่อเลือกซื้อตู้ Rack ควรคำนึงถึง

    1. ความต้องการและการใช้งานของตู้ Rack ในสถานที่ใช้งาน
    2. ควรพิจารณาขนาดและความสูงของตู้ Rack เพื่อให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่ต้องการจัดเก็บ
    3. ควรคำนึงถึงความสามารถในการระบายความร้อน ความทนทาน ความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการติดตั้งและบำรุงรักษาของตู้ Rack

    ]]>
    Sun, 06 Aug 2023 16:59:54 +0000
    <![CDATA[ขนาดของตู้ Rack มีกี่แบบและควรเลือกขนาดใด?]]> https://encom.co.th/blog/How-many-types-rack-sizes-are-there/
  • ขนาดของตู้ Rack มักมาในขนาดมาตรฐานเช่น 19 นิ้วหรือ 23 นิ้วในความสูงที่แตกต่างกัน เช่น 1U, 2U, 4U, 6U, 9U, 12U เป็นต้น
  • ควรเลือกขนาดตู้ Rack ที่เหมาะสมกับจำนวนและขนาดของอุปกรณ์ที่ต้องการจัดเก็บ โดยควรคำนึงถึงขนาดและความยาวของอุปกรณ์ที่จะติดตั้งภายในตู้ Rack ให้เหมาะสม
  • ]]>
    Sun, 06 Aug 2023 16:58:01 +0000
    <![CDATA[การซื้อถังดับเพลิงควรทำอย่างไรเพื่อความปลอดภัยและประหยัดค่าใช้จ่าย?]]> https://encom.co.th/blog/How-should-I-buy-a-fire-extinguisher/
  • การซื้อถังดับเพลิงควรคำนึงถึงสถานที่และสภาพแวดล้อมในการใช้งาน
  • เลือกซื้อถังที่มีความพร้อมในการดับเพลิงสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ใช้งาน
  • ]]>
    Thu, 27 Jul 2023 04:14:48 +0000
    <![CDATA[การทดสอบความพร้อมของถังดับเพลิงทำอย่างไร?]]> https://encom.co.th/blog/How-to-test-the-availability-of-fire-extinguishers/
  • การทดสอบความพร้อมของถังดับเพลิงใช้การทดสอบความชื้น
  • การทดสอบประสิทธิภาพในการดับเพลิง
  • การตรวจสอบสภาพภายนอกของถังเพื่อความปลอดภัย
  • ]]>
    Thu, 27 Jul 2023 04:12:22 +0000
    <![CDATA[ถ้าเกิดเพลิงไหม้ในห้องครัว ควรใช้ถังดับเพลิงอย่างไร?]]> https://encom.co.th/blog/If-there-is-a-fire-in-the-kitchen-How-should-I-use-fire-extinguisher/ เมื่อเกิดเพลิงไหม้ในห้องครัว ควรใช้ถังดับเพลิงที่มีส่วนของน้ำในการดับเพลิงเพื่อลดการกระจายเซฟที่เกิดขึ้น เช่น

    • ถังดับเพลิงที่มีส่วนของฝาปิดหรือหัวฉีดน้ำ
    ]]>
    Thu, 27 Jul 2023 04:10:15 +0000
    <![CDATA[ถังดับเพลิงควรวางไว้ที่ที่ไหนในบ้านหรือสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย?]]> https://encom.co.th/blog/Where-should-fire-extinguishers-be-placed/ ถังดับเพลิงควรวางไว้ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยสูง เช่น

    • ในครั้งครั้งที่มีเครื่องจักรทำงาน
    • ห้องครัวหรือสถานที่ที่ใกล้ชิดกับแหล่งเกิดอัคคีภัย
    ]]>
    Thu, 27 Jul 2023 04:02:28 +0000
    <![CDATA[ข้อจำกัดในการใช้ถังดับเพลิงคืออะไร?]]> https://encom.co.th/blog/What-are-the-restrictions-use-of-fire-extinguishers1/ การใช้ถังดับเพลิงอาจมีข้อจำกัดทางเทคนิค เช่น

    • ขนาดของถังที่จำกัด
    • ความพร้อมในการใช้งานของถัง
    • ความเหมาะสมในการดับเพลิงตามประเภทของสิ่งเนินไฟ
    ]]>
    Thu, 27 Jul 2023 04:02:28 +0000
    <![CDATA[เครื่องดับเพลิงสามารถทดลองฉีดก่อนใช้งานจริงได้ไหม]]> https://encom.co.th/blog/Can-you-try-spraying-fire-extinguisher-first/ ไม่สามารถทดลองฉีดได้ เพราะจะทำให้แรงดันหมด ถ้าแรงดันหมดจำเป็นต้องส่งกลับมาเติมสารเคมีดับเพลิงใหม่กับบริษัทฯ

    ]]>
    Tue, 18 Jul 2023 16:50:14 +0000
    <![CDATA[ถ้าสารเคมีหรือน้ำยาในถังดับเพลิงหมด สามารถเติมได้หรือไม่]]> https://encom.co.th/blog/Can-you-add-liquid-to-the-fire-extinguisher/ สามารถนำมาเติมน้ำยาเคมีได้

    ]]>
    Tue, 18 Jul 2023 16:48:26 +0000
    <![CDATA[ถังดับเพลิงมีอายุการใช้งานนานเท่าไหร่ ประมาณกี่ปี]]> https://encom.co.th/blog/How-long-does-fire-extinguisher-last/ เครื่องดับเพลิง

    • มีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปี
    • ถ้าถังดับเพลิงที่มีอายุเกิน 5 ปีขึ้นไป จำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าต้องซื้อถังใหม่หรือนำมาเปลี่ยนน้ำยาดับเพลิง
    ]]>
    Tue, 18 Jul 2023 16:46:52 +0000
    <![CDATA[ชุดดับเพลิงมีน้ำหนักกี่กิโลกรัม]]> https://encom.co.th/blog/How-many-kilograms-does-the-fire-suit-weigh/ ชุดดับเพลิงครบชุด น้ำหนักรวม 11 กิโลกรัม

    ]]>
    Tue, 18 Jul 2023 16:44:27 +0000
    <![CDATA[ชุดดับเพลิงมีอายุการใช้งานนานเท่าไหร่]]> https://encom.co.th/blog/How-long-does-fire-suit-last/ ชุดดับเพลิง 

    • สามารถซักได้ถึง 27 ครั้ง
    • ถ้าซัก 3 ครั้ง/ปี จะใช้งานได้นานถึง 9 ปี
    ]]>
    Tue, 18 Jul 2023 16:35:42 +0000
    <![CDATA[5 สาเหตุหลัก ที่บริษัทหันมาใช้ Google Workspace]]> https://encom.co.th/blog/ecom-ep2/



    พบกับทีมงาน ecom School Of Digital

    ข้อแรกคือ ระบบเมลเก่าไม่ Work อะไรบ้าง เช่น
    - การรับส่ง อีกเมลเข้าบ้างไม่เข้าบ้าง ส่งออกหาลูกค้าบางทีก็ไม่เข้า
    - การส่งอีเมล มีการจำกัดเมลต่อวัน ก็ทำให้การส่งล่าช้าไปอีก
    - ส่งแนบเอกสารไฟล์ใหญ่ไม่ได้ -จัดการระบบยาก

    Work space
    - ใช้กับ Outlook ได้
    - จัดการอีเมล เองได้
    - โอนย้ายข้อมูลีกเมลจากระบบเดิมได้



    ข้อสอง Video conference ในที่เดียว ไม่ต้องใช้งานแยกให้วุ่ยวาย
    - บางที่มีการเทรนพนักงานออนไลน์ ก็จะนิยมใช้ Video Conference ซึงตัว Google meet จะมีผู้เข้าร่วมได้ ถึง 100 คนขึ้นไป โดยไม่จำกัดเวลา

    ข้อสาม การทำงานเอกสารพร้อมกัน แบบ Realtime
    - Drive sheet doc slide calendar

    ข้อสี่ สามารถซื้อพื้นที่ใช้งานเพิ่มได้
    - ซื้อเพิ่มได้มีทั้งรายเดือนและรายปี

    ข้อที่ห้า ความน่าเชื่อถือ
    - วางใจได้ ไม่มีเทลูกค้า
    - Support การใช้งานกับ Google โดยตรง
    - การรับประกันบริการ (Service Level Agreement : SLA)

    ]]>
    Sun, 07 Feb 2021 15:35:41 +0000
    <![CDATA[สุดทนระบบ Email เก่า - เปลี่ยนมาใช้ Email Google Workspace ดีหรือไม่?]]> https://encom.co.th/blog/ecom-ep1/



    พบกับทีมงาน ecom School Of Digital แบ่งปัน ไอเดียในการใข้ google workspace แบบง่ายๆ มีลูกค้าหลากหลายที่ถามเข้ามา อยากรู้ว่าจะใช้งานยังไงให้คุ้มกับ licence ต่อปี เคสลูกค้าที่ใช้งานจริงเป็น ผลิตสินค้าทางการแพทย์ และ ผลิตระบบน้ำปะปา เป็นเคสลูกค้าที่พบปัญหาแบบเดียวกัน เป็นลูกค้าที่ยังไม่เคยใช้งาน Google Workspace มาก่อน



    เดิมทีลูกค้าใช้งาน เป็น Mail Server หรือ Mail Hosting ปัญหาคือต้องมี พนักงานไอทีคอยดูแล หากเป็น Mail hostบางทีพื้นที่ความจุอีเมลอาจไม่มีเพียงพอต่อการใช้งาน


    สาเหตุที่หันมาใช้ google workspace
    1.เสถียรภาพของอีเมล ไม่เป็น spam mail
    2.การบริหารจัดการ Drive สามารถแชร์ไฟล์งานและทำงานร่วมกันได้
    3.ง่ายต่อการใช้งาน เครื่องมือใช้งานอีเมล เหมือน Gmail

    ]]>
    Sun, 07 Feb 2021 15:24:18 +0000
    <![CDATA[Google Workspace คืออะไร แตกต่างจาก G Suite อย่างไร]]> https://encom.co.th/blog/workspace/

         เนื่องจาก Google G Suite มีการปรับเปลี่ยน G Suite ให้มอบประสบการณ์ที่สอดรับกันมากขึ้นในแง่ของเครื่องมือสื่อสารและเครื่องมือในการทำงานร่วมกัน จึงได้รีแบรนด์เป็น Google Workspace เพื่อเป็นตัวแทนและสื่อถึงวิสัยทัศน์ของผลิตภัณฑ์ได้ดียิ่งขึ้น





        ภายใต้การเปลี่ยนแปลงนี้ เวลาถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วนมากขึ้น เช่น การแยกเวลาสำหรับการทำงานออกจากเวลาส่วนตัว นอกจากนี้ การสร้างและรักษาความสัมพันธ์ของผู้คนก็เกิดขึ้นได้ยากกว่าแต่ก่อน

        สิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายรูปแบบใหม่ แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีในการช่วยให้ผู้คนประสบความสำเร็จในโลกที่มีการกระจายตัวและเป็นดิจิทัลมากขึ้นในปัจจุบัน การมีเครื่องมือที่เหมาะสมช่วยให้ผู้คนสามารถทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น ใช้เวลากับสิ่งที่สำคัญมากที่สุด และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

        และเครื่องมือนั้นก็คือ Google Workspace ที่รวบรวมทุกสิ่งที่คุณต้องการสำหรับการทำงานไว้ครบจบในที่เดียว Google Workspace รวมแอปที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่คุณคุ้นเคยกันดีเอาไว้ด้วยกัน ทั้ง Gmail, Google Calendar, Google Drive, Google Docs, Google Sheets, Google Slides, Google Meet และอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าคุณกำลังกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ ทำงานจากบ้าน ทำงานภาคสนามผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ หรือติดต่อกับลูกค้า Google Workspace คือเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับการทำงาน การติดต่อสื่อสาร และการทำงานร่วมกัน

     



    Google Workspace เปิดตัว 3 สิ่งใหม่นี้ :

    • อัตลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ที่สะท้อนวิสัยทัศน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อันทะเยอทะยานของเรา และวิธีที่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของเราทำงานร่วมกัน

    • ประสบการณ์ผู้ใช้แบบใหม่ที่ครบวงจรที่จะช่วยให้ทุกคนในทีมทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พนักงานภาคสนามสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ตลอดเวลา และธุรกิจสามารถสร้างประสบการณ์ดิจิทัลใหม่ๆ ให้กับลูกค้าได้

    • วิธีใหม่ในการเริ่มต้นทำสิ่งต่างๆ ด้วยเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละกลุ่ม



    อัตลักษณ์ใหม่ของแบรนด์

         เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผลิตภัณฑ์ของเราหลายตัวถูกพัฒนาขึ้นเป็นแอปเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะทาง เช่น อีเมลที่ดีกว่าด้วย Gmail หรือการทำงานเอกสารร่วมกันผ่าน Google Docs ในเวลาต่อมาผลิตภัณฑ์ของเราถูกนำไปใช้งานร่วมกันมากขึ้นจนทำให้รอยต่อระหว่างแอปเริ่มจางหายไป

         แบรนด์ Google Workspace ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่นี้ สะท้อนถึงประสบการณ์ใหม่ที่เชื่อมต่อกันมากขึ้น มีประโยชน์มากขึ้น และยืดหยุ่นมากขึ้น ไอคอนใหม่ของเราก็จะสะท้อนสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ คุณจะได้พบกับไอคอนสี่สีใหม่ของ Gmail, Google Drive, Google Calendar และ Google Meet รวมถึงเครื่องมือสร้างเนื้อหาสำหรับการทำงานร่วมกัน เช่น Google Docs, Google Sheets, และ Google Slides ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกัน โดยสิ่งเหล่านี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะสร้างประสบการณ์ในการสื่อสารและการทำงานร่วมกันแบบครบวงจรสำหรับทุกคน ทั้งหมดนี้ด้วยความช่วยเหลือจาก Google

         นอกจากนี้ เรายังจะให้บริการ Google Workspace แก่สถาบันการศึกษาและองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ด้วย โดยลูกค้ากลุ่มสถาบันการศึกษาสามารถเข้าถึงเครื่องมือต่างๆ ของเราผ่านทาง G Suite for Education ซึ่งประกอบด้วย Google Classrooms, Google Assignments, Gmail, Google Calendar, Google Drive, Google Docs, Google Sheets, Google Slides และ Google Meet ด้าน G Suite for Nonprofits จะยังเปิดให้ใช้สำหรับองค์กรที่ผ่านเกณฑ์ของโครงการ Google for Nonprofits

         เราจะเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงประสบการณ์ใหม่นี้เพื่อช่วยพวกเขาทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งกลุ่มภายในชุมชน การจัดการค่าใช้จ่ายของครอบครัว หรือการจัดเตรียมงานเฉลิมฉลอง โดยใช้เครื่องมือต่างๆ ที่ผสานเข้าด้วยกัน เช่น Gmail, Google Chat, Google Meet, Google Docs และ Google Tasks

         เราช่วยให้ลูกค้าองค์กรสื่อสารกับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ได้ง่ายขึ้นผ่านฟีเจอร์การอนุญาตให้แขกเข้าถึงการทำงานบน Google Chat และ Google Drive และในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า คุณจะสามารถสร้างเอกสารและทำงานร่วมกันกับแขกภายในห้องแชทใน Google Chat ได้ ซึ่งจะทำให้การแชร์เนื้อหาและการทำงานร่วมกับบุคคลภายนอกองค์กรของคุณนั้นง่ายขึ้น และทำให้มั่นใจว่าทุกคนเข้าถึงและมองเห็นข้อมูลเดียวกัน

     





         ทุกๆ นาทีที่คุณใช้ทำงานคืออีกหนึ่งนาทีที่คุณไม่สามารถใช้อยู่กับคนในครอบครัวได้ ประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ เรามุ่งมั่นทำงานอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ช่วยให้คุณทำงานชิ้นสำคัญให้แล้วเสร็จได้ง่ายขึ้น เช่น ใน Google Docs, Google Sheets และ Google Slides คุณสามารถดูตัวอย่างเนื้อหาของไฟล์ได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดแท็บใหม่ ซึ่งหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเข้าออกแอปต่างๆ และมีเวลาในการทำงานมากขึ้น นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเมื่อคุณเอ่ยถึงผู้ใช้คนอื่น (@) ในเอกสารของคุณ ฟีเจอร์อัจฉริยะจะแสดงรายละเอียดผู้ติดต่อ ซึ่งรวมถึงบุคคลภายนอกองค์กรของคุณ เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบุคคลนั้น พร้อมทั้งแนะนำการดำเนินการอื่นๆ เช่น การเพิ่มบุคคลนั้นลงในรายชื่อผู้ติดต่อ หรือการติดต่อผ่านทางอีเมล แชท หรือวิดีโอ เป็นต้น

         การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับคุณได้โดยตรงใน Google Docs, Google Sheets และ Google Slides ของ Google Workspace ช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น



     

     



         เราตระหนักดีว่าการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนนั้นมีความสำคัญยิ่งขึ้นกว่าเดิมในช่วงที่แต่ละคนต้องทำงานทางไกลและสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัล ความสัมพันธ์ที่ดีคือสิ่งที่ทำให้พนักงานทำงานกันเป็นทีม และช่วยเสริมสร้างความภักดีและความไว้วางใจของลูกค้า

         ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เราได้ประกาศว่าจะนำฟีเจอร์การประชุมผ่าน Google Meet แบบ picture-in-picture หรือการแสดงภาพซ้อนภาพ ผนวกเข้าไปใน Gmail และ Google Chat เพื่อให้คุณได้ยินและเห็นหน้าของผู้ร่วมงานคนอื่นในขณะที่ทำงานร่วมกัน ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เราจะขยายฟีเจอร์นี้ไปยัง Google Docs, Google Sheets และ Google Slides ด้วย ฟีเจอร์นี้มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะสำหรับการโต้ตอบกับลูกค้าตอนที่คุณกำลังพรีเซนต์ข้อเสนอ หรือกำลังอธิบายเอกสารที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งก่อนหน้านี้คุณจะเห็นแค่เอกสารที่คุณกำลังนำเสนอ แต่จากนี้ไปคุณจะสามารถมองเห็นสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายได้ด้วย





         เพราะเรารู้ว่าหลายๆ บริษัทมีระบบการทำงานแบบผสมผสาน ทั้งทำงานที่ออฟฟิศและจากบ้าน Google Meet รองรับอุปกรณ์หลากหลายชนิดที่มาพร้อมกับปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ที่ดีที่สุดของ Google ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ Series One ที่ให้เสียงคมชัดและขยายการใช้งานได้อย่างง่ายดาย ไปจนถึง Chromecast และ Nest Smart Displays ที่ทำงานร่วมกับ AI ของ Google ช่วยให้คุณเพลิดเพลินไปกับการทำงาน ไม่ว่าจะทำจากที่ทำงานหรือที่บ้านก็ตาม



    ที่มา : Thailand Blog https://thailand.googleblog.com/

    ]]>
    Mon, 26 Oct 2020 02:45:23 +0000
    <![CDATA[การบริหารโรงงานด้วยหลักการมองเห็น]]> https://encom.co.th/blog/pms2011009/ Visual Display เป็นการแสดงข้อมูลเพื่อให้พนักงานภายในหรือผู้ปฏิบัติงานได้รับทราบ โดยมีการนำเสนอด้วยแผนภูมิหรือกราฟ เช่น แผนภูมิยอดขายรายเดือน ข้อมูลผลการปฏิบัติงาน เพื่อรายงานให้กับฝ่ายบริหารและสนับสนุนการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ Visual Control หรือการควบคุมด้วยการมองเห็น เป็นวิธีควบคุมให้การทำงานเป็นไปอย่างถูกต้อง ด้วยการแสดงมาตรฐานเทียบกับสถานะจริง จึงทำให้สามารถจำแนกปัญหาได้ทันทีด้วยการมองเห็น นั่นคือ การนำเสนอข้อมูลให้เข้าใจด้วยการแปลงข้อมูลในรูปแบบตาราง ป้าย สติกเกอร์ กระดาน สัญลักษณ์ แผนภาพ เป็นต้น

    การบริหารโรงงานด้วยหลักการมองเห็น (Visual Factory Management) เป็นระบบสนับสนุนการปรับปรุงผลิตภาพทั่วทั้งโรงงานด้วยการแสดงสัญญาณ แถบสี และสัญลักษณ์ในสถานที่ทำงาน   เพื่อให้พนักงานได้รับทราบสารสนเทศภายในเวลารวดเร็ว หลักการดังกล่าวจึงเป็นเครื่องมือสนับสนุนการบริหารด้วยการแสดงสารสนเทศ เช่น รายละเอียดเกี่ยวกับงาน สภาพพื้นที่การทำงาน ประเภทเครื่องจักร วัตถุดิบที่ใช้ เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมการผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเกิดความปลอดภัยในขณะทำงาน ทำให้ผู้รับผิดชอบทราบความแตกต่างระหว่างเป้าหมายกับผลลัพธ์ และสามารถลดความสูญเสียเวลาการค้นหา ดังนั้น ระบบควบคุมด้วยการมองเห็นจึงมักถูกใช้ประยุกต์กับงานประจำวัน ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักตามแนวคิดลีนที่มุ่งขจัดความผันแปรที่เกิดจากปัจจัยกระบวนการ นั่นคือ เครื่องจักร (Machine), วัสดุ (Material), วิธีการ (Method), แรงงาน (Manpower) รวมทั้งความผันแปรจากปัจจัยหลัก เช่น คุณภาพ การส่งมอบ และต้นทุน (Quality, Delivery, Cost)

     

    ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ Visual Control ในโรงงาน


    1. การควบคุมสายการผลิต

    • เพื่อให้พนักงานทราบภาระงานที่ต้องทำ จากคำสั่งที่ชัดเจนของหัวหน้างานและทำให้หน่วยงานวางแผนทราบสถานการณ์ปฏิบัติงานอย่างรวดเร็ว
    • สำหรับแบบเพื่อการผลิต (Drawing) ที่มีความซับซ้อนให้แนบเอกสารประกอบ
    • ใบรายงานการผลิตประจำวัน ควรระบุช่วงเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงาน เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางแผนและการควบคุมการผลิตต่อไป

    2. การควบคุมคุณภาพและผลิตภาพสายการผลิต 

    • หากมีแค่ติดป้ายแสดงเป้าหมายอย่างเดียวอาจจะน่าสนใจเฉพาะตอนต้นปีเท่านั้น และเมื่อเห็นจนชินตาแล้วป้ายจะเป็นเพียงแค่กระดาษ 1 แผ่น ดังนั้น จึงควรแสดงผลประกอบการด้วย โดยเฉพาะการรายงานสัดส่วนของเสียรายเดือนแต่ละแผน และนำเสนอข้อมูลบนบอร์ดแสดงผลหรือกระดาษแผ่นใหญ่เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับรู้
    • แสดงข้อมูลเพื่อใช้เป็นแนวทางลดของเสีย โดยแสดงเครื่องมือแสดงสาเหตุปัญหา เช่น OEE รวมถึง การแสดงสาเหตุของเสียและทำการเปรียบเทียบความสำเร็จ เพื่อกระตุ้นให้พนักงานร่วมกันลดปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น

    การนำ Smart Production Monitoring (SPM) มาใช้ในโรงงานด้วยหลักการ Visualize

    Smart Production Monitoring (SPM) แสดงจำนวนงานที่ผลิตได้ณ.ปัจจุบัน (Actual) ซึ่งจะทำให้พนักงาน และ ผู้ควบคุมการผลิต ทราบว่าแผนงาน ที่ต้องผลิตตอนนี้มีจำนวนเท่าไหร่,ผลิตไปถึงไหนแล้ว แสดงจำนวนชิ้นงานที่เสีย(NG) สามารถช่วยเพิ่มผลผลิต และ ติดตามความคืบหน้าในการผลิตได้เป็นอย่างดี รวมถึงมีค่า OEE ทำให้ง่ายต่อการนำค่านี้ไปวิเคราะห์หากค่า OEE มากกว่า 85% แสดงว่าเครื่องจักรทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้งานง่ายเพียงต่อไฟ 220VAC. เข้าที่ตัว I/O Module และ SPM ค่า Actual รับค่าจาก  Push Button, Photo Sensor ,Machine ,PLC ที่ต่อใน line ผลิตได้

     

    กลไกป้องกันความผิดพลาด


              กลไกป้องกันความผิดพลาดหรือ เรียกว่า Poka Yoke เป็นแนวทางประกันคุณภาพอย่างมีประสิทธิผล โดยมุ่งป้องกันการเกิดของเสียด้วยการตรวจจับสภาพความผิดปกติก่อนที่จะเกิดความเสียหายขึ้น ดังนั้น ระบบป้องกันความผิดพลาดจึงสอดคล้องกับแนวคิดการควบคุมคุณภาพเป็นศูนย์ (Zero Quality Control) เพื่อประกันไม่ให้ของเสียเกิดขึ้น (Zero Defects) ด้วยการใช้กลไกตรวจจับสภาพ หากพบสิ่งผิดปกติขึ้นระบบก็จะหยุดการทำงาน และส่งสัญญาณแจ้งเตือนได้อย่างอัตโนมัติทันทีด้วยไฟสัญญาณ หรือเสียงเพื่อให้หัวหน้างานรับทราบและดำเนินการแก้ไขปัญหา

    ส่วนหลักการและหน้าที่การทำงานระบบ Poka Yoke จำแนก ดังนี้

    • การควบคุมและแจ้งเตือนความผิดปกติ โดยอุปกรณ์ควบคุมทำการตัดระบบการทำงานเมื่อตรวจพบสิ่งผิดปกติ เพื่อป้องกันความเสียหายอย่างการติดตั้งตัวตรวจจับ (Sensor) กับสว่านเจาะ เมื่อตัวตรวจจับได้พบความผิดปกติก็จะทำการตัดการทำงานและหยุดเครื่องโดยอัตโนมัติ ส่วนหน้าที่การแจ้งเตือน (Warning Poka Yoke) แสดงด้วยเสียงหรือไฟสัญญาณเตือนเมื่อตรวจจับความผิดปกติ

      แต่สำหรับระบบการผลิตแบบต่อเนื่องแล้ว การใช้ Warning Poka Yoke จะเกิดประสิทธิผลในการขจัดความบกพร่องน้อยกว่า Control Poka Yoke เนื่องจาก Warning Poka Yoke ยังคงปล่อยให้ความผิดปกติเกิดขึ้นต่อเนื่อง จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่พบสัญญาณแจ้งเตือนและดำเนินการหยุดสายการผลิต

    • การตรวจสอบเพื่อมั่นใจได้ว่าการตั้งค่าหรือการนับจำนวนในกระบวนการผลิตได้มีความถูกต้องด้วยการใช้อุปกรณ์ เช่น ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจนับ เพื่อตรวจสอบตำแหน่งและจำนวนจุดของชิ้นงาน โดยใช้สวิตช์อัตโนมัติร่วมกับตัวนับแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตัวตรวจจับการเคลื่อนไหว ตลอดจนการใช้ตัวจับอุณหภูมิและความดัน

     

     

     

    ]]>
    Fri, 11 Sep 2020 08:35:18 +0000
    <![CDATA[เหตุผลที่บอกว่าควรใช้ตู้ rack 36u ในการจัดเก็บเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ไอที]]> https://encom.co.th/blog/rack36u/ ความหมายของ u ที่ต่อท้ายตัวเลขของตู้แร็คเป็นการบอกความสูง หรือ unit เพื่อให้รู้ว่าตู้ตัวนี้จะรองรับเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ ที่จะใส่ได้มากน้อยขนาดไหน ซึ่งตู้แร็ค 36u ก็ถือเป็นขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ จัดเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้เยอะ อีกทั้งตู้ rack 36u ราคายังไม่แพงเมื่อเทียบกับขนาดที่ได้รับ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่บอกว่าทำไมควรเลือกใช้ตู้ชนิดนี้ในการจัดเก็บเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ

    ตู้แร็ค 36u กับเหตุผลที่ควรนำมาใช้งาน

    1. เพิ่มความเป็นระเบียบของพื้นที่
    ระบบเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องใช้งาน 1 ระบบ จะมีเครื่องและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยสายไฟเยอะมาก คิดกันเล่น ๆ ว่าหากปล่อยให้สายไฟเหล่านั้นห้อยพันกันมันก็ดูไม่น่ามองแล้ว ไหนจะสิ้นเปลืองพื้นที่และเป็นอันตรายกับคนที่อยู่ใกล้เคียงอีกต่างหาก การเลือกใช้ตู้แร็ค 36u ราคาคุ้มค่ามาจัดเก็บสิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความเป็นระเบียบได้มากขึ้นกว่าเดิม

    2. ตรวจสอบปัญหาได้ง่าย
    บ่อยครั้งที่มักเกิดปัญหาระบบล่ม หรือระบบทำงานขัดข้อง หากตั้งอุปกรณ์หรือเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ ไว้ด้านนอกบางทีกว่าจะจับสายนั้นชนสายนี้ว่าเป็นเส้นที่ถูกต้องหรือไม่ คงใช้เวลานานมาก ๆ ทว่าเมื่อใส่เข้าไปในตู้ด้วยการจัดวางอย่างเป็นระเบียบจะช่วยลดระยะเวลาการแก้ไขให้ระบบทำงานได้รวดเร็วขึ้น

    3. ไม่ต้องกลัวความเสียหายจากปัจจัยภายนอก
    ปัจจัยภายนอกที่มักทำให้เซิร์ฟเวอร์เกิดความเสียหายคือ ความชื้นและฝุ่น ซึ่งการนำเอาอุปกรณ์นี้ไปใส่ไว้ในแร็ค จะช่วยป้องกันไม่ให้บรรดาสิ่งแปลกปลอมเข้าไปทำลายและสร้างปัญหาให้กับระบบ โดยเฉพาะฝุ่นกับความชื้นที่นับว่าส่งผลโดยตรง อีกทั้งยังอาจเจอปัญหาเรื่องสัตว์กัดแทะโดยเฉพาะหนู, แมลงสาบ การจัดเก็บเอาไว้ในตู้จึงดีที่สุด

    4. ลดการเกิดอุบัติเหตุของผู้อยู่ในพื้นที่
    การมีสายไฟวางเกะกะพื้นที่เต็มไปหมดสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมาก ๆ โดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานในบริเวณดังกล่าว เช่น การเดินสะดุด หรือมีน้ำไหลเข้ามาจนเกิดความเสียหาย ดังนั้นการนำเอาเซิร์ฟเวอร์เก็บเข้า rack ให้เรียบร้อยจะเหมาะสมที่สุด

    5. ทำงานสะดวกสบายมากขึ้น
    เมื่ออุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่ภายในตู้ทั้งหมดแล้ว การขนส่งเพื่อใช้งานในสถานที่ถัดไปก็เป็นเรื่องง่าย ประหยัดเวลาการทำงาน สะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิมโดยไม่จำเป็นต้องรื้อเข้าออกบ่อย ๆ ให้วุ่นวาย

    จริง ๆ ไม่ใช่แค่ตู้แร็ค 36u แต่ทุก ๆ คนสามารถเลือกขนาดที่เหมาะสมกับการใช้งานของตนเองได้ และถ้าใครต้องการตู้แร็ค 36u ราคาคุ้มค่า พร้อมบริการจัดส่งให้ถึงปลายทาง ซื้อสินค้าได้ตลอด 24 ชม. ไม่ยากเพียงแค่คลิกมาที่ https://encom.co.th/ เพราะเราคือผู้จำหน่ายสินค้าตู้ Rack 19 นิ้ว ทุกรุ่นทุกขนาด การันตีคุณภาพสินค้าด้วยการใช้งานจริง

    ]]>
    Thu, 27 Aug 2020 08:25:13 +0000
    <![CDATA[ต้องการซื้อตู้ rack 27u และขนาดอื่น ๆ มีปัจจัยใดต้องพิจารณาบ้าง]]> https://encom.co.th/blog/rack27u/ ตู้แร็ค หรือ rack server คืออีกอุปกรณ์สำคัญในการเก็บบรรดาเครื่องเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ ให้เป็นระเบียบ โดยขนาดของตู้จะต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและปริมาณที่จัดเก็บอุปกรณ์ไอที เซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ ทั้งนี้ตู้ rack 27u ถือเป็นขนาดตู้ที่กำลังได้รับความนิยมเนื่องจากมีความพอดี ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไปนัก แต่สิ่งสำคัญก็คือวิธีในการเลือกซื้อ เพราะไม่ใช่แค่ แร็ค 27u ราคาเท่าไหร่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

    เลือกซื้อตู้แร็ค 27u ต้องพิจารณาเรื่องใดบ้าง

    1. rack 27u ราคาต้องคุ้มค่า
    ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องแรกในการพิจารณาเลือกซื้อ แร็ค 27 u ราคาต้องมาเป็นอันดับ 1 แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่คำว่า “คุ้มค่า” ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายความถึง แร็ค 27u ราคาถูกแต่ต้องเลือกว่าซื้อมาใช้งานแล้วสมเหตุสมผล เพราะสินค้าที่ราคาสูงกว่าย่อมมีคุณภาพดีกว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ดังนั้นให้มองความคุ้มค่ากับงบที่ตนเองมีเป็นหลัก

    2. มีระบบระบายความร้อนดี
    ด้วยเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกใส่เข้าไปในตู้ rack 27u จำนวนมากจึงต้องเกิดความร้อนขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา แม้มีจะบอกว่าหลาย ๆ ครั้งเมื่อนำไปใช้งานก็ตั้งอยู่ในห้องแอร์เย็น ๆ ยังต้องระบายความร้อนอีกหรือ? แต่มันไม่ใช่ทุกครั้งที่จะใช้งานกับห้องแอร์ ดังนั้นการมีระบบระบายความร้อนที่ดีจะช่วยให้เซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ไอทีที่ใส่เข้าไปใช้งานได้ยาวนาน ไม่เกิดปัญหาตามมา

    3. ป้องกันความชื้นและฝุ่นจากภายนอก
    นี่เป็น 2 ตัวการสำคัญที่ทำให้ระบบเซิร์ฟเวอร์มักมีปัญหาระหว่างทำงานบ่อย ๆ อาทิ ฝุ่นเข้าไปเกาะตามแผงวงจร หรือความชื้นทำให้ระบบการทำงานขัดข้อง เป็นต้น เมื่อนำมาใส่ตู้แร็คแล้วปัญหาเหล่านี้ต้องหมดไป ซึ่ง Rack server ที่ดีก็ต้องมีส่วนป้องกันในเรื่องดังกล่าวด้วยจึงจะเหมาะกับการนำมาใช้งานมากที่สุด

    4. ดีไซน์และการออกแบบ
    ปัจจัยสุดท้ายที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาดคือเรื่องการออกแบบและดีไซน์ของตู้ rack 27u รวมถึงขนาดอื่น ๆ นั่นเพราะระบบเซิร์ฟเวอร์จำเป็นต้องมีสายไฟและตัวเชื่อมต่าง ๆ ที่ระโยงรยางค์เต็มไปหมด หากไม่มีการดีไซน์ที่ดีพอก็อาจทำให้เกิดปัญหาสายไฟเหล่านี้พันกันจนระบบขัดข้องได้ ทั้งนี้รูปแบบของตู้ยังมีหลากหลาย เช่น ตู้แบบตั้งพื้น (Close Rack), แบบเปิด (Open Rack), แบบติดผนัง (Wall Rack) และแบบอื่น ๆ ตามเหมาะสม ก็ลองพิจารณาดูว่าการใช้งานของตนเองเหมาะกับแบบใด

    ทั้งนี้หากใครที่กำลังมองหาตู้แร็ค 27u ราคาคุ้มค่า การันตีมาตรฐาน รวมถึงตู้แร็ค 19 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดยอดนิยม คลิกเข้ามาที่ https://encom.co.th/ มีสินค้าตู้ Rack 19 นิ้ว ให้เลือกทุกรุ่นทุกขนาด การันตีสินค้ามีคุณภาพ สามารถสั่งซื้อตู้แร็คออนไลน์และสินค้าอื่น ๆ ได้ตลอด 24 ชม. เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานให้มากที่สุด

    ]]>
    Thu, 27 Aug 2020 06:35:17 +0000
    <![CDATA[จำเป็นแค่ไหน ที่ต้องใช้ตู้ RACK]]> https://encom.co.th/blog/CA2005018-03/  

    วางๆ ไปเหอะ ซื้อทำไม ไม่เห็นจะช่วยอะไรเลย

     

        ตู้ Rack เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ไอที ที่หลายๆ คนมักมองข้าม เพียงเพราะคิดว่าแค่ระบบเครือข่ายใช้งานได้ดี แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่เอาเข้าจริงตู้ Rack ถือเป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นมาก ทั้งเรื่องของความสะดวกในการจัดการ-จัดเก็บอุปกรณ์ เรื่องความปลอดภัย และที่สำคัญอุปกรณ์ Network, Server รวมๆ กันทุกตัวไม่ใช่ราคาถูกๆ ลงทุนสักหน่อยซื้อตู้ Rack มาวางให้เรียบร้อย เราคิดว่าคุ้มกว่าเยอะ

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ประเภทของตู้ RACK

    - Tower Rack แบบตั้งพื้น

    ตู้ Rack แบบตั้งพื้น มักมีขนาดตั้งแต่ 15U-45U (U ย่อมาจากคำว่า Unit Rack) สามารถจัดเก็บอุปกรณ์ได้หลากหลาย และรองรับน้ำหนักได้มากกว่าตู้ประเภทอื่นๆ สามารถเปิด-ปิดตู้ได้ทั้ง 4 ด้าน พร้อมขาตั้งและชุดล้อเลื่อนแบบ 360 องศา เพื่อการเคลื่อนย้ายได้สะดวก แถมยังสามารถติดตั้งพัดลมระบายอากาศเพิ่มเติมได้ค่อนข้างเยอะ

    - Open Rack แบบเปิด

    หรือเรียกอีกอย่างว่า Network Rack เป็นตู้แบบเปิดโล่ง ระบายอากาศได้ดี จุดเด่นที่สำคัญคือน้ำหนักเบาและราคาถูก แต่รับน้ำหนักได้ค่อนข้างจำกัด

    - Wall Rack แบบติดผนัง

    เหมาะสำหรับการติดตั้งบนผนัง วางแขวน หรือว่าวางบนชั้น ใส่อุปกรณ์จำนวนไม่มากนัก โดยมีให้เลือกตั้งแต่ 6U-12U และสามารถติดตั้งพัดลมระบายอากาศเพิ่มได้

    * นอกเหนือจากตู้ Rack ประเภทต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น เรายังสามารถแบ่งย่อยเป็นประเภทต่างๆ ได้ลงไปอีกเช่น แบ่งตามวัสดุการผลิต, ตามลักษณะการระบายอากาศ หรือแบ่งตามลักษณะการดีไซน์ เป็นต้น (ประตูหน้ากระจกนิรภัย, ประตูหลังเจาะช่องระบายอากาศรูปรังผึ้ง)

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ข้อดีของตู้ Rack

    1. ประหยัดพื้นที่ติดตั้ง

    ลองนึกภาพอุปกรณ์วางกระจัดกระจายกับสายสัญญาณม้วนพันกันไปมา คงเป็นภาพที่ไม่น่ามองแน่ๆ ซึ่งการติดตั้งอุปกรณ์และเซิร์ฟเวอร์ในตู้ Rack (แบบวางซ้อนๆ กัน) นั้น ช่วยให้ประหยัดพื้นที่ไปได้เยอะ

    2. ประหยัดเวลาในการจัดการ, แก้ไข

    หากระบบล่ม การติดตั้งเซิร์ฟเวอร์หรืออุปกรณ์เครือข่ายในตู้ Rack จะช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบ ระบุปัญหา และเข้าแก้ไขได้รวดเร็วมีประสิทธิภาพ

    3. เดินสายได้สวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย

    ข้อนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะในองค์กรใหญ่ๆ ที่มีเครื่องเซิร์ฟเวอร์และการเชื่อมต่อเป็นจำนวนมาก การจัดการสายสัญญาณและสายไฟต่างๆ ให้เรียบร้อยสวยงาม ถือเป็นสิ่งจำเป็น

    4. ส่งต่อ, มอบหมายงานได้ง่าย รวดเร็ว

    แน่นอนว่าหากทุกอย่างเป็นระบบระเบียบเรียบร้อย การส่งต่อ มอบหมาย หรือสอนงาน ก็จะเป็นเรื่องง่ายทันที

    5. ลดปัญหาเรื่องฝุ่นละออง, ความชื้น

    ข้อนี้ชัดเจนอยู่แล้ว ว่าการติดตั้งในตู้ Rack สามารถช่วยป้องกันทั้งเรื่องฝุ่นและเรื่องน้ำ

    6. ป้องกันสัตว์กัดแทะ

    หนูกับสายไฟดูเหมือนจะเป็นของคู่กัน บางทีอาจจะมีพรรคพวกมาเพิ่มทั้งแมลงสาบหรือมด การติดตั้งตู้ Rack ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้แน่นอน

     7. ป้องกันอุบัติเหตุ

    เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอแม้กระทั่งการเดินสะดุดสายไฟ 

    8. ระบายความร้อน

    ข้อสุดท้ายสำคัญมาก เพราะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อน ยิ่งหากติดตั้งพัดลมระบายอากาศเพิ่มด้วยแล้ว ยิ่งดีเข้าไปใหญ่

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    หลักการจัดวางอุปกรณ์ในตู้ Rack

    - ขนาดเหมาะสมกับอุปกรณ์ (กว้าง ยาว ลึก)

    - อุปกรณ์ที่ต้องมอนิเตอร์ ควรวางในระดับสายตา

    - สายสื่อสารควรจัดวางไว้ด้านบน ตามมาตรฐาน IDC

    - สายไฟควรจัดวางไว้ด้านล่างหรือแยกออกจากกัน เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวนสายสื่อสาร

    - อุปกรณ์ที่มีน้ำหนักมากและมีขนาดยาว ควรวางไว้ด้านล่าง

     

    *ตรวจสอบให้เรียบร้อย ว่าอุปกรณ์ทั้งหมดของเรานั้น ใช้พื้นที่กี่ U (1U=1.75 นิ้ว หรือ 4.445 เซนติเมตร) อย่าลืมเผื่อความสูงของตู้ (จำนวน U) ไว้บ้าง เพราะคุณอาจจะต้องติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มในอนาคต 

    * ควรติดตั้งอุปกรณ์ที่ต้องมอนิเตอร์ไว้ในระดับสายตา เพื่อสะดวกแก่การแก้ไขตรวจสอบ

    * ขนาดความลึกของตู้ Rack ควรเผื่อไว้ประมาณ 15-20 เซนติเมตร สำหรับการโค้งงอของสายสัญญาณ โดยวัดจากอุปกรณ์ที่มีขนาดลึกที่สุด

    * อุปกรณ์ที่ค่อนข้างหนักและมีขนาดยาว ควรวางไว้ด้านล่าง เช่น UPS เนื่องจากตู้ Rack ส่วนใหญ่มีพัดลมระบายอากาศอยู่ด้านบนบริเวณหลังคา จึงไม่ควรวางไว้สูงๆ เพราะจะบังพัดลมระบายอากาศ

    * เพื่อป้องกันการเกิดสัญญาณรบกวน สายสัญญาณและสายไฟจึงไม่ควรมัดรวมกัน

    ]]>
    Wed, 27 May 2020 02:14:12 +0000
    <![CDATA[แนะนำ 9 วิธี การดูแลโน้ตบุ๊ค ให้ใช้งานได้นานๆ ไม่เสียง่ายๆ]]> https://encom.co.th/blog/CA2005018-02/ การดูแลโน้ตบุ๊คสุดที่รักให้มีอายุการใช้งานได้นานๆ จำเป็นต้องดูแลและใช้งานอย่างเข้าใจ ก็จะทำให้ไม่เสียง่ายๆ ไม่งอแง ต้องเอา เข้าร้านซ่อมอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ซึ่งไม่ค่อยจะทนทานเอาเสียเลย ต่างจากโน้ตบุ๊ครุ่นเก่ายี่ห้อดีๆ แม้จะเป็นโน้ตบุ๊คมือ สองก็ตาม

     

     

    โน้ตบุ๊คเป็นคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยม สะดวกในการใช้งาน และประหยัดไฟฟ้ากว่าคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ แต่ก็ต้องการ การ ดูแลอย่างเข้าใจ เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งาน เช่น

    1. การดูแลแบตเตอรี่ให้ยืดอายุการใช้งาน

    2. จอ บานพับ

    3. แป้นพิมพ์

    4. พอร์ต USB

    5. พัดลมระบายความร้อน

    6. ปุ่มเปิดปิดหรือปุ่ม Power

    7. การป้องกันโน้ตบุ๊คจากความชื้น

    8. ระวังฝุ่น โน้ตบุ๊คกลัวฝุ่น

    9. อะแดปเตอร์ ตัวแปลงไฟโน้ตบุ๊ค

     

    1. การดูแลแบตเตอรี่ให้ยืดอายุการใช้งาน

    การใช้งานแบตเตอรี่อาจจะใช้งานในลักษณะเดียวกับมือถือหรือแท็บเล็ต โดยในครั้งแรกที่เปิดเครื่อง ให้ใช้งานกับแบตเตอรี่ก่อน เมื่อไฟลดเหลือประมาณ 70-80% จึงเปิดสวิทซ์ใช้งานกับไฟบ้านตามปกติ เพื่อให้แบตเตอรี่ได้ใช้งาน และหลีกเลี่ยงการใช้งานจน แบตเตอรี่หมดเกลี้ยง จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว

     

    2. จอ บานพับของโน้ตบุ๊ค

    จอเป็นส่วนที่เกิดปัญหาได้บ่อยๆ และทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่าย การใช้งานอย่าพับหน้าจอ ให้เปิดค้างไว้แบบนั้น จะพับก็ต่อเมื่อต้อง ขนย้ายไปทำงานที่อื่น เพื่อป้องกันสายแพร์ที่เชื่อมต่อระหว่างจอและตัวเครื่องได้รับความเสียหาย โดยหาผ้ามาคลุมเพื่อป้องกันฝุ่น

     

     3. แป้นพิมพ์ของโน้ตบุ๊ค

    ควรหาวัสดุที่ป้องกันความชื้นหรือกันเปียก มาปิด แต่ต้องใส่ใจเรื่องความร้อน อย่าปิดจนมิดทั้งหมด โน้ตบุ๊คดีๆ บางรุ่นจะไม่มีปัญหา เรื่องนี้ เพราะมีส่วนป้องกันน้ำอยู่ใต้คีย์บอร์ด การใช้งานแป้นพิมพ์คีย์บอร์ด อาจจะหาซื้อคีย์บอร์ดมาตรฐานมาไว้ใช้งานแทนคีย์บอร์ดโน้ตบุ๊ค ก็เป็นวิธีที่ช่วยถนอมหรือยืดอายุ การใช้งานแป้นพิมพ์ได้เช่นกัน และยังสะดวกในการใช้งานมากกว่าด้วย

     

    4. พอร์ต USB ในโน้ตบุ๊ค

    พอร์ตนี้หากต้องถอดออกหรือเสียบอุปกรณ์ต่อพ่วงอยู่บ่อยๆ ให้หาอะแดบเตอร์มาใช้ เพื่อต่อผ่านอุปกรณ์ตัวนี้อีกที ป้องกันพอร์ต USB เสียหาย ช่วยยืดอายุการใช้งานให้พอร์ต USB

     

    5. พัดลมระบายความร้อน

    ปกติโน้ตบุ๊คจะมีพัดลมระบายควาร้อนอยู่แล้ว แต่การหาพัดลมมาใช้งานเพิ่ม เช่น พัดลมแบบวางใต้โน้ตบุ๊ค ก็จะช่วยลดความร้อน ลงได้ นอกจากนี้ ก็ไม่ควรวางโน้ตบุ๊คบนผ้า ต้องวางบนพื้นเรียบๆ เพราะจะต้องมีลมผ่าน เพื่อถ่ายเทความร้อน การวางบนผ้าจะทำให้ เกิดความร้อนสะสมสูงมาก ในโน้ตบุ๊คบางรุ่นเมื่อร้อนมากๆ เพราะบางบนพื้นที่เป็นผ้า ก็จะดับเครื่องไปเอง เป็นระบบป้องกันตัว หาก พบว่าโน๊ตบุ๊คมีอาการดังกล่าวแสดงว่า สาเหตุมาจากความร้อน

     

    6. ปุ่มเปิดปิดหรือปุ่ม Power ของโน้ตบุ๊ค

    การเปิดปิดเครื่องจะใช้ปุ่ม Power ให้กดปุ่มนี้เบาๆ บางคนชอบกดแบบ บี้ แรงๆ ทำให้ปุ่มเสียเร็วมาก ดังนั้นหยุด บี้ กดเบาๆ ก็พอ แล้ว โดยเฉพาะสาวๆ จากที่สังเกตุ คนที่ใช้โน้ตบุ๊คที่เป็นสาวๆ มักจะทำให้ปุ่มนี้พังเร็วกว่าปกติ

     

    7. การป้องกันโน้ตบุ๊คจากความชื้น

    โน๊ตบุ๊คบางรุ่นจะมีปัญหากับความชื้นอย่างมาก อย่าง Fujitsu รุ่นนี้ เจอความชื้นไม่ได้ มีปัญหาแทบทุกครั้ง โดยจะมีอาการเปิดแล้ว หน้าจอไม่ขึ้นอะไร แต่เครื่องทำงาน แก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการถอดแรมออกมาแล้ว เอายางลบมาลบบริเวณลายปริ๊นต์ หรือเอาทั้งเครื่องไป ตากแดด หรือใช้น้ำยาไล่ความชื้น

     

    8. ระวังฝุ่น โน้ตบุ๊คกลัวฝุ่น

    การใช้งานในสถานที่มีฝุ่นมากๆ จะทำให้โน้ตบุ๊คเสียเร็ว ดังนั้นต้องระวังฝุ่น ควรมีผ้าคลุมปิดเมื่อหยุดใช้งาน และหมั่นทำความสะอาด นานๆ ที อาจจะรื้อชิ้นส่วนภายในออกเพื่อทำความสะอาดบ้าง

     

    9. อะแดปเตอร์ ตัวแปลงไฟโน้ตบุ๊ค

    การใช้งานโน้ตบุ๊คของบางคนจะเสียบปลักไฟไว้ตลอดเวลา ไม่มีการปิดสวิทซ์ที่ปลั๊กไฟทำให้อะแดปเตอร์ร้อนอยู่ตลอดเวลา และแน่ นอนก็จะทำให้เสียเร็วขึ้นได้เช่นกัน เมื่อหยุดใช้งานก็ควรปิดสวิทซ์ที่ปลั๊กให้เรียบร้อย

     

    การดูแลโน้ตบุ๊คต้องใส่ใจและดูแลให้ถูกต้อง ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้นาน โดยเฉพาะโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ ซึ่งค่อนข้างบอบบาง เสียง่าย เหมือนถูกกำหนดวันสิ้นอายุขัยไว้แล้ว 

     

    อ้างอิงข้อมูลจาก : www.siamebook.com

    ]]>
    Wed, 27 May 2020 02:11:39 +0000
    <![CDATA[Gaming Mouse ต่างจาก Mouse ทั่วไปอย่างไร?]]> https://encom.co.th/blog/CA2005018-01/ สวัสดีค่ะ กลับมาพบกับน้องยินดีอีกแล้วนะคะ วันนี้น้องยินดีจะมาบอกความแตกต่างระหว่าง Gaming Mouse กับ Mouse ทั่วไป ซึ่งหลายท่านอาจจะยังสงสัยว่ามันต่างกันยังไงนะ ทำไม Gaming Mouse ถึงมีราคาแพงกว่า Mouse ทั่วไป

    ในปัจจับันนั้น Mouse จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ

    1.เมาส์สำหรับการใช้งานทั่วไป

     

    Mouse ประเภทนี้เวลาจะใช้งาน สามารถเสียบเข้ากับช่อง USB ของคอมพิวเตอร์และสามารถใช้งานได้ทันทีไม่มีลูกเล่นหรือคุณสมบัติอะไรพิเศษ ซึ่งปัจจุบันได้รับการพัฒนาให้เป็นระบบเซ็นเซอร์แสงแทนระบบลูกกลิ้ง และมีความไวส่วนใหญ่อยู่ที่ 800DPI ทำให้การใช้งานลื่นไหลต่อเนื่องในระดับหนึ่ง เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น ท่องเว็บ, งานออฟฟิศ หรือใช้ในการเล่นเกมก็สามารถทำได้เช่นกันแต่ความไวและความแม่นยำจะไม่เท่า Gaming Mouse ค่ะ

     

    2.เมาส์สำหรับเล่นเกม Gaming Mouse

     

     

     

    Mouse ชนิดนี้มีคุณสมบัติตามชื่อเลยค่ะ คือมีไว้สำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะซึ่ง Mouse ประเภทนี้ จะมีการออกแบบและใช้วัสดุที่แตกต่างจาก Mouse ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวล้ำสมัยหรือแม้กระทั่งความเร็วและความแม่นยำถึง 12000 DPI พร้อมไฟ LED เพิ่มความสวยงามให้กับตัว Mouse  อีกทั้งยังมีปุ่ม Macro สำหรับ Shortcut ตอนเล่นเกมที่สามารถปรับแต่งการตั้งค่าให้เหมาะสมตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน  และที่สำคัญมีความแข็งแรงทนทาน รองรับการกดได้มากกว่า 20 ล้านครั้งอีกด้วยค่ะ ด้วยเหตุผลเหล่านนี้จึงทำให้ Gaming Mouse จึงมีราคาแพงกว่า Mouse ทั่วไปยังไงละค่ะ

    ]]>
    Tue, 26 May 2020 03:12:18 +0000
    <![CDATA[รีวิว ASUS VivoBook S15 (S531F) Intel Core i5-10210U + Nvidia MX 250]]> https://encom.co.th/blog/CR2005018-02/

     

     

    ASUS VivoBook S15 (S531F) โน๊ตบุ๊คสายทำงานที่อัพเกรดสเปคขึ้นให้ดีกว่าแต่ราคาเดิม มาพร้อมกับซีพียู Gen ใหม่ล่าสุด (CPU INTEL Gen 10) ให้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นแต่ประหยัดพลังงานกว่าเดิม สำหรับรุ่นนี้จะมาพร้อมกับ CPU Intel® Core i5-10210U ความเร็ว 1.60 – 4.20 GHz แบบ 4 คอร์ 8 เทรด สถาปัตยกรรม Intel Core i Gen 10 (Comet Lake) และ กราฟิกการ์ดแยก NVIDIA GeForce MX250 สามารถทำงานได้ดีและเล่นเกมส์เบาๆได้เวลาว่างๆครับ RAM 8GB DDR4 2400MHz / STORAGE PCIe SSD 1TB หน้าจอยังให้มาขนาดใหญ่ถึง 15.6 นิ้ว แบบ NanoEdge ที่ขอบจอทั้งสี่ด้านเหลือพื้นที่น้อยทำให้ขนาดตัวเครื่องมีขนาดเล็กลง 

     

    SPEC ASUS VivoBook S15 (S531F)

     

    หน้าจอ IPS แบบ NanoEdge display ขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080) 

                อัตราส่วน 16:9 screen-to-body ratio 88%

    Intel Core Intel Core i5-10210U

    NVIDIA GeForce MX250 2GB GDDR5 VRAM

    RAM 8GB DDR4 2400MHz

    STORAGE  PCIe SSD 1TB

    Wi-Fi Intel Wi-Fi 6 with Gig+ performance (802.11ax)

    Bluetooth V5.0

    ระบบเสียง ASUS SonicMaster by Harman Kardon

    กล้องหน้า  IR HD Camera with facial login

    Windows 10 Home

     

    แกะกล่องเช็คของ

     

    อุปกรณ์ภายในกล่องทั้งหมดจะมีดังนี้

     

    1. ตัวเครื่อง ASUS VivoBook S15 (S531F)

    2. ที่ชาร์จแบต (Adapter)

    3. สติ๊กเกอร์ Vivobook สำหรับติดฝาหลัง

    4. ที่ยึด HDD +SSD ขนาด 2.5 พร้อมตัวกันกระแทก

    5. คู่มือการใช้งาน

     

     

           

    วัสดุและการออกแบบดีไซน์

     

    ASUS VivoBook S15 (S531F) มากับหน้าจอแบบ NanoEdge display ขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080) อัตราส่วน 16:9 screen-to-body ratio 88% ขอบด้านข้างเหลือพื้นที่น้อยมากทำให้มีขนาดเล็กพอๆกับโน๊ตบุ๊คขนาด 14 นิ้วทั่วไป ขอบจอบางมากเพียง 5.2 มม.  การแสดงผลของหน้าจอถือว่าสวยใช้ได้เลยครับ จอเป็นแบบจอด้านเพื่อป้องกันแสงสะท้อนจากภายนอก ทำให้มีมุมมองกว้างถึง 178°

       

     

    เหนือขอบจอจะมีกล้อง IR HD Camera สามารถทำงานร่วมกับ Windows Hello

     

    นวัตกรรมบานพับ ErgoLift ช่วยยกระดับมุมเอียงของแป้นพิมพ์ได้ 3.5 องศา ช่วยการการพิมพ์ง่ายขึ้นไม่เมื่อยข้อมือเวลาพิมพ์นานๆ

     

    ฝาหลังเน้นความเรียบหรูแต่ก็เน้นเฉดสีให้เข้ากับกลุ่มวัยรุ่นเจนใหม่ๆเพราะรุ่นนี้มีสีฝาหลังให้เลือกถึง 5 สี และมีสติ๊กเกอร์ไว้ให้ติดเก๋ๆอีกครับ

     

    ตัวเครื่องทำจากโลหะมีโลโก้ VivoBook บนฝาหลัง

     

    พอร์ตการเชื่อมต่อ

    ด้านซ้ายจะมีพอร์ต USB ทั้งหมดสองช่อง พร้อมไฟแสดงสถานะการทำงาน

     

     

    ด้านขวาจะมี ช่องชาร์จไฟ AC / HDMI / USB / USB-C / ช่องเสียบหูฟัง 3.5 แบบ combo และช่องอ่าน microSD Card

     

     

    คีบอร์ดและทัชแพด

     

    แป้นคีบอร์ดสีเดียวกับตัวเครื่องขนาดแป้นขนาดใหญ่ ระยะการกดที่ 1.4 มม. มีไฟแบล็คไลค์สีขาวมาให้ สามารถปรับความสว่างได้ 3 ระดับ การตอบสนองในการกดถือว่าทำได้ดีครับ พร้อมมีปุ่มนำแพดมาให้ตามมาตราฐานโน๊ตบุ๊คขนาด 15.6 นิ้ว พัดแพดมีขนาดกำลังพอดีรองรับระบบมัลติทัชได้

     

       

    ด้านหลังตัวเครื่องจะมีช่องระบายความร้อน และลำโพงซ้าย-ขวา

     

     

    ประสิทธิภาพการทำงาน

    ASUS VivoBook S15 (S531F) รุ่นนี้มากับซีพียูตัวใหม่ Intel® Core i5-10210U ความเร็ว 1.60 – 4.20 GHz แบบ 4 คอร์ 8 เทรด สถาปัตยกรรม Intel Core i Gen 10 (Comet Lake) และ กราฟิกการ์ดแยก NVIDIA GeForce MX250 ให้ประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิมแถมยังประหยัดพลังงานมากขึ้น ความร้อนแทบจะไม่เห็นเลยขณะใช้งาน

         

    หน่วยความจำ RAM 8GB DDR4 2400MHz / STORAGE PCIe SSD 1TB  รองรับการอัพเกรดในอนาคต

     

     

    แบตเตอรี่

     

    ระยะการใช้งานของแบตเตอรี่แบบเปิดทำงานทุกอย่างจะได้ราวๆ 4 ชั่วโมงกว่าๆครับต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ถือว่าอึดอยู่นะถ้าเปิดโหมดประหยัดพลังงานน่าจะได้ยาวนานกว่านี้พอสมควร และ adapter ก็มีขนาดเล็ก พกพาออกไปใช้งานข้างนอกได้สะดวกเช่นกัน รองรับ Fast Charging สามารถชาร์จไฟเข้า 70% ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ

     

     

    สรุป

     

    ASUS VivoBook S15 (S531F) อัพเกรดมาใหม่ในราคาเดิม มาพร้อมกับชิปประมวลผลตัวใหม่แรงขึ้นและประหยัดพลังงาน และเป็นรุ่นที่ดีสุดของ VivoBook-series ทั้งวัสดุและหน้าจอที่ดีขึ้น มี Windows 10 แท้มาให้พร้อมใช้งานทันที เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจครับ

    เช่นเดิมครับ ตัวเครื่องประกัน 2 ปี สามารถส่งเคลมผ่าน 7-11 ได้ทั่วประเทศ

     

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.extremeit.com

     

    ]]>
    Tue, 26 May 2020 02:53:39 +0000
    <![CDATA[ APC UPS BX1100LI-MS เครื่องสำรองสุดคุ้ม ]]> https://encom.co.th/blog/CR2005018-01/  

     

    หลายคนที่ใช้คอมพิวเตอร์เรือนหมื่นแสน คงเป็นกังวลไม่น้อย ถ้าหากจู่ ๆ เกิดเหตุการไฟตก หรือไฟดับขึ้นมา อาจส่งผลให้อุปกรณ์ภายในเสียหายอย่างถาวร ซึ่งวิธีแก้ไขที่ดีทางหนึ่ง คือการหาเครื่องสำรองไฟดี ๆ มาไว้ใช้งานกันนั่นเอง

     

    และวันนี้ผมจะพาเพื่อน ๆ ไปพบกับเครื่องสำรองไฟ จากแบรนด์ APC รุ่น BX1100LI-MS ที่ให้ประสิทธิภาพในการปกป้องข้อมูลและฮาร์ดแวร์ของคุณได้อย่างปลอดภัย พร้อมความทนทาน และประกันหลังขายที่น่าสนใจมากเลยทีเดียวครับ

     

     

    APC UPS BX1100LI-MS จัดว่าเป็น UPS ในกลุ่ม BACK-UPS Pro นั่นหมายความว่า มันถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ระดับ High-end, เราเตอร์, เครื่องเล่นเกมคอนโซล และอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านชนิดอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี ด้วยแบตเตอร์รี่ที่มีคุณภาพสูง สามารถจ่ายไฟได้อย่างยาวนาน และมีความเสถียร อีกทั้งยังมีระบบป้องกันไฟกระชาก รวมถึงฟีเจอร์พิเศษอีกมากมาย ดังนี้

    Audible alarms : แจ้งเตือนสถานะของพลังงาน และการทำงานของ UPS

    Automatic self-test : มีการทดสอบแบตเตอร์รี่ด้วยตัวเองก่อนการใช้งาน เพื่อตรวจสถานะของ  

                แบตเตอร์รี่ว่าถึงเวลาเปลี่ยนใหม่หรือยัง

    Automatic Voltage Regulation (AVR) : ปรับเพิ่ม-ลดแรงดันไฟฟ้าให้เหมาะสมกับอุปกรณ์โดย

                อัตโนมัติ

    Battery backup and surge protection : เตรียมปริมาณไฟให้เพียงพอ สำหรับอุปกรณ์กลุ่ม

                เน็ตเวิร์ค และกลุ่มที่ใช้พลังงานต่ำ เพื่อให้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้นานเพียงพอนับชั่วโมง

    LED Indicators : บอกสถานะของ UPS ง่าย ๆ ด้วยไฟแสดงสถานะ

    Resettable circuit breakers : คืนสภาพการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว หลังเกิดไฟฟ้า Overload

     

    เอาล่ะ ไหน ๆ ก็พูดไปเสียเยอะเลย เราไปดูสเปคคร่าว ๆ ของ UPS รุ่นนี้กันดีกว่า

     

    Rated Capacity                     1100VAC/550W

    Norminal Input Voltage           230V

    Input Frequency                       50/60 Hz +/- 3 Hz (Auto Sensing)

    Input Connections                       IEC-320 C14, NEMA 5-15P

    Cord Length                                   1.22 Meters

    Battery Type                                   Maintenance-free Sealed Lead-acid Battery with   

                                                              Suspended Electrolyte : Leakproof

    Technical Recharge Time           6 Hours

    Waveform Type                       Stepped Approximation to a Sinewave

    Output Frequency Sync to Mains 550W/1.1 kVA

    Color                                               Black

    Weight                                               9.20 Kg.

    Warranty                                   2 Years

    Option                                               4 x Outlet

     

    จากสเปคเรามาดูกันนิดนึงนะครับ UPS รุ่นนี้ จะมีกำลังไฟอยู่ที่ 550W และมีแรงดันไฟที่ 1100 VA ซึ่งถ้าพิจารณาแล้ว ถือว่าประสิทธิภาพในการจุไฟจะอยู่ในระดับกลาง เนื่องจากค่า VA และ W ต่างกันถึงครึ่งหนึ่ง (ยิ่งห่างกันน้อยยิ่งคุณภาพสูง)

     

    ส่วนรูปแบบการจ่ายไฟนั้น จะเป็นแบบ Stepped Approximation to a Sine wave หรือ Modified Sine wave ถ้าดูจากกราฟจะมีความแตกต่างพอสมควร และนั่นส่งผลต่อประสิทธิภาพของ UPS เพราะปัจจุบัน PSU จะเป็นแบบ Active PFC ซึ่งจะใช้งานได้ดีกับ UPS แบบ Pure Sine wave แต่ถ้าใช้ร่วมกับ UPS แบบ Modified Sine wave ประสิทธิภาพในการส่งไฟฟ้าของ UPS จะลดลงเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว จุดนี้ผมจึงต้องให้เป็นข้อพิจารณาสำหรับใครที่ต้องการใช้งานนะครับ

     

     

    ถัดมาเรามาดูตัว UPS กันแบบเต็ม ๆ เลยดีกว่า ว่ารอบตัวเครื่องนั้นมีอะไรบ้าง

     

     

     

    บริเวณด้านหน้าตัวเครื่อง จะมีไฟ LED บอกสถานะของการทำงาน โดยไฟ On Line ให้ความหมายว่า UPS กำลังจ่ายไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ ส่วนไฟ Replace Battery จะแสดงต่อเมื่อถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนแบตเตอร์รี่แล้ว (ซึ่งเครื่องจะทำการเช็คแบตให้ก่อนทุกครั้ง ตามฟีเจอร์ Automatic self-test นั่นเองครับ)

     

     

    ด้านข้างจะแสดงตรา APS พร้อมเป็นช่องทางสำหรับการระบายความร้อนครับ และที่บริเวณฐานของตัวเครื่อง จะเป็นสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน และข้อควรระวังต่าง ๆ

     

     

    ทีนี้เรามาดูด้านหลังเครื่อง ซึ่งเป็นคอนโซลสำหรับการใช้งานของเรากันนะครับ จะเห็นได้ว่ามันมีตำแหน่งเสียบปลั๊กอยู่หลายที่เลย แล้วก็มีส่วนอื่น ๆ โดยแต่ละส่วนจะเป็นอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลยครับ

     

    ปลั๊กเหลือง ๆ ตัวนี้ เป็นตัวเริ่มต้นการทำงานของเครื่องทั้งหมด เสมือนสะพานเชื่อมไฟฟ้าให้ไหลผ่านมายังเครื่องนะครับ โดยในการใช้งานครั้งแรก เราจะต้องแกะปลั๊กตัวนี้ออกมา แล้วดันเข้าไปในช่องทางด้านล่าง เท่านี้ก็เป็นอันว่าเครื่องจะสามารถใช้งานได้แล้วครับ

     

     

    ถัดมาคือตำแหน่ง Circuit Breaker ปุ่มนี้ใช้เป็นตัวตัดการทำงานของเครื่อง จากกรณีไฟกระชาก แล้วมีไฟฟ้าไหลผ่านเข้ามามากเกินไป ปุ่มดังกล่าวจะเด้งออกมา แล้วเครื่องจะหยุดทำงานทันที เพื่อป้องกันความเสียหายของวงจรภายใน และเมื่อทุกอย่างกลับคืนปกติ เพียงแค่เราดันปุ่มกลับไปที่เดิม เครื่องก็จะสามารถใช้งานใหม่ได้ในทันทีครับ

     

     

    และสุดท้าย Highlight ของเจ้า UPS รุ่นนี้ คือ รูเสียบปลั๊กหลายรูปแบบ ที่รองรับอุปกรณ์ทุกประเภทบนโลกใบนี้!! ดังนั้นไม่ว่าเราจะใช้สำรองไฟให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดไหน หมดห่วงเรื่องปลั๊กไปได้เลยครับ ส่วนด้านล่างสุดจะเป็น AC Power Inlet ครับ

     

     

      

    หากถามว่าประสิทธิภาพของการจ่ายไฟนั้น จะอยู่ได้นานเท่าไร ทาง APC ได้เตรียมข้อมูลการทดสอบ Runtime เอาไว้ ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวพบว่า ในกรณีที่อุปกรณ์ใช้พลังงานไม่มาก เช่น เราเตอร์ หรือ Home storage เป็นต้น UPS เครื่องนี้จะสามารถจ่ายไฟได้นานสูงสุด 1 ชั่วโมง แต่ถ้าหากมีความต้องการในการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น เช่น PC หรือเครื่องเล่นเกมคอนโซล ระยะเวลาในการสำรองไฟจะลดลง แต่ก็มีเวลาเพียงพอให้เราบันทึกงานต่าง ๆ ก่อนที่ไฟจะดับนั่นเองครับ 

     

     

    สำหรับใครที่ต้องการใช้งานนะครับ ต้องบอกเลยว่าก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ในการนำมาใช้งานกับคอมพิวเตอร์ทั่ว ๆ ไป ที่ไม่ได้ใช้กำลังไฟวัตต์สูง ๆ เช่น  PC สำนักงาน หรือเครื่องเล่นเกมคอนโซล เป็นต้น หรือจะนำมาใช้สำรองไฟในอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เราเตอร์ Wi-Fi, Home Storage device, Smart Home device ซึ่งพวกนี้จะใช้พลังงานต่ำอยู่แล้วครับ

     

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.extremeit.com

     

    ]]>
    Tue, 26 May 2020 02:50:31 +0000
    <![CDATA[รู้จัก Windows 10X ระบบใหม่ที่จะมีใน Notebook หรือ Tablet สองจอ]]> https://encom.co.th/blog/2005025-10/

    Windows 10X เป็นระบบปฏิบัติการใหม่ของ Microsoft ออกแบบมาสำหรับNotebook ที่มีหลายหน้าจอ มีฟังก์ชั่นการใช้งานคล้ายกับ Windows 10 แต่มีการเพิ่มอินเตอร์เฟสอื่น ๆ เข้ามาเพื่อให้เข้ากับการใช้งานแบบสัมผัสมากขึ้

    Windows 10X เปิดตัวพร้อม  Surface Neo  โดยเป็นอุปกรณ์คล้าย Tablet สองหน้าจอ และ Surface Duo Smart Phone ที่มีสองหน้าจอเหมือนกัน โดยทั้งสองรุ่นใช้ระบบ Windows 10X  แต่ Microsoft เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับระบบนี้น้อยมาก  แต่วันนี้  Techhub จะพาไปเจาะลึกเกี่ยวกับเจ้า Windows ตัวนี้กัน

    New Start Menu

    เมนูเริ่มต้น ฉีกออกออกจากรูปแบบเดิมที่ต้องกดเครื่องหมาย Windows ซ้ายมือของหน้าจอ และเปลี่ยนไปใช้รูปแบบที่ล้ายกับ Android มากขึ้น ผู้ใช้สามารถเลื่อนขึ้นแล้วดูเมนูแอพทั้งหมดที่ติดตั้งมาได้ และเช่นเดียวกับระบบของ Google  Microsoft กล่าวว่าแอปที่ปรากฏอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้ใช้

    การแจ้งเตือนทางลัดและการปลดล็อค

    การแจ้งเตือนจะถูกจัดกลุ่มเป็นหมวดหมู่และฟังก์ชั่น Action Center ถูกทำให้เล็กลงเพื่อให้ไม่ดูเกะกะจนเกินไป และคุณสมบัติอื่น ๆ รวมถึงระบบปลดล็อกที่เร็วขึ้น เมื่อเราหยิบอุปกรณ์ขึ้นมา ระบบจะทำการสแกนหน้าจออย่ารวดเร็ว

    โปรแกรมและแอพพลิเคชั่น

    หลายคนอาจสงสัยว่า Windows 10X จะคล้ายกับ Windows Phone ที่ออกมาแล้วแป๊กไม่เป็นท่าหรือเปล่า แต่ Microsoft ยืนยันว่าไม่มีแอปพลิเคชั่นใหม่ใน Windows 10X แต่มีการเปลี่ยนแปลงการออกแบบและการใช้งานหลายอย่าง (เดาว่าสามารถใช้แอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่ Windows ใช้ได้)  และ Microsoft เหมือนจำนำเสนอการใช้งานที่มาพร้อม Microsoft office และ Edge สำหรับการทำงานโดยเฉพาะ

    อุปกรณ์ที่รองรับ

    Windows 10X มีไว้สำหรับแล็ปท็อปทั่วไปโดยจะมี 1 หรือ 2 หน้าจอก็ได้ เพื่อให้อุปกรณ์ที่รองรับนั้นใช้งานได้มากขึ้น แต่ ณ ตอนนี้ ยังไม่รู้ว่าจะมีใครเล่นด้วยกับ Microsoft ไหม เพราะตลาด Tablet ที่ไม่ใช่ของ Apple ก็หายไปพอสมควร

     

    ]]>
    Mon, 25 May 2020 10:28:44 +0000
    <![CDATA[Facebook shop ฟังก์ชั่นใหม่ที่ต้องการเปลี่ยนจาก Like ไปเป็น Buy แทน]]> https://encom.co.th/blog/2005025-9/



    ก่อนหน้านี้ หากมีคนโพสต์ขายของบน Facebook เมื่อเราชอบเราก็กดถูกใจไป แต่ Facebook Shop กำลังเพิ่มปุ่มซื้อมาให้เลย เพื่อให้เรากดซื้อได้ง่ายขึ้น

    เมื่อคืนวันคารที่ผ่านมา  Mark Zuckerberg  ได้กล่าวเปิดตัว Facebook Shop ฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่ที่ให้เพจสามารถที่เป็นเพจขายสินค้าสามารถทำ List ขายของได้ง่ายขึ้น

    นี่เป็นครั้งแรก ที่ Facebook กระโดดเข้ามาเล่นในแพลทฟอร์มแบบอีคอมเมิร์ชเต็มรูปแบบ ที่ผ่านมาอาจเห็นแค่ Facebook เป็นตัวกลางในการโฆษณาหรือนำเสนอสินค้าเท่านั้น อาจเพราะการซื้อขายออนไลน์นั้นเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ Facebook เห็นช่องทางที่จะทำธุรกิจได้มากขึ้น

    สิ่งที่ทำให้ Facebook แตกต่างจาก Amazon Lazada หรือ Alibaba คือ Facebok ไม่คิดค่าธรรมเนียมในการวางขายสินค้าหน้าร้าน ในแพลทฟอร์มที่ยกตัวอย่างเบื้องต้น เขาจะเก็บค่าธรรมในการใช้จากผู้วางขาย  ยกตัวเช่น เราขายของได้ 100 บาท อาจจะต้องจ่ายค่าธรรมให้กับ Lazada 5 บาท ทำให้ผู้ขายต้องราคาที่สูงไว้นิดหน่อยเพื่อให้ได้กำไรตามต้องการ

    แต่คิดว่า Facebook อาจจะให้ผู้วางขายสินค้าเสียตังในการทำโฆษณาหรือโปรโมทสินค้าของตัวเองในแบบที่เคยทำให้ โดยคาดหวังว่าตัวเองจะเป็น One stop service ให้กับร้านค้าจำนวนมากบนโลกนี้

    โดยหากเพจใดเป็นเพจร้านค้า  Facebook จะเริ่มอัปเดตให้ใช้งานปุ่ม Shop button มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยผู้ใช้ในอเมริกาจะได้อัพเดทก่อน

    ข้อดีของ Facebook Shop

    • สามารถค้นหาสินค้าได้ง่าย แม้โพสต์เก่าคนซื้อก็มองเห็น

    • ผู้ขายต้องใส่ราคาสินค้าที่ลง ให้เราดูลิสราคาได้เลย ไม่ต้อง Inbox ถามให้เหนื่อย

    • ในแคตตาล๊อกสินค้า จะมีปุ่ม Message ให้กดติดต่อผู้ขายโดยตรง

    • หากผู้ขายเขาทำการโฆษณา จะปุ่ม shop ให้ผู้ในหน้าโฆษณาเลย (อันนี้อาจเป็นข้อดีสำหรับบางคน)

    ทั้งนี้ Facebook Shop นับว่าเป็นความพยายามที่ Facebook กำลังจะทำให้ตัวเองเป็นร้านค้าอีคอมเมิร์ชที่ใหญ่ที่สุดในโลก (เพราะมีผู้ใช้งานมากที่สุด) และมีแผนจะมีปุ่ม shop นี้บน Instagram ด้วย

     

    ]]>
    Mon, 25 May 2020 10:27:51 +0000
    <![CDATA[YouTube เพิ่มฟีเจอร์ “เตือนผู้ใช้ให้หลับนอน]]> https://encom.co.th/blog/2005025-8/

    YouTube เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับผู้ใช้งานที่ชื่นชอบการรับชม YouTube เป็นชีวิตจิตใจจนรบกวนเวลานอนของเราเอง โดยฟีเจอร์ใหม่นี่คือฟีเจอร​์ “เตือนผู้ใช้งานให้หลับนอน” เพื่อไม่ให้ใช้งาน YouTube นานจนเกินไปนั่นเองครับ

    ฟีเจอร์เตือนให้เข้านอนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการแจ้งเตือน “Take a break” หรือกลุ่มการแจ้งเตือนให้หยุดพักการใช้งานบ้าง โดย YouTube ได้เริ่มใช้การแจ้งเตือนในลักษณะนี้ตั้งแต่ปี 2018

    เป้าหมายในการออกแบบฟีเจอร์ดังกล่าวเพื่อให้ผู้คนมีระยะห่างจากจอมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่ผู้คนต่างหันมาใช้งานโทรศัพท์ โน้ตบุ๊ก หรืออุปกรณ์ที่มีจอกันมากขึ้น โดยในช่วงสามปีที่ผ่านมา YouTube รายงานว่ามีการแจ้งเตือนให้ผู้ใช้งานหยุดพักมากถึง 3 พันล้านครั้งเลยทีเดียว

    สำหรับ Bedtime Reminders หรือการแจ้งเตือนให้เข้านอนนั้น ผู้ใช้งานสามารถตั้งเวลาที่เจาะจงเพื่อให้ YouTube แจ้งเตือนให้เข้านอนได้ โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนให้แทรกขึ้นมาระหว่างวิดีโอหรือแจ้งหลังรับชมวิดีโอจบได้อีกด้วย

    YouTube ระบุว่า ฟีเจอร์ดังกล่าวนั้นสามารถใช้งานได้ทันทีทั้งบน iOS และ Android แต่กว่าจะรองรับผู้ใช้งานทั่วโลกก็คงต้องรออัปเดตกันหน่อยนะครับ

    อ้างอิง The Verge

    ]]>
    Mon, 25 May 2020 10:27:07 +0000
    <![CDATA[Google Chrome เตรียมออกอัปเดตให้ใช้ “Windows Hello” เพื่อทำธุรกรรมออนไลน์ได้ ปลอดภัย และสะดวกมากขึ้น]]> https://encom.co.th/blog/2005025-7/ Google เตรียมออกอัปเดต Google Chrome เพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า หรือนิ้วด้วย Windows Hello บนคอมพิวเตอร์ และโน้ตบุ๊กที่รองรับ

    ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกรรมออนไลน์ต่าง ๆ อย่างมาก และมีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าการใช้รหัสผ่านทั่ว ๆ ซึ่งหากปล่อยอัปเดต Google Chrome เวอร์ชันนี้มาเมื่อไหร่

    สามารถเข้าไปเปิดการใช้งานได้ตามนี้ (หากอัปเดตมาแล้ว)

    Setting Page > Payment Methods แล้วเลือก Use Windows Hello (ต้องเป็นอุปกรณ์ที่รองรับการใช้งาน Windows Hello ด้วยนะครับ) เสร็จแล้วโปรแกรมก็จะให้เรากรอกเลข CVC บนบัตร พร้อมกับยืนยันตัวด้วยการสแกนนิ้ว หรือสแกนใบหน้า เพียงแค่นี้ก็จะสามารถใช้งาน Windows Hello เพื่ออนุญาติเข้าถึงการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตได้ง่ายดาย และปลอดภัยมากขึ้น

    อย่างไรก็ตามทาง Google ยังไม่ได้ประกาศวันออกอัปเดตออกมาเมื่อไหร่ แต่น่าจะเป็นเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน

    ที่มา XDA Developers

    ]]>
    Mon, 25 May 2020 10:26:04 +0000
    <![CDATA[LINE for PC 6.0 ปรับหน้าตาครั้งใหญ่ พร้อมรองรับสติกเกอร์เขียนคำ!]]> https://encom.co.th/blog/2005025-6/

    จากรูปจะเห็นว่าไลน์สำหรับคอมพิวเตอร์เวอร์ชันใหม่มีหน้าตาที่ขาวสะอาดตายิ่งกว่าเดิม (ส่วน Dark Mode น่าจะตามมาเร็วๆ นี้นะ) ถ้าเปิดมาครั้งแรกก็ต้องรู้สึกแปลกใจแน่นอน ปุ่มในช่องแชตก็มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งไปบ้างเล็กน้อย โดยเอาปุ่มสติกเกอร์ย้ายไปอยู่มุมล่างขวาแทน นอกจากนี้ปุ่มใหม่ที่น่าจะถูกใจกันมากขึ้นคือปุ่มรูปลำโพงที่อยู่ตรงด้านซ้าย เอาไว้ปิด-เปิดเสียงแจ้งเตือนต่างๆ ให้เหมาะสำหรับการทำงานยิ่งขึ้น

     

     

    และสำหรับคอสติกเกอร์ก็ต้องดีใจกันได้แล้วเมื่อเราสามารถอ่านสติกเกอร์แบบเขียนคำ และสามารถเขียนข้อความลงในสติกเกอร์ชนิดนี้ได้ผ่านคอมพิวเตอร์สักที และสามารถอ่านสติกเกอร์เขียนคำที่คนอื่นส่งมาได้แล้ว ไม่ต้องไปนั่งอ่านสติกเกอร์ในมือถือแล้ว

     

     

    กดปุ่มลด Cached Data ได้เลย สำหรับเครื่องที่มีพื้นที่น้อยๆ

    นอกจากนี้ใน LINE PC เวอร์ชันล่าสุดนี้ก็ยังสามารถจัดการลบข้อมูล Cache และ History ที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ได้ง่ายๆ ด้วย

     

    ใครใช้คอมพิวเตอร์อยู่ก็เตรียมอัปเดตได้เลย น่าจะปล่อยตัวสมบูรณ์จริงๆ ในเร็ววันนี้

     

    ]]>
    Mon, 25 May 2020 10:25:29 +0000
    <![CDATA[แพลตฟอร์ม อินฟราสตรัคเจอร์ Huawei AI Computing โซลูชัน AI ครบวงจรรองรับการใช้งานทุกรูปแบบ]]> https://encom.co.th/blog/2005025-5/  

     

    ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) นับว่ามีบทบาทต่อภาคธุรกิจเเละอุตสาหกรรม ซึ่งมีแนวโน้มว่า AI จะก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำงานและการใช้ชีวิตในโลกยุคดิจิทัลมากขึ้น ดังนั้นการเลือกผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่จะเข้ามาตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจจึงมีความสำคัญอย่างมาก หัวเว่ยเองก็มีโซลูชันทางด้าน AI ครบวงจร ในกลุ่ม Atlas ซึ่งเป็นชุดผลิตภัณฑ์การประมวลผลที่ทรงพลังที่สุดในโลก

    ชิปประมวลผล AI ประสิทธิภาพสูง

    ด้วยความเชี่ยวชาญและมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางและยุทธศาสตร์การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า หัวเว่ยจึงพัฒนาแพลตฟอร์ม อินฟราสตรัคเจอร์ Huawei AI Computing ที่เป็นโซลูชัน AI แบบครบวงจรรองรับการใช้งานทุกรูปแบบ เมื่อพูดถึงประสิทธิภาพการประมวลผล สำหรับงานด้าน AI นั้นจะแตกต่างกับงานประมวลผลทั่วๆไปที่รองรับการประมวลผลได้แบบหลายหลายแต่ไม่สามารถตอบโจทย์กับการประมวลผลในกระบวนการทางคณิตศาสตร์สำหรับข้อมูลขนาดใหญ่ที่ต้องทำซ้ำต่อเนื่องได้อย่าง AI ส่งผลให้ผู้พัฒนาและผู้ผลิตหน่วยประมวลผลทั่วโลกมีการพัฒนาหน่วยประมวลผลเฉพาะทางออกมารองรับงานเทคโนโลยี AI เพิ่มมากขึ้น

    นอกจากประสิทธิภาพการประมวลผลแล้ว การประหยัดพลังงานได้ก็เป็นอีกปัจจัยที่มีความจำเป็น เพื่อให้การประมวลผลในการ Training AI สำหรับสร้างโมเดลออกมานั้นทำได้โดยใช้ต้นทุนต่ำ ดังนั้นการนำ AI ไปใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพจึงเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาตามโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดด้านพลังงานอีกต่อไป

    หัวเว่ย ในฐานะหนึ่งในผู้พัฒนาเทคโนโลยี AI ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการขับเคลื่อนภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยได้ทำการพัฒนาแพลตฟอร์มทางด้าน AI ที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ทุกด้าน ทั้งนี้กลุ่มผลิตภัณฑ์ตระกูล Atlas จะมีตั้งแต่ชิปประมวลผลทางด้าน AI อาทิ Huawei Ascend และในส่วนงานทางด้าน AI จะมีผลิตภัณฑ์ตระกูล Atlas และ MindSpore ซึ่งเป็น Framework ที่สามารถรองรับการประมวลผล AI ส่งผลต่อกระบวนการทำงานที่มีความยืดหยุ่น สำหรับผลิตภัณฑ์ตระกูล Atlas มีดังนี้

    Huawei Ascend AI การประมวลผลที่ทรงพลัง

    ทำงานด้วยโปรเซสเซอร์ Ascend ชิปประมวลผล AI การประมวลผลที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพสูง นับเป็นนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องของโปรเซสเซอร์ Ascend หัวเว่ยผู้พัฒนาโซลูชันไอซีทีระดับโลกได้ส่งผลิตภัณฑ์ โซลูชัน AI รองรับการใช้งานในทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมการประมวลผลที่มีพลังการประมวลผลประสิทธิภาพสูง และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันนี้มี Huawei Ascend 2 รุ่นหลักๆ ได้แก่

    • Huawei Ascend 910 หน่วยประมวลผล AI ที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้พลังงานสูงสุดเพียง 310 วัตต์ เท่านั้น เหมาะสำหรับการนำไปใช้ประมวลผลในการทำเทรนนิ่ง เพื่อสร้างโมเดลสำหรับ AI

    • Huawei Ascend 310 หน่วยประมวลผล AI ที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้พลังงานสูงสุดเพียงแค่ 8 วัตต์ เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในอุปกรณ์ Edge, IoT หรือหุ่นยนต์ ที่ต้องทำอนุมานโดยใช้งานโมเดล AI

    Huawei Atlas – Platform ประมวลผล AI สำหรับตอบโจทย์การใช้งานภาคธุรกิจ

    ส่วนทางด้านแพลตฟอร์มในประมวลผล AI ที่มีรูปแบบการนำไปใช้งานได้หลากหลาย ตั้งแต่การ์ดสำหรับเร่งการประมวลผล AI ไปจนถึงคลัสเตอร์ขนาดใหญ่สำหรับติดตั้งภายใน Data Center โดยสามารถเลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสม ดังนี้

    • Huawei Atlas 900 AI Cluster เป็นการประมวลผล AI ในแบบคลัสเตอร์ ที่มีการติดตั้ง Huawei Ascend 910 จำนวนหลายพันชุดพร้อมระบบเครือข่าย 100G RoCE เพื่อให้การประมวลผลข้อมูลและการ Train AI เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด มาพร้อมซอฟต์แวร์ครบวงจร

    • Huawei Atlas 800 AI Server เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับทั้งการทำ AI Training และ Inference อีกทั้งยังรองรับการติดตั้ง Huawei Atlas 300 AI Accelerator Card ได้สูงสุดถึง 8 ชุดอีกด้วย ซึ่งเหมาะกับงานการวิเคราะห์วิดีโอและภาพ

    • Huawei Atlas 800 Deep Learning System ระบบที่มาพร้อมกับ Deep Learning Service (DLS) เพื่อให้ AI Developer และ Data Researcher ทำการสร้าง AI ได้ทันที ครอบคลุมถึงการทำ Data Labeling, Model Generation, Model Training และ Model Inference ในหนึ่งเดียว

    • Huawei Atlas 500 AI Edge Station อุปกรณ์สำหรับประมวลผลทางด้าน AI แบบ Edge Computingพร้อมความสามารถในการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ LTE ในตัว อีกทั้งยังสามารถประมวลผลภาพหรือวิดีโอได้ด้วยประสิทธิภาพสูง

    • Huawei Atlas 300 AI Accelerator Card การ์ดเร่งการประมวลผล AI ที่ใช้ Huawei Ascend 310 และ Ascend 910 สำหรับรองรับงานที่หลากหลายทั้งการทำ Training และ Inference พร้อม Hardware Encoding/Decoding เร่งการประมวลผลภาพและวิดีโอในตัว

    • Huawei Atlas 200 AI Accelerator Module ชุดประมวลผลทางด้าน AI ที่มีขนาดเล็กเพียงเท่ากับครึ่งหนึ่งของบัตรเครดิต และใช้พลังงานเพียงแค่ 9.5W ที่สามารถประมวลผล HD Video แบบ Real-time ได้พร้อมกันถึง 16 Channel สำหรับการนำไปติดตั้งภายในกล้อง, โดรน และหุ่นยนต์

    • Huawei Atlas 200 DK AI Developer Kit ชุดทดสอบที่ใช้ในการพัฒนาและใช้งาน AI ที่มี Huawei Ascend 310 อยู่ภายใน

    Huawei MindSpore – AI Computing Framework สำหรับการพัฒนาระบบ AI

    MindSpore เป็น AI Computing Framework ที่ถูกพัฒนาโดยหัวเว่ย เป็น Framework สำหรับใช้พัฒนา AI รองรับตั้งแต่การทำ Model Development, Execution, Deployment และ Cloud-Edge-Device ได้ในหนึ่งเดียว อีกทั้งยังสามารถทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์ของหัวเว่ยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมการประมวลผลแบบคู่ขนาน

    ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ตระกูล Atlas ได้เข้ามาช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมอัจฉริยะ อีกทั้งยังเป็นการต่อยอด portfolio โซลูชัน AI ที่ครบวงจรและเป็นยุทธศาสตร์ AI ของหัวเว่ยพร้อมการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า

     

    ]]>
    Mon, 25 May 2020 10:24:06 +0000
    <![CDATA[Dell EMC PowerOne : ระบบอินฟราสตรัคเจอร์แบบ Autonomous สำหรับยุคดิจิตอล]]> https://encom.co.th/blog/2005025-4/  

    Dell EMC PowerOne เป็นการ integrated กันระหว่าง Compute, Storage, Network, VMware และ intelligent controller ถูกทดสอบการทำงานร่วมกันจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อสร้าง Autonomous Infrastructure โดยมุ่งเน้นไปที่ cloud outcomes มากกว่า การดูแล infrastructure (operates) แบบเดิมๆ ซึ่งจะไปลดการทำงานที่ซ้ำซ้อนที่ทำโดยคน เพื่อลดข้อผิดพลาด ลดเวลาในการให้บริการธุรกิจในยุคดิจิตอล โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชียวชาญ หรือ ต้องมีความสามารถในพัฒนาโปรแกรมเพื่อสร้าง automation

    ความต้องการของธุรกิจยุคใหม่ที่มีมากขึ้น

    DELL EMC PowerOne ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถช่วยสนับสนุนธุรกิจขององค์กรยุคใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ กล่าวคือ ธุรกิจยุคใหม่ต้องการระบบที่มีความเป็นอัตโนมัติและแม่นยำ ในขณระบบที่จะตอบโจทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องเป็นระบบที่ทำงานแบบอัตโนมัติและมีความพิเศษ รวมถึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการอย่างเช่น

    สามารถลดการทำงานได้อย่างมหาศาล : พบว่าความผิดพลาดส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากคน สำหรับงานที่เกิดขึ้นซ้ำและทำโดยคน นอกจากนี้ผู้ปฏิบัติงานก็มักต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ เช่น การสร้าง VMware cluster ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญทั้ง computer, storage, network และ VMware ซึ่ง DELL EMC PowerOne สามารถตอบโจทย์เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ได้

    ลดความเสี่ยงในการเซตระบบ : ภาระหนักในการเซ็ตอัพระบบขึ้นมาใช้งาน ก็คือการตรวจและทดสอบการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์และซอฟแวร์ต่างๆ ปัจจุบันยังมีเพิ่มเรื่อง containers ซึ่งอินฟราสมัยใหม่จะต้องรองรับ เหล่านี้จะเห็นว่ามีความเสี่ยงสูงมากที่จะมีปัญหาในการทำงานร่วมกันเมื่อเริ่มรันธุรกิจ หากกระบวนการนี้ลูกค้าจะดำเนินการเองทั้งหมด ขณะที่ DELL EMC PowerOne นั้นได้ถูกจัดเตรียมมาตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตเรียบร้อยแล้ว ผ่านการตรวจและทดสอบโดยผู้ชำนาญซึ่งมี certificated ในแต่ละเรื่อง ดังนั้นลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่าจะรันธุรกิจในยุคดิจิตอลได้อย่างราบรื่น

    ประหยัดเวลา : ขั้นตอนการเซ็ตอัพระบบเมื่อเริ่มต้น ถือว่าใช้เวลามาก กว่าจะทำให้ระบบพร้อมใช้งาน PowerOne Contoroller, Launch Assist และ PowerOne API ช่วยลดเวลาการ deployment และเริ่มธุรกิจได้เร็วขึ้น

    ประหยัดค่าใช้จ่าย : ด้วยวงจรการบริหารจัดการแบบครบถ้วน (lifecycle management), ความสามารถในการตรวจสอบระบบได้ตั้งแต่ต้นจนจบ(ene to end system monitoring) และกระบวนการต่างๆ ที่เพิ่มเติมได้อย่างอัตโนมัติ (automate expansion) ของ DELL EMC PowerOne นับเป็นการช่วยในเรื่องของการปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ที่สำคัญมันช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในแง่ของการบำรุงรักษาและขั้นตอนการอัพเกรดไปได้อย่างยาวนาน

    สร้างอินฟราสตรัคเจอร์แบบอัตโนมัติได้อย่างง่ายดาย

    การสร้างอินฟราสตรัคเจอร์แบบอัตโนมัติ นับเป็นประเด็นที่สร้างความท้าทาย ให้กับองค์กรเป็นอย่างมาก ซึ่งหากคุณต้องการเปลี่ยนแปลงระบบให้เป็นอัตโนมัติจำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์หลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมถึงต้องใช้เวลาและงบประมาณมากมายที่จะจัดการกับมัน แต่อย่างไรก็ตามระบบที่ยอดเยี่ยมอย่าง DELL EMC PowerOne เข้ามาทลายขีดจำกัดในการสร้างอินฟราสตรัคเจอร์แบบอัตโนมัติลงอย่างสิ้นเชิงด้วยวิธีการอย่างง่ายดาย

    DELL EMC PowerOne เป็นระบบอินฟราสตรัจเจอร์แบบ 3-Tier มีระบบ Compute, Networking และ Storage ที่ให้ขุมพลังด้านประสิทธิภาพมากกว่าระบบที่ใช้เซิร์ฟเวอร์แบบมาตรฐานทั่วไป (ที่มีการลงซอฟต์แวร์ไฮเปอร์ไวเซอร์ และโพรวายด์ 3 โมดูลในข้างต้นลงไป) ซึ่ง DELL EMC PowerOne ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถลดการทำงานแบบแมนนวลลงได้ถึง 98% นอกจากนั้นแล้วมันยังให้ความยืดหยุ่นในการใช้งานของทรัพยากรต่างๆ ที่มีความแตกต่างและเป็นอิสระต่อกันได้ และที่สำคัญมันยังสามารถเป็น Cloud-Ready ที่ตอบโจทย์ในเรื่องของการทำงานในลักษณะคลาวด์คอมพิวติ้งได้ ตลอดจนถึงการให้บริการในแง่ของ Consumption Models เพื่อช่วยลดภาระด้านการเงินให้แก่องค์กรที่ต้องการใช้อีกด้วย

    PowerOne คือสุดยอดเทคโนโลยีรวมกันในหนึ่งเดียว

    Dell Technologies ตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีที่จะส่งมอบให้แก่ผู้ใช้งานมาโดยตลอด ซึ่ง DELL EMC PowerOne ก็นับเป็นอีกหนึ่งโซลูชั่นที่รวมเอาสุดยอดความเป็นเทคโนโลยีต่างๆ มาไว้ด้วยกัน โดยเริ่มจาก

    ระบบ Compute : ที่ได้เลือกใช้ตัว PowerEdge MX Compute เป็นตัวประมวลผลที่สามารถทำการโพรวิชั่นทรัพยากรได้อย่างไดนามิก รวมถึงสร้างระบบบริหารจัดการได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงมาก รวมถึงขยายโหนดได้อย่างเต็มขั้น

    ระบบ Networking : Dell ได้ใช้เลือกใช้ระบบอย่าง PowerOne System Fabric ซึ่งมีประสิทธิภาพที่สูงมากในการจัดการโครงสร้างเครือข่ายทั้งระบบเป็นแบบอัตโนมัติ

    ระบบ Storage : ด้วยขุมพลังจาก PowerMax Storage ที่มีประสิทธิภาพชั้นสูง มีความเป็นอัจฉริยะในแง่ของการปกป้องข้อมูลด้วยอัลกอริทึมต่างๆ และสามารจัดการทั้งในเรื่อง SAN ในแบบ Zero Touch ทำการสร้าง LUNs และ Volumes ของสตอเรจสำหรับใช้ใน Clusters ได้อย่างมีประสิทธิภาพถึงขีดสุด

    ระบบ Virtualization : DELL EMC PowerOne เติมเต็มด้วยขุมพลังในการสร้างระบบเวอร์ชวลไลเซชั่นโดยใช้สถาปัตยกรรม VMware ทั้ง vSphere, NSF, ESXi, vCenter Server ทำให้ผู้ใช้งานไว้วางใจในเรื่องของประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่

    วิธีการสร้างระบบอัตโนมัติของ DELL EMC PowerOne

    DELL EMC PowerOne ช่วยเปลี่ยนให้องค์กรสู่โลกดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีความทันสมัย โดยนำเสนอการทำงานแบบอัตโนมัติ ผ่านวิธีการต่างๆ ที่น่าสนใจอันประกอบด้วย

    Launch Assist : เป็นแนวทางที่สำคัญช่วยในการเริ่มต้นเซตอัพระบบตั้งแต่เริ่มแรกที่ต้องบอกว่าใช้เวลาสั้นมากไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่ง VMware แพลตฟอร์ม การดีพลอยคลัสเตอร์ vSphere ที่ปรับแต่งให้ตรงกับเวิร์กโหลดที่เราต้องการ สามารถทำให้องค์กรนำไปใช้งานได้ทันที (On production) ที่ทำให้สามารถลดงานต่างๆ ที่เป็นแบบแมนนวลได้ 98% ผ่านขั้นตอนการทำงานแค่ 6 ขั้นตอนเท่านั้น

    Lifecycle Assist : จัดการในด้านของการใช้เวลาและแรงงานในการจัดการงานต่างๆ ได้อย่างอัตโนมัติ รวมถึงการลดความเสียงต่างๆ ที่อาจเกิดจากการที่ต้องเมนเทรนระบบและสร้างความปลอดภัยให้แก่อินฟราสตรัคเจอร์ ช่วยให้คุณไปใส่ใจในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ได้ดีขี้น

    Expansion Assist : สร้างกระบวนการในการขยายคอมโพเนนท์ของระบบได้อย่างง่าย ทำให้คุณสามารถเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างรวดเร็วและไม่ต้องกังวลถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น

    บทสรุป

    จากข้อมูลในข้างต้นจะเห็นได้ว่า DELL EMC PowerOne เป็น Converged Infrastructure แบบอัตโนมัติ ช่วยสร้างความง่ายให้แก่องค์กรในการวางแผนสร้างระบบดาต้าเซ็นเตอร์ยุคใหม่ มาพร้อมกับสุดยอดเทคโนโลยีของ Dell Technologies ต่างๆ มากมาย ครอบคลุมในส่วนขององค์ประกอบที่นำมารวมกัน ช่วยให้องค์กรลดการทำงานได้สูงถึง 98% ช่วยตอบโจทย์ของธุรกิจที่มองหาระบบที่ต้องการประหยัดเวลาในการทำงาน ประหยัดงบประมาณที่ต้องติดตั้ง จัดการ และมอนิเตอร์ระบบ รวมถึงลดความเสี่ยงของความเข้ากันได้ของระบบ เป็นต้น

     

    ]]>
    Mon, 25 May 2020 10:23:00 +0000
    <![CDATA[Cisco ACI 5.0 ออกแล้ว!]]> https://encom.co.th/blog/2005025-3/ Cisco ได้ประกาศออก ACI เวอร์ชัน 5.0 โดยมีการเพิ่มความสามารถในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นฝั่งของ Multi-cloud Deployment, Day2 Operation และ Service Provider เพื่อรองรับ 5G

    ACI 5.0 ได้เพิ่มความสามารถในหลายแง่มุมดังนี้

    1.) เพิ่มความสามารถให้ Service Provider รองรับ 5G ได้ไม่มีสะดุด

    เนื่องจากว่าการอุปกรณ์มือถืออยู่ใกล้กับจุดรับสัญญาณกว่าที่เคย ทำให้เกิดความต้องการประมวลผลที่ Edge ซึ่ง ACI 5.0 จะช่วยให้ Service Provider สามารถตอบโจทย์ได้ดังนี้

    • รองรับการทำ Segment Routing MPLS และ EVPN Handoff

    • สามารถจับคู่ระหว่างแอปพลิเคชัน 5G และ Transport Slice เพื่อตอบโจทย์ SLA ได้อย่างตรงความต้องการ

    • สามารถขยายการรองรับ 1,000 Application Slice ระหว่าง DC (Data Center) และการเครือข่ายด้วย BGP EVPN Peering เดียว

    • ทำ ACI Multisite Orchestrator (MSO) SR-MPLS Policy ระหว่าง Cloud Site ต่างๆ ของผู้ให้บริการได้จากศูนย์กลางอย่างอัตโนมัติ

    aci segment routing

    2.) ด้านการใช้งานแบบ Multi-Cloud Deployment

    • รองรับ AWS Transit Gateway ด้วยการโปรแกรมการเลือกเส้นทางอัตโนมัติบน TGW Routing-table สำหรับทุกรูปแบบการผสมผสานของ East-West และ North-South

    • รองรับการทำ Segmentation และ Multi-tenancy ตอบโจทย์ระดับองค์กร

    • ทำ Policy L4-L7 ได้อัตโนมัติรองรับ Load Balancer และ Third-party Firewall

    • เปิดเชื่อมต่อประสิทธิภาพสูงระหว่าง AWS VPC และระหว่าง Azure Virtual Network ได้อัตโนมัติ

    • รักษาความมั่นคงปลอดภัยของการเชื่อมต่อระหว่าง On-premise ไป Public Cloud หรือระหว่าง Public Cloud ด้วยกันเองได้อย่างอัตโนมัติ

    ACI Integration with AWS Transit Gateway

    3.) เพิ่มความสามารถด้านการปฏิบัติงานของลูกค้า

    • พร้อมใช้งาน 400G ของ Nexus 9508

    • ทำ RBAC ตาม Leaf ได้

    • รองรับ Leaf ได้ถึง 500 ต่อไซต์ในการทำ Multi-Pod DC และ 15 Virtual DC ใน vCenter

    • รองรับ Containerized Workload เช่น ACI-CNI กับ OpenShift 4.3 บน OpenStack, AWS, Docker Enterprise release 3 รวมถึง ACI Neutron Plugin ยังรองรับ Openstack บน Bare Metal Server 

    • เพิ่ม RBAC สำหรับ Multi-tenancy และ 2-Factors Authentication จาก DUO รวมถึงสามารถสร้าง Endpoint Security Group (ESG) ได้อย่างยืดหยุ่นที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจับกลุ่ม Endpoint ได้ตามคุณสมบัติของ L3 และแยกออกจาก Bridge Domain ได้อิสระ 

    4.) Day2 Operation

    • สามารถใช้ Network Insights ไปติดตามและแก้ปัญหาอุปกรณ์ที่กระจายกันในแต่ละ Geography ได้

    • แก้ปัญหาได้ด้วยความสามารถ Anomaly Detection ได้บนโปรโตคอล PIM, IGMP และ IGMP Snooping control plan

    • ปรับแต่งหน้า Dashboard ได้

    • Integrate กับ AppDynamics ทำให้ติดตามปัญหาเครือข่ายได้รวดเร็ว โดยอาศัยความเชื่อมโยงของข้อมูล Telemetry ของ Network และ Application

    • มีหน้า Topology Views (Beta)

    ที่มาและเครดิตรูปภาพ : https://blogs.cisco.com/datacenter/cisco-application-centric-infrastructure-cisco-aci-5-0-for-the-changing-world

    ]]>
    Mon, 25 May 2020 10:22:07 +0000
    <![CDATA[Aruba Gen7 ASIC ความลับที่ทำให้ Aruba Switch รวดเร็วและมีความสามารถเหนือกว่าใคร]]> https://encom.co.th/blog/2005025-2/ หากใครติดตามการเปิดตัวของ Aruba CX 6300 และ Aruba CX 6400 จะเห็นว่า Aruba สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ในผลิตภัณฑ์ตระกูลนี้ได้อย่างมากมายภายในการเปิดตัวครั้งล่าสุด แน่นอนว่าเบื้องหลังนั้นย่อมไม่ธรรมดา เพราะ Aruba นั้นได้พัฒนา Aruba Gen7 ASIC ขึ้นมาเพื่อเป็นสถาปัตยกรรมสำหรับรองรับความสามารถใหม่ๆ เหล่านี้โดยเฉพาะนั่นเอง

    เบื้องหลังของ Aruba Gen7 ASIC นี้ได้มีการใช้องค์ความรู้กว่า 30 ปีของ Aruba ผสานรวมกัน ทำให้ภายใน ASIC ชุดเดียวนั้นมี Transistor ได้ตั้งแต่ 3,300 ล้านชุดไปจนถึง 10,500 ล้านชุด รองรับประสิทธิภาพสูงสุดถึง 2.8Tbps เรียกได้ว่าสามารถใช้ประมวลผล Traffic ระดับ 10/25/40/100GbE ได้อย่างสบายๆ ในขณะที่อนาคตเองก็ยังสามารถรองรับการเชื่อมต่อแบบ 50GbE หรือการทำ Stacking ด้วยความเร็วระดับ 200Gbps ก็ได้ทั้งนั้น
    อีกหนึ่งความสามารถที่เป็นจริงขึ้นมาได้ด้วย Aruba Gen7 ASIC บน Aruba CX Switch นี้ก็คือการที่ตัวชิป ASIC รองรับการเพิ่มเติมความสามารถใหม่ๆหรือการทำ Programmability ได้ อย่างที่เราทราบกันดีนั้นโดยปรกติ ชิป ASIC หรือ Application Specific Integrated Circuit เป็นชิ้นส่วนพิเศษที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เฉพาะทางบางอย่างเพียงเท่านั้นไม่สามารถปรับเปลี่ยนการทำงานภายหลังได้ แต่ด้วยเทคโนโลยีใน Aruba Gen7 ASIC นั้นช่วยให้เราสามารถขยายขีดความสามารถของอุปกรณ์ Switch ให้เพิ่มมากขึ้นได้โดยอาศัยเพียงการ Upgrade Software เท่านั้นแล้วยังทำงานด้วยความเร็วจากการประมวลผลในระดับ Hardware ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์รุ่นใหม่เพื่อให้ได้ความสามารถใหม่เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา
    อีกส่วนความสามารถที่มีใน Aruba Gen7 ASIC อีกเช่นกันคือ Virtual Output Queueing หรือ VoQ ที่ช่วยลดการเกิด Network Congestion ได้ด้วยการนำแนวคิดของ Queue เข้ามาใช้ในระดับของอุปกรณ์ Switch และทำให้ในภาพรวมระดับ Network นั้นมีการรับส่งข้อมูลได้ด้วย Traffic โดยรวมที่สูงขึ้นมาก และทำ QoS ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังมี Buffer ขนาดที่ใหญ่ขึ้นสำหรับรองรับกรณีการเกิด Traffic Burst ได้ดีขึ้นอีกด้วย
    หากใครกำลังมองหาระบบ Network ที่จะช่วยให้ภาพของการนำเทคโนโลยีด้าน Automation และ AI เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็สามารถพิจารณาใช้งานโซลูชัน Aruba CX Switch ที่ตอบโจทย์ได้ทั้ง Campus Networking และ Data Center Networking ในตัวทันที

    ]]>
    Mon, 25 May 2020 10:20:53 +0000
    <![CDATA[Supermicro ประกาศเปิดตัว GPU Server รุ่นใหม่ ใช้ NVIDIA A100 ทำความเร็วสูงสุด 5 PetaFLOPS]]> https://encom.co.th/blog/2005025-1/ Supermicro ประกาศเปิดตัว GPU Server รุ่นใหม่ ใช้ NVIDIA A100 โดยสามารถทำความเร็วสูงสุด 5 PetaFLOPS ในขนาดเพียง 4U เท่านั้น ตอบโจทย์งาน Artificial Intelligence (AI) และ Deep Learning Application โดยเฉพาะ

    Supermicro ผู้นำทางด้าน Server ประสิทธิภาพสูง ประกาศเปิดตัว GPU Server รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมกับสถาปัตยกรรม NVIDIA HGX A100 รุ่นล่าสุด ซึ่งแบ่งเป็นรุ่น 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ รุ่นขนาด 2U ติดตั้ง NVIDIA HGX A100 จำนวน 4 GPU และ รุ่นขนาด 4U ติดตั้ง NVIDIA HGX A100 จำนวน 8 GPU โดยในรุ่นขนาด 4U นั้นสามารถทำความเร็วในการประมวลผล AI สูงสุดได้ถึง 5 PetaFLOPS เลยทีเดียว โดย GPU จะเชื่อมต่อกันแบบ all-to-all connected ผ่านทาง NVIDIA NVSwitch ที่ให้ Bandwidth ในการเชื่อมต่อระหว่าง GPU แต่ละตัวสูงสุด 600GB per second

    นอกจากนี้ ตัว Server สามารถติดตั้ง CPU จากค่าย AMD ในตระกูล AMD EPYC ได้จำนวน 2 ตัว และสามารถติดตั้งหน่วยความจำได้สูงสุดถึง 8TB และยังสามารถใช้งาน PCI-E Gen 4 ได้ทันที ทำให้รองรับการใช้งาน GPUDirect RDMA network card เช่น InfiniBand HDR ซึ่งรองรับ Bandwidth สูงสุดถึง 200 Gbps ซึ่งเหมาะกับการใช้งาน Workloads หลายชนิด เช่น Artificial Intelligence (AI), Deep Learning, HPC และ Data Analytics

    ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.supermicro.com/en/products/a100

    ]]>
    Mon, 25 May 2020 10:20:02 +0000
    <![CDATA[ข้อดีของ Intel NUC (Mini PC) คืออะไรนะ]]> https://encom.co.th/blog/CA2005008-05/

    ข้อดีของ Intel NUC (Mini PC) คืออะไรนะ

    หลังจากที่เราทำความรู้จักเจ้า Intel NUC (Mini PC) กันไปแล้วนั้น หลายท่านอาจยังไม่ทราบว่าเจ้า Intel NUC (Mini PC) นั้นมีข้อดีอยู่ไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเป็น

     

    • มีขนาดเล็กกระทัดรัด เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่จำกัด ดีไซน์สวยหรูทันสมัย เคลื่อนย้ายได้ง่าย

    • สามารถเลือกจำนวน Ram และ Storage ได้ตามต้องการ

    • มีประสิทธิภาพสูงเทียบเท่า Desktop PC

    • มี USB Type C สำหรับต่อจอหรือใช้เป็น Input Port ได้

    • มาพร้อมกับ Windows 10 และเทคโนโลยีที่ทันสมัย

    • สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้ด้วยการใช้พอร์ตThuderbolt ต่อพ่วง Graphic Accelerator ได้

     

    หากการใช้งานของคุณตรงกับความสามารถของเจ้า Intel NUC (Mini PC) แล้ว แสดงว่าคุณเหมาะที่จะใช้ Intel NUC (Mini PC) ลองพิจารณาดูนะคะ

     

    ]]>
    Tue, 12 May 2020 03:40:44 +0000
    <![CDATA[Intel NUC (Mini PC) คืออะไร?]]> https://encom.co.th/blog/CA2005008-04/

    Intel NUC (Mini PC) คืออะไร?

    พูดถึงคอมพิวเตอร์ PC คนส่วนใหญ่จะนึกถึงรูปทรงแค่ Desktop PC กับ Laptop แต่จริงๆ แล้ว มีอีกรูปทรงนึงคือ Mini PC อย่าง Intel NUC (Mini PC) เป็น พีซีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ ที่ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานเฉพาะด้าน มีพื้นที่จำกัด เมื่อเปิดฝาเจ้า Intel NUC (Mini PC) ออกมาให้ดูจะพบว่าข้างในจะมีเพียงช่องใส่ Storage 2.5 นิ้ว ซึ่งสามารถเลือกใส่ HDD หรือ SSD ก็ได้ และเมื่อยกช่องนี้ออกมาจะเห็น Slot Ram 2 แถว และช่อง PCI-Express สำหรับใส่ SSD แบบ M.2 หรือ NVME อีก 1ช่อง มาพร้อมกับ Windows 10 และที่สำคัญมี Intel Optane memory อีกด้วย ซึ่ง Intel Optane memory นั้นไม่ใช่ Ram หรือ SSD แต่มันคือหน่วยความจำพิเศษ ที่ช่วยให้ระบบทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความเร็วให้กับ HDD ทำให้ได้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ SSD แต่ได้ความจุระดับ HDD นั่นเองค่ะ

     

    ]]>
    Tue, 12 May 2020 03:37:25 +0000
    <![CDATA[จอภาพหรือมอนิเตอร์ (Monitor) CRT/LCD/LED ต่างกันอย่างไร]]> https://encom.co.th/blog/CA2005008-03/ จอมอนิเตอร์หรือว่าจอภาพ  มีความสำคัญสำหรับการแสดงผลข้อมูลให้กับทางด้านสายตา  ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลอะไรก็ตามที่เราสามารถที่จะดูได้ทางจอภาพไม่ว่าจะเป็น  ภาพ  แสง  สี ตัวหนังสือ  ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ในการแสดงผลหลักเลยก็ว่าได้หากไม่มีก็ไม่สามารถที่จะตรวจสอบสถานะต่างๆได้  และด้วยการแสดงผลที่ต้องมีคุณภาพจึงมีเทคโนโลยีต่างๆ  ที่พัฒนาขึ้นจากที่เคยเป็นจอขาวดำเหมือนเมื่อก่อน  แต่ก็ได้เป็นสี  โดยทั่วไปแล้วจอภาพที่เราใช้อยู่มีหลายแบบ  ทั้ง CRT  LCD cและ LED ที่ถูกแบ่งเป็น 3 ประเภทด้วยกันมีคุณภาพที่แตกต่างกัน

     

    1. จอแสดงผลแบบ CRT (Cathode Ray Tube Monitor) ซึ่งเป็นจอแสดงผลที่รับสัญญาณภาพแบบอนาล็อก (Analog) โดยมีการพัฒนาจอแสดงผล CRT มาจากจอโทรทัศน์ในสมัยนั้น โดยผู้ที่ริเริ่มในการสร้างจอแสดงผลแบบนี้คือ บริษัทไอบีเอ็ม ซึ่งในยุคต้น ๆจอแสดงผลจะยังไม่สามารถแสดงกราฟฟิกต่าง ๆได้เหมือนกับในปัจจุบัน

    โดยหลักการทำงานของจอแสดงผลแบบ CRT นั้นจะทำงานโดยอาศัยหลอดภาพที่สร้างภาพเหมือนกับในโทรทัศน์ โดยการยิงลำแสงอิเล็กตรอนไปยังที่ผิวหน้าจอ ซึ่งมีสารประกอบของฟอสฟอรัสฉาบอยู่ที่ผิว เมื่อถูกแสงอิเล็กตรอนมากระทบ สารเหล่านี้จะเกิดการเรืองแสงขึ้นมา ทำให้เกิดเป็นภาพและสีตามสัญญาณ Analog ที่ได้รับมานั่นเอง ในปัจจุบันจอแสดงผลแบบ CRT นั้นเริ่มจะไม่เป็นที่นิยมแล้วเพราะว่ามีจอแสดงผลแบบใหม่มาทดแทนที่มีคุณสมบัติด้านการแสดงผลที่ดีกว่า

     

    จอคอมพิวเตอร์แบบ CRT

     

    2. จอแสดงผลแบบ LCD (Liquid Crystal Display) เป็นจอแสดงผลรุ่นที่สองต่อจากจอแสดงผลแบบ CRT ที่ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2506 ในสมัยแรกๆจอ LCD นั้นเริ่มใช้งานจริงๆในนาฬิกาและเครื่องคิดเลข เป็นจอแสดงผลตัวเลขขนาดเล็ก โดยหลักการทำงานของจอแสดงผลแบบ LCD นั้นจะใช้วัสดุประเภทผลึกเหลว (Liquid Crystal) มาใส่ไว้ในผิวของกระจก ใช้หลักการปรับเปลี่ยนโมเลกุลของผลึกเหลว เพื่อปิดกั้นแสงเมื่อมีสนามไฟฟ้าเหนี่ยวนำ ทำให้เกิดสีขึ้น

    ซึ่งข้อดีของจอแสดงผลแบบ LCD มีหลายอย่างแต่ที่เห็นได้ชัดคือจอ LCD จะประหยัดพลังงานมากกว่าจอแบบ CRT แต่ในข้อดีก็ต้องมีข้อเสียเช่นเดียวกันคือ จอ LCD คือมุมมองสำหรับการเห็นภาพค่อนข้างแคบ

    จอคอมพิวเตอร์แบบ LCD

     

     

    3. จอแสดงผลแบบ LED ( Light-emitting-diod) ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อทางการตลาด โดยชื่อจริงของเทคโนโลยีนี้คือ OLED (Organic Light Emitting Devices) โดยมีหลัการทำงานที่ไม่ยากและสลับซับซ้อนเท่าไรด้วยการนำหลอดLED มาเรียงรายกันเป็นแถว โดยภาพต่างๆจะเกิดขึ้นจากการติดดับของหลอด LED ทำให้เกิดภาพและสีที่ได้ชัดเจนกว่าจอแสดงผลแบบอื่น ๆโดยจอแสดงผลแบบ LED นี้เป็นเทคโนโลยีที่มาทดแทนและปิดจุดบกพร่องของจอแสดงผลแบบ LCD ซึ่งจอแบบ LED นั้นจะไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของมุมมอง และอัตราการตอบสนองของภาพที่ไวกว่าแบบจอ LCD นอกจากนั้นจอแบบ LED ยังประหยัดไฟฟ้าได้ดีกว่าแบบ LCD อีกด้วย

    จอคอมพิวเตอร์แบบ LED

     

     

    ขอขอบคุณบทความดีจาก : www.thaiwebsocial.com

     

    ]]>
    Tue, 12 May 2020 03:33:18 +0000
    <![CDATA[ทำความรู้จักพอร์ตเชื่อมต่อจอมอนิเตอร์ VGA, DVI, HDMI และ DisplayPort แบบไหนเป๊ะ แบบไหนปัง มาดูกันเลย]]> https://encom.co.th/blog/CA2005008-02/  

    คิดว่ามีเพื่อนๆ หลายคน สงสัยในเรื่องของการเลือกสายต่อจอมอนิเตอร์ จะใช้แบบไหนดี? HDMI ดีไหม? หรือเลือกแค่ VGA ก็พอ? ผมเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าสายต่อมอนิเตอร์แต่ละชนิดมันแตกต่างกันอย่างไร ฉะนั้น วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักสายต่อมอนิเตอร์ รวมถึงข้อได้เปรียบในการนำมาใช้งาน เลือกแบบไหนให้เหมาะกับจอภาพครับ

     

    VGA

    เริ่มกันที่สาย VGA กันก่อน คำว่า VGA มาจาก Video Graphics Array ซึ่งเราอาจเรียกได้อีกชื่อว่า RGB connection หรือ D-sub สายประเภทนี้ ได้ถูกใช้มาอย่างนมนาน ตั้งแต่สมัยจอตู้ CRT แล้วล่ะครับ

    ในทางเทคนิคมันสามารถส่งสัญญาณไปจากการ์ดจอ ไปยังจอมอนิเตอร์ ได้ความละเอียดสูงถึง 1920×1080 แต่ด้วยความที่มันเป็นสายแบบอะนาล็อก (Analog) จึงมีสัญญาณรบกวบในระหว่างส่งข้อมูลจากการ์ดจอค่อนข้างมาก ผลก็คือภาพจะไม่คมชัด มีรอยขีด หรือภาพไม่ขึ้น และมีปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย

    ในปัจจุบันเมื่อความละเอียดของจอเพิ่มมากขึ้น ความนิยมของ VGA ก็ลดน้อยลง เนื่องจากข้อจำกัดในการส่งสัญญาณนี้ ทำให้การ์ดจอและมอนิเตอร์ส่วนใหญ่ ไม่มีช่องต่อสาย VGA แล้วครับ

     

    DVI

    สาย DVI หรือ Digital Visual Interface เป็นการพัฒนาให้การส่งสัญญาณจากการ์ดจอ ไปยังจอมอนิเตอร์เป็นแบบดิจิตอล แต่สายต่อแบบ DVI ก็มีอยู่หลายประเภทย่อย ไม่ว่าจะเป็น DVI-A (อะนาล็อก), DVI-D (ดิจิตอล) หรือ DVI-I (อะนาล็อก + ดิจิตอล) แถมยังมีแบบ Single-link และ Dual-link ในสาย DVI-D/DVI-I อีกต่างหาก

    ปัจจุบัน หัวต่อ DVI-A ก็เริ่มไม่มีให้ใช้แล้วล่ะ เพราะคุณภาพไม่ต่างจากสาย VGA ส่วน DVI-D สามารถส่งภาพใน Refresh rate ได้สูงถึง 144 Hz บนความละเอียด 1080p (1920×1080)

    ในส่วนความแตกต่างของสายแบบ Single-link และ Dual-link คือเรื่องของแบนด์วิดธ์ในการส่งสัญญาณ ถ้าแบบ Single-link จะส่งสัญญาณบนแบนด์วิดธ์ 3.96 Gbit/s รองรับความละเอียดสูงสุด 1920×1200 ส่วนแบบ Dual-link จะมีตำแหน่งของพินเพิ่มเติม โดยส่งสัญญาณบนแบนด์วิดธ์ 7.92 Gbit/s รองรับความละเอียดสูงสุด 2560 x 1600

    ทั้งนี้ ปัจจุบันนิยมใช้หัวต่อ DVI เป็นมาตรฐาน การ์ดจอส่วนใหญ่จะมีพอร์ต DVI มาให้นะครับ แต่ถ้าเราต้องใช้งานร่วมกับจอที่มีความละเอียดสูงๆ ก็แนะนำว่าให้ใช้ HDMI หรือ DisplayPort จะดีกว่า

     

    HDMI

    พอร์ต HDMI หรือ High-Definition Multimedia Interface เป็นพอร์ตที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานในด้านมัลติมีเดีย เนื่องจากข้อจำกัดของหัวต่อแบบ VGA และ DVI ที่ไม่สามารถนำสัญญาณเสียงได้ เพราะจอโทรทัศน์บางรุ่น จะมีลำโพงในตัว ดังนั้น HDMI จึงได้เข้ามาแก้ปัญหาในส่วนนี้

    พอร์ต HDMI เริ่มเข้ามามีบทบาทกับจอมอนิเตอร์มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแบนด์วิดธ์ที่มาก โดยในรุ่น 1.4 สามารถส่งสัญญาณได้บนแบนด์วิดธ์ 10.2 Gbps/s ซึ่งในช่วงแรกที่จอเริ่มมีความละเอียดสูงมากขึ้น HDMI จึงได้เข้ามาแทนที่ DVI ในจอระดับสูงหลายๆ รุ่น

    แต่เมื่อมีจอระดับ 4K เข้ามา แบนด์วิดธ์ของ HDMI 1.4 จึงไม่เพียงพอ แม้จะสามารถใช้งานกับจอ 4K ได้ แต่เฟรมเรตจะทำได้แค่ 24 fps เท่านั้น จึงทำให้มีการพัฒนา HDMI 2.0 ที่รองรับจอระดับ 4K ได้ 60 fps อีกทั้งยังสามารถแสดงสีได้ในขนาด 10-12 บิตด้วย (รุ่น 1.4 ได้แค่ 8 บิต)

     

    DisplayPort

    DisplayPort เป็นพอร์ตเชื่อมต่อใหม่ล่าสุดในขณะนี้ โดยในรุ่น 1-1.1a รองรับการแสดงผลในอัตรา 144Hz บนความละเอียดระดับ 1080p ได้ ในขณะที่รุ่น 1.2-1.2a จะรองรับการแสดงผลในอัตรา 144Hz บนความละเอียดระดับ 1440p และสามารถแสดงผลในอัตรา 60 Hz บนความละเอียดระดับ 4K ได้ด้วย

    ส่วนรุ่นที่ใหม่กว่าอย่าง 1.3 และ 1.4 ก็จะมีแบนด์วิดธ์เพิ่มขึ้น ทำให้รองรับการแสดงผลในอัตรา 120 Hz และ 144 Hz ตามลำดับ สำหรับความละเอียดระดับ 4K แถมทั้ง 2 รุ่นนี้ยังรองรับจอ 8K ด้วยนะ

    ข้อได้เปรียบของ DisplayPort เมื่อเทียบกับ HDMI นอกจากจะรองรับการแสดงผลความละเอียดสูงแล้ว ยังรองรับการทำการต่อหลายๆ จอ เพื่อทำ Multiple Streaming ผ่าน Multi-Stream Transport (MST)

    นอกจากนี้ หัวต่อ DisplayPort ได้ถูกพัฒนาให้สามารถทำงานร่วมกับจอ AMD FreeSync และ Nvidia G-Sync ฉะนั้นหมดห่วงได้เลยว่าเกมไม่มี Screen Tearing แน่นอน

     สำหรับในวันนี้ ก็คิดว่าเพื่อนๆ จะได้รับความรู้และสาระไปไม่มากก็น้อย ถ้ามีข้อมูลตรงไหนผิดไป หรือไม่เข้าใจก็สามารถคอมเมนต์บอกมาได้นะครับ

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.expertreviews.co.uk,www.extremeit.com

     

    ]]>
    Tue, 12 May 2020 03:31:13 +0000
    <![CDATA[ความแตกต่างของจอ TN, VA และ IPS – จะเลือกซื้อพาเนลไหนดี?]]> https://encom.co.th/blog/CA2005008-01/  

    นานๆ ทีจะได้มีโอกาสเขียนบทความให้ความรู้ เพราะช่วงนี้ผมมีภารกิจค่อนข้างเยอะ เอาล่ะวันนี้เรื่องที่ผมจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักนั่นคือ ความแตกต่างของจอคอมพิวเตอร์ LCD ประเภทต่างๆ ที่มีในปัจจุบัน ว่าแต่ละประเภทจะมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไรบ้าง

    มุมมอง

    ขออนุญาตข้ามในส่วนของหลักการทำงาน ของจอแต่ละประเภทไปเลยนะครับ เรามาดูในเรื่องมุมมอง หรือ View Angle ของจอกันเลยดีกว่าว่ามันมีความแตกต่างกันอย่างไร

    สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างของจอ TN, VA และ IPS คือเรื่องมุมมองของภายในแต่ละทิศ โดยจอ TN จะมีมุมมองแคบที่สุด ตามทฤษฎีคือ 170/160 องศา แต่พอใช้งานจริงแล้วอาจจะได้น้อยกว่านี้ แม้จอ TN รุ่นท็อปจะมีมุมมองที่ใกล้เคียงกับทฤษฎี แต่มันก็ยังแย่กว่า VA และ IPS อยู่ดี

    VA อยู่ระหว่างกลาง มุมมองดีขึ้นกว่า TN แต่ยังสู้ IPS ไม่ได้นะครับ โดยที่ IPS จะมีมุมมองได้สูงสุดอยู่ที่ 178/178 องศา และไม่ค่อยเกิดการเปลี่ยนแปลงของสี เมื่อเปลี่ยนแปลงมุมมอง หากใช้งานในชีวิตจริง ดังนั้น ใครที่ต้องใช้จอทำงาน โดยเน้นความแม่นยำของสีเป็นอย่างมาก IPS จะเหมาะที่สุดครับ

     

    ความสว่างและความเข้มของสี

    ในเรื่องของความสว่างนั้น จอทั้งสามประเภทจะไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยคือ Contrast ratio คืออัตราความต่างของสีขาวที่สุดและดำที่สุด ถ้ายิ่งค่าสูงขึ้น สีดำก็จะดำสนิทมากขึ้น สีจัดมากขึ้น

    TN และ IPS จะมี Contrast ratio ใกล้เคียงกันคือราวๆ 1000:1 (แม้ว่า IPS จะดันได้มากกว่านี้อีกเล็กน้อย แต่ภาพรวมขอเหมาว่ามันเท่าๆ กัน) นอกจากนี้ ในจอ IPS เราจะพบสิ่งที่เรียกว่า IPS Glow ซึ่งเป็นแสงสีขาวที่ฉาบเหนือส่วนสีดำของภาพบนจอ (คนที่ใช้ IPS น่าจะทราบกันอยู่นะครับ) ทำให้ความเข้มของสีลดลงไปอีกนั่นเองครับ

    แต่ไม่มีใครจะสามารถเทียบความสดของ VA ได้เลย เนื่องจากจอ VA ระดับล่าง สามารถมี Contrast ratio ได้สูงถึง 2000:1 ในขณะที่รุ่นท็อป สามารถดันได้ถึง 4500:1 หากใครต้องการจอที่สีชัดๆ สีดำต้องดำสนิท ขอแนะนำจอ VA เลยครับ (อย่าลืมว่าต้องมองจอตรงๆ นะ เพราะมุมมองด้านข้างจะทำให้สีเพี้ยน)

     

    คุณภาพของสี

    คุณภาพของสีเป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญ โดยจะขอแบ่งการพิจารณาคุณภาพเป็น 2 กลุ่ม คือการแยกความแตกต่างของสี (Color depth) และความกว้างของช่วงสี (Color gamut)

    อันดับแรก ใครที่อยากได้จอสีสวยๆ ขอให้ตัดจอ TN ออกได้เลย เพราะโดยทั่วไปแล้ว มันมี Color depth อยู่ที่ 6-bit เท่านั้น ทำให้การแยกความแตกต่างของสีในจอ TN จะแคบกว่าจอ VA และ IPS แม้จอรุ่นแพงๆ จะสามารถเพิ่มความแตกต่างได้ถึง 8-bit แต่ก็อย่างที่ผมบอก มันเหมือนการบีบบังคับให้จอทำได้ มองดูแล้วยังไงก็สวยสู้ VA และ IPS ไม่ได้นั่นเอง

    ในขณะที่จอ VA และ IPS จะมีค่าความต่างของสีอยู่ที่ 8-bit (รุ่นที่มีราคาถูก บาครั้งเราจะเห็นว่ามันมีค่า 6-bit ได้เหมือนกัน) มันจึงกลายเป็นตัวเลือกสำหรับเหล่าเกมเมอร์ที่ชอบภาพสวยๆ ทั้งนี้ จอ IPS ยังสามารถอัปได้ถึง 10-bit ส่วนจอ VA มีน้อยมากที่จะทำรูปแบบ 10-bit ออกมา ดังนั้น IPS จึงเป็นผู้ชนะในเรื่องนี้ครับ

     

    Color Gamut

    มาต่อกันที่เรื่องความกว้างของช่วงสี ยิ่งค่าสีกว้าง เราก็จะมองเห็นสีได้หลากหลายขึ้น สำหรับจอ IPS และ VA นั้นดีกว่าแน่นอน ส่วน TN จะจำกัดอยู่ในช่วงของ sRGB เท่านั้น ที่แย่กว่าคือถ้าเป็น TN รุ่นล่างๆ ยังครอบคลุมไม่ได้หมดในช่วง sRGB เสียด้วยซ้ำ

    จอ VA คลุม sRGB ตั้งแต่เริ่มต้นเลยครับ และยังสามารถดันได้สูงขึ้นอีก ยกตัวอย่างจอ Quantum dot ของ SAMSUNG จะมีช่วงสีอยู่ที่ 125% sRGB หรือ 90% DCI-P3

    สุดท้ายจอ IPS อันนี้มีตั้งแต่ 95% sRGB ไปจนถึง 95% DCI-P3 แต่ก็ยังยากที่จะเห็นจอ IPS คลุมได้ถึงระดับ full DCI-P3 และ Adobe RGB ซึ่งถ้านำมาใช้เล่นเกม คงจะยิ่งเห็นได้น้อยไปอีกนะครับ เอาเป็นว่าในเรื่องความกว้างของช่วงนี้ IPS ยังคงยืนหนึ่ง

     

    Refresh rate

    เห็นบ่นให้ TN มาเยอะ ว่าแย่ๆๆ ในเรื่องของสี แต่สำหรับ Refresh rate แล้ว จอ TN ไม่เป็นรองใครแน่นอนครับ เพราะมันเป็นข้อได้เปรียบของจอประเภทนี้เลย

    จอ TN เป็นพาเนลเดียวที่สามารถดันได้ถึง 240 Hz บนความละเอียด 1080p และ 1440p ในขณะที่จอ VA สุดที่ 200 Hz (แต่จอ VA 16:9 ส่วนใหญ่จะไปสุดที่ 165 Hz) ส่วนจอ IPS เนี่ยสอบตกในเรื่องนี้ไป เพราะรุ่นท็อปจริงๆ ดันได้ 165 Hz ยิ่งจอกลุ่มโปร ที่ต้องการความละเอียดสูง จะเห็นว่ามีค่า Refresh rate อยู่ที่ 60-75 Hz เท่านั้นเอง แม้ว่าจอ IPS 1080p จาก LG ที่มี Refresh rate 240 Hz กำลังอยู่ในขั้นพัฒนา แต่ก็ถือว่ามันยังไม่มีอยู่จริงในตอนนี้ครับ

     

     

    Response time

    ข้อได้เปรียบอีก 1 จุดของจอ TN คือเรื่อง Response time ตัวเทพๆ สามารถตอบสนองได้เร็ว 1ms หรือเร็วกว่านั้นอีก ในขณะที่รุ่นล่างๆ ก็ไม่ได้ช้าเกิน 5ms ทำเอา IPS และ VA เทียบไม่ติดเลยทีเดียว

    ทางด้าน IPS และ VA นี่แย่พอๆ กัน ถ้าเป็นจอ IPS รุ่นท็อปหน่อย จะเร็วสุดได้ 4ms รุ่นทั่วไปจะอยู่ในช่วง 5-7 ms แต่ถ้ารุ่นล่างๆ นี่หลุดโลกเลยครับ อาจลงได้มากถึง 10ms หรือเยอะกว่านั้น

    VA รู้สึกจะรับกรรมมากที่สุดแล้ว เร็วสุดได้ 5-6 ms จอรุ่นทั่วไปจะอยู่ที่ 8-10 ms แต่ทีนี้การประเมินอาจได้ผลแตกต่างกันไปนะครับ ส่วนใหญ่เขาจะใช้มาตรฐาน Grey-to-Grey ทีนี้การทดสอบบางแบบ จอ VA อาจได้ค่า Response time ที่ดีขึ้น แต่ในบางการทดสอบอาจได้ผลลัพธ์ที่แย่จนต้องตะลึงเลยล่ะ

     

    สรุปสุดท้าย

    ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเทคโนโลยีไหนดีที่สุดนะ เพราะมันขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน แต่ผมจะขอสรุปคร่าวๆ สำหรับการนำไปเลือกซื้อจอมอนิเตอร์

    TN: ภาพและสีแย่สุด แต่ได้เปรียบในเรื่องของการตอบสนอง และอัตรารีเฟรช เหมาะกับการเล่นเกมที่เน้นการเปลี่ยนฉากไวๆ โดยเฉพาะเกม Online, Battle Royale, FPS, MOBA

    IPS: สีสวยสุด ได้เปรียบในด้านการทำงานกับสีที่ต้องการแยกความแตกต่างอย่างชัดเจน จึงเหมาะกับการทำงาน Photoshop หรือการเล่นเกมที่มีเอฟเฟคสวยๆ โดยไม่ต้องการ FPS ที่สูงมากนัก (อาจนำไปใช้เล่นเกม Online, Battle Royale, FPS, MOBA ในกรณีที่ทุ่มงบซื้อ IPS ที่มี Hz สูงๆ จะได้จุดเด่นในเรื่องสีสวยเข้ามาด้วย)

    VA: ผมให้ในระดับกลางๆ คอนทราสต์ดีสุด สีดำจะดำสนิทที่สุด เหมาะกับการดูหนัง หรือเล่นเกมเนื้อเรื่องสำหรับบางคนที่ต้องการดื่มด่ำกับเนื้อหาของเกม แต่สำหรับการเล่นเกม Online, Battle Royale, FPS, MOBA อาจจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไรนัก

    ใครใช้จอแบบไหน ใช้แล้วเป็นอย่างไรบ้าง สามารถแสดงความเห็นได้ใต้โพสต์บนเพจ Extreme IT ได้เลยนะครับ (ใช้คำสุภาพนิดนึงนะ เค้ากลัว) แล้วเดี๋ยวครั้งหน้าผมจะนำเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อะไรมานำเสนอีก อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ สวัสดีครับ

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.Techspot.com,www.extremeit.com

     

    ]]>
    Tue, 12 May 2020 03:28:11 +0000
    <![CDATA[LINE เปิดความสามารถ “แบ่งโฟลเดอร์แชต” ให้ทดลองใช้]]> https://encom.co.th/blog/2005012-5/ LINE เวอร์ชันล่าสุด (10.7.1) เปิดความสามารถใหม่ “Chat Folders” ใน LINE Labs เพื่อจัดกลุ่มแชตต่าง ๆ ให้เป็นระเบียบ หาง่ายขึ้น แต่ฟีเจอร์นี้ก็ยังไม่ใช่ฟีเจอร์อย่างเป็นทางการ ก็ยังต้องลุ้นว่าจะได้กลายเป็นฟีเจอร์จริงในอนาคตหรือไม่



    วิธีการเปิดใช้ Chat Folders นั้นทำได้ไม่ยาก แค่เข้าไปที่ Settings -> LINE Labs แล้วเลือกเปิด Chat Folders เท่านี้ในหน้าแชตของเราก็จะมีแท็บต่าง ๆ เอาไว้ให้เลือกแล้ว โดยตอนนี้มี

     

    All – รวมทุกแชตเหมือนเดิม

    Friends – รวมแชตของเพื่อน

    Groups – รวมแชตกลุ่ม

    Official Accounts – รวมแชตห้างร้านต่าง ๆ

    OpenChats – รวมแชต OpenChat

     

    Chat Folders ยังเป็นฟีเจอร์ที่ต้องการเสียงตอบรับจากผู้ใช้เพื่อปรับปรุงบริการให้ดีขึ้นนะครับ ซึ่งใครมีความคิดเห็นอะไรก็สามารถเขียนกลับไปหาผู้พัฒนาได้โดยกดตัวอักษรสีฟ้าๆ ที่เขียนว่า “Let us know what you think about this feature” แล้วพิมพ์ภาษาอังกฤษเข้าไปเลยครับ อย่างแอดก็ให้คอมเมนต์ไปว่า เป็นฟีเจอร์ที่ดีเลย แต่อยากให้ตั้งโฟลเดอร์เองได้ด้วย จะได้เลือกตั้งแชตงานให้เป็นกลุ่มเดียวกัน ไม่งง หางานไม่เจอ

     

    ส่วน iOS รอไปก่อนครับ ถ้าผู้ใช้ Android เทสต์แล้วบอกว่าดี LINE ถึงจะทำในเวอร์ชัน iOS ให้ใช้กัน

     

    ]]>
    Tue, 12 May 2020 03:12:22 +0000
    <![CDATA[แฮ็กเกอร์โจมตีเว็บไซต์ WordPress กว่า 900,000 แห่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา]]> https://encom.co.th/blog/2005012-4/ Wordfence ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยบน WordPress ได้เตือนถึงแคมเปญการโจมตีเว็บไซต์ WordPress กว่า 900,000 ภายในสัปดาห์เดียวที่ผ่านมา ด้วยการใช้ช่องโหว่ใน Plugin และ Theme

    ผู้เชี่ยวชาญพบว่าตั้งแต่วันที่ 28 เมษายนเริ่มมีความพยายามในการโจมตีเว็บไซต์ WordPress แต่ปริมาณเพิ่มขึ้นสูงสุดในวันที่ 3 พฤษภาคมคือมีการโจมตีเว็บไซต์มากกว่า 500,000 ครั้ง จุดประสงค์หลักของกลุ่มแฮ็กเกอร์คือการ Inject เว็บไซต์เป้าหมายด้วย JavaScript อันตรายเพื่อ Redirect ผู้เยี่ยมชมไปยังเว็บไซต์อันตรายผ่านช่องโหว่ XSS นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบผู้ชมด้วยว่าเป็นผู้ดูแลที่ล็อกอินอยู่หรือไม่ เพื่อหาโอกาสฝัง Backdoor ผู้ดูแลที่อาจไม่ทันสังเกต

    Wordfence ยังพบว่าคนร้ายได้ใช้ฐานการโจมตีมาจาก IP ต่างกันกว่า 24,000 แห่งเพื่อโจมตี โดยช่องโหว่หลักๆ ที่คนร้ายใช้คือ

    • XSS ในปลั๊กอิน Easy2Map

    • XSS ในปลั๊กอิน Blog Designer

    • XSS ใน Newspaper Theme

    • ช่องโหว่ Option Update ในปลั๊กอิน Total Donations

    • ช่องโหว่ Option Update ในปลั๊กอิน WP GDPR Compliance

    อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญแนะว่าคนร้ายอาจจใช้ช่องโหว่อื่นๆ เพิ่มได้ในอนาคตหรืออาจจะหาช่องโหว่ใหม่มาเอง จึงแนะนำให้ผู้ดูแลระมัดระวังอัปเดตส่วนประกอบที่ใช้งาน หรือหา WAF ในรูปแบบของปลั๊กมาใช้งานก็ได้ครับ

    ที่มา :  https://www.zdnet.com/article/a-hacker-group-tried-to-hijack-900000-wordpress-sites-over-the-last-week/ และ  https://www.securityweek.com/nearly-1-million-wordpress-sites-targeted-old-vulnerabilities

    ]]>
    Tue, 12 May 2020 03:10:54 +0000
    <![CDATA[ IBM ขอสนับสนุนการสำรองข้อมูลได้ฟรี 90 วัน!!! ด้วย Modern Data Protection สามารถลงทะเบียนเพื่อ Download และใช้งานได้ฟรี]]> https://encom.co.th/blog/2005012-3/ “ในช่วงเวลาวิกฤติ เพื่อช่วยลดภาระทางการเงินให้กับลูกค้าและเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูล IBM ขอสนับสนุนการสำรองข้อมูลได้ฟรี 90 วัน!!! ด้วย Modern Data Protection สามารถลงทะเบียนเพื่อ Download และใช้งานได้ฟรี “เราพร้อมให้ความช่วยเหลือในวันนี้ เพื่อให้คุณพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้”

    ก่อนอื่นขอแนะนำ บทความเพื่อเป็นแนวทางให้กับหลายท่านที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บทบาทของเทคโนโลยีกับ “Social Distancing” กับช่วงการระบาดของเชื้อโรคและ New normal ที่จะเกิดขึ้น

    อ่านเพิ่มเติม : https://www.techtalkthai.com/key-technology-for-social-distancing-and-what-ibm-support/

    สำหรับ Modern data protection :

    เมื่อต้องอยู่ ห่  า  ง แต่ยังต้อง ห่  ว ง ว่าระบบและข้อมูลจะปลอดภัยไหม? …..การสำรองข้อมูลเป็นอีกหนึ่ง Solution ที่ทุกองค์กรเลือกใช้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ข้อมูลต้องพร้อมที่จะกลับมาใช้งานได้อยู่ตลอดเวลา

    ในช่วงภาวะวิกฤติ IBM มอบสิทธิ์ใช้งานซอฟแวร์สำรองข้อมูลฟรี แบบไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม จากเดิม 30วัน IBM ขยายเวลา เป็นระยะเวลา 90 วัน!!! (Free-of-Charge) เพื่อให้ทุกองค์กรข้อมูลผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ด้วยกัน

    สามารถคลิกลงทะเบียน เพื่อ download ใช้งานซอฟแวร์สำรองข้อมูลได้ที่ :

    https://www.ibm.com/account/reg/us-en/signup?formid=urx-43571

    Modern Data Protection กับ IBM Spectrum Protect Plus เป็นโซลูชั่นสำหรับการปกป้องข้อมูลที่มีความทันสมัย เพื่อตอบสนองความต้องการต่อผู้ใช้งาน มันถูกปรับใช้อย่างง่ายดาย มี Highlight สั้นๆ ดังนี้

    • สามารถติดตั้งง่ายภายใน 15 นาที Deploy แบบ virtual appliance ที่ติดตั้งทั้งบนระบบ Virtualization VMware ,Hyper-V และสามารถติดตั้งได้บน Amazon Web Services (AWS) สามารถเลือกได้จาก AWS Marketplace.

    • เป็นสถาปัตยกรรมแบบ agentless ที่ง่ายต่อการดูแลรักษา

    • มีนโยบายที่ใช้ SLA จะทำการสำรองข้อมูลและเก็บข้อมูลได้โดยอัตโนมัติสำหรับ VM containers, databases และ cloud-based workloads.

    • สามารถสำรอง Application ต่างๆได้ เช่น Database Db2, MongoDB, Oracle, SQL, Mail Exchange และ Microsoft Office365

    ลองก่อนใคร…ไปกับ Live demo : https://spp.tsm.ibmserviceengage.com/demo/

    อ่านข้อมูลเพิ่มเติม :

    เอกสารสอนการติดตั้ง : Getting Started Tutorial [PDF]

    https://www.ibm.com/downloads/cas/GMJOYLAQ?_ga=2.43295589.1188154102.1587545920-2043510498.1587545920

    How to build modern data protection solution:

    https://www.ibm.com/support/pages/node/1119489?_ga=2.14667255.1188154102.1587545920-2043510498.1587545920

    VDO สอนการใช้งานและติดตั้ง :

    Modern Data Protection Data Sheet :

    https://www.ibm.com/downloads/cas/E0J8JWKO

    Modern Data Protection for Amazon Web Services :

    https://www.ibm.com/downloads/cas/MAYK5GKJ

    หากสนใจเพิ่มเติมสามารถติดต่อทาง IBM Thailand มีทีมงานพร้อมให้คำปรึกษากับทุกท่าน Inbox เข้ามาได้ที่ Facebook IBM Thailand: https://www.facebook.com/IBMThailand/

    ]]>
    Tue, 12 May 2020 03:10:17 +0000
    <![CDATA[Supermicro ประกาศ Certified รองรับการใช้งาน Hyperconverged Infrastructure จาก RedHat]]> https://encom.co.th/blog/2005012-2/ Supermicro ได้ประกาศ Certified รองรับการใช้งาน Hyperconverged Infrastructure (HCI) จาก RedHat ใน Server ตระกูล BigTwin, SuperServers และ Ultra

    ในครั้งนี้ Supermicro ได้นำ Server หลายรุ่นเข้าทดสอบและผ่านการ Certified กับโซลูชัน Red Hat Hyperconverged Infrastructure for Virtualization (RHHI-V) เวอร์ชัน 1.7 อย่างเป็นทางการ โดย RHHI-V เป็นการรวมกันระหว่าง Red Hat Virtualization และ Red Hat Software-Defined Storage (Gluster Storage) ซึ่งเป็น Hyperconverged Infrastructure (HCI) แบบ Open-source ที่มีประสิทธิภาพสูง, มีความคุ้มค่า และสามารถบริหารจัดการได้ง่าย

    โดย Server รุ่นที่ Supermicro ได้นำเข้าทำการทดสอบ ได้แก่ BigTwin, SuperServers และ Ultra ซึ่งแบ่งตามลักษณะการใช้งานเป็นหลัก โดยรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดประกอบด้วย Server 12 Nodes ที่มีหน่วยประมวลผล 672 Cores, หน่วยความจำ 4,608 GB และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบ NVMe ขนาด 230 TB ซึ่งทั้งหมดนั้นใช้หน่วยประมวลผล 2nd Gen Intel Xeon Scalable และสามารถเลือกใช้งาน Hardware-accelerated options อื่นๆเพิ่มเติมได้ เช่น Intel Optane DC persistent memory, NVIDIA GPU หรือ 25GbE Networking

    Credit: Supermicro

     

    ผู้ที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.supermicro.com/solutions/Solution-Brief_RedHat_Open_Hyperconverged.pdf

    ]]>
    Tue, 12 May 2020 03:09:13 +0000
    <![CDATA[Microsoft เพิ่มฟีเจอร์เพื่อป้องกันการ Reply all email จำนวนมากใน Office 365]]> https://encom.co.th/blog/2005012-1/ เวลาตอบอีเมลหลายคนก็ชอบใช้ Reply all อย่างไม่ได้สนใจว่าผู้รับจะเกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไรก็ดีปัญหาคือถ้ามีผู้รับจำนวนมากประกอบกับถูก Reply all หลายครั้งจนอาจเป็นการ Flood ให้เกิดผลกระทบต่อเซิร์ฟเวอร์ได้เช่นกัน ซึ่ง Microsoft ได้เรียนรู้กับตัวเองมาแล้ว ดังนั้นล่าสุดจึงออกฟีเตอร์ป้องกันการกระทำเช่นนี้ออกมาบน Office 365

     

    Email Storm เป็นปัญหาหนึ่งที่เกิดการจาก Reply All ซึ่งกลุ่มผู้รับการมีจำนวนมากและพอตอบกลับหลายๆ ครั้งก็อาจทำให้เกิดโหลดที่เซิร์ฟเวอร์อีเมลอย่างหนักหน่วงได้ ซึ่งแม้แต่บริษัทยักษ์ไอทีอย่าง Microsoft เองก็เคยประสบมากับตัวแล้วเช่นกัน 

    ล่าสุดมีการออกฟีเจอร์ป้องกันการ Reply all เวอร์ชันแรก (Reply All Storm Protection) แล้วบน Office 365 โดยเงื่อนไขคือหากมีผู้รับเกิน 5,000 คนและมี Reply-all ต่อเนื่องมากกว่า 10 ครั้งใน 1 ชั่วโมง จะมีการบล็อกอีเมลวงนี้ไปอีก 4 ชั่วโมง เพื่อช่วยลดการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ อย่างไรก็ตามในอนาคต Microsoft จะทำให้แอดมินสามารถกำหนดเงื่อนไขเฉพาะบน Exchange สำหรับองค์กรของตนได้ รวมถึงความสามารถในการทำ Report และแจ้งเตือนต่อแอดมินได้แบบเรียลไทม์

    ที่มา :  https://www.zdnet.com/article/microsoft-adds-protection-against-reply-all-email-storms-in-office-365/

    ]]>
    Tue, 12 May 2020 03:07:41 +0000
    <![CDATA[MSI เปิดตัว Notebook รุ่นใหม่ 4 ซีรีส์ สเปก Intel Core i Gen 10H และ Nvidia GeForce RTX Super]]> https://encom.co.th/blog/CR2004028-01/  

    เราจึงมุ่งเน้นที่จะผลิตเกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านการเล่นเกม รวมถึงยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเพียงไม่กี่รายในตอนนี้ ที่สามารถให้บริการได้ตามมาตรฐาน ท่ามกลางเหตุการณ์ที่ต้องทำให้ทั่วโลกหยุดชะงัก แต่ MSI นั้นไม่หวั่น พร้อมมุ่งมั่นกับไลน์อัพเกมมิ่งโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ของปีนี้ ที่มีการติดตั้งหน่วยประมวลผลสูงสุดถึงระดับ Intel® Core™ i9 (Comet Lake H-series) และยังมีกราฟิกการ์ดตัวใหม่ล่าสุด GeForce RTX™ Super series ที่ออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสำหรับการเล่นเกมระดับสูงโดยเฉพาะ

     

    สู่จุดสูงสุดของวิวัฒนาการ เมื่อความแรงในการเล่นเกมเพิ่มขึ้นถึง 50%

     

    เนื่องจากเกมสมัยใหม่นั้น ต้องการประสิทธิภาพในการใช้งานค่อนข้างสูง จึงเป็นแรงจูงใจในการทำให้ MSI ได้พัฒนาเกมมิ่งโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ที่สามารถแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพขั้นสูง ด้วยพลังด้านการประมวลผลของ Intel® Core i Gen 10th ประสิทธิภาพสูงลิบถึงระดับ i9-10980HK ซึ่งจะเห็นผลได้ชัดกับค่า FPS ในเกมรวมถึงการใช้งานแบบมัลติทาสก์ ด้วยประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นถึง 50% ของชิปประมวลผลรุ่นใหม่ของ Intel ตัวนี้ ผู้เล่นที่ต้องการประสิทธิที่สูงที่สุด สามารถไปถึงจุดที่ 5.3GHz ในแบบ Sigle-Core ได้อย่างง่ายดาย เพลิดเพลินกับการเล่นเกมแบบสบายๆในประสบการณ์ใหม่แบบที่ไม่มีใครเทียบ

     

    นอกจากนี้ ยังมีกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ GeForce® RTX 2080 SUPER™ ที่มีเทคโนโลยี Real-Time Ray Tracing เพิ่มความสมจริงให้กับกราฟิกภาพในเกม พร้อมอิ่มเอมไปกับการแสดงผลที่ถูกปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นไป ด้วย AI อัจฉริยะที่จะปรับเปลี่ยนให้ภาพและแสงมีความเนียนตา มาพร้อมประสิทธิภาพที่เหนือกว่ารุ่นก่อนนี้หลายเท่า

     

    เกมมิ่งโน้ตบุ๊กสองรุ่นใหม่ พร้อมรางวัลใหญ่มอบไว้สำหรับการันตีการเป็นเกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่ดีที่สุดในตอนนี้ GE66 Raider และ GS66 Stealth 

    GS66 และ GE66 นั้นพกนิยามใหม่ของสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มาอย่างเต็มที่ ทั้งดีไซน์บางและเบา รวมเอานวัตกรรมใหม่ๆมาใส่ไว้ ในส่วนของจอแสดงผล พร้อมให้คุณได้ยลเทคโนโลยีใหม่ เมื่อมีความไวสูงสุดถึงระดับ 300Hz, รวมไปถึงแบตเตอรี่ ที่มีความจุถึง 99.9 WHR มาผนวกรวมกับขุมพลังจากหน่วยประมวลผลและชิปแสดงผลรุ่นใหม่ที่อยู่ภายใน ทำให้ GS66 และ GE66 รุ่นใหม่นี้ เพียงพอที่จะกลายเป็นเกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดได้อย่างไม่ต้องสงสัย

     

    GS66 Stealth: รูปโฉมใหม่ โฉบเฉี่ยวไฉไล ในสไตล์สีดำสนิท

     

    ด้วยธีมใหม่ “Core Black” ที่ออกแบบมาให้ดูลึกลับผสมกับมีสไตล์ ได้รับรางวัล “iF Design Award” และรางวัล “Red Dot Design Award” ทำให้ตลอดทั้งตัวเครื่องนั้น เต็มไปด้วยความพิถีพิถัน และด้วยอุปกรณ์ที่ทรงพลัง ช่วยผลักดันให้ GS66 Stealth เป็นเกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่มีความแรงและเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ระบายความร้อนได้อย่างเต็มที่ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ Cooler Boost Trinity + พร้อมใบพัดที่มีความบางเพียง 0.1 มม. เพื่อเพิ่มขอบเขตการไหลเวียนของอากาศ เพื่อประสิทธิภาพที่สูงที่สุดในการใช้งาน

     

     

    GE66 Raider: จุดไฟให้สว่างไสวพร้อมการกำเนิดใหม่ของเหล่าเกมเมอร์

     

    GE66 Raider เหมาะสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการความเพอร์เฟค โดยทีเด็ดไม่ได้มีแค่ส่วนของประสิทธิภาพเท่านั้น แต่เป็นรูปลักษณ์ภายนอก ที่บ่งบอกถึงจิตวิญญาณความเป็นเกมเมอร์ได้เป็นอย่างดี ทั้งสีจากไฟ Mystic Light ในส่วนด้านล่างที่วางตำแหน่งอย่างได้เหมาะสม สามารถรับชมแสงสีในแบบออโรร่า ที่มาพร้อมไฟ RGB 16.8 ล้านเฉดสี ขับเคลื่อนด้วย CPU และกราฟิกการ์ดตัวล่าสุด อยู่ในจุดสูงของเหล่าเกมมิ่งโน้ตบุ๊กทั้งปวง พ่วงด้วยรางวัลการันตี ที่ชื่อ “Red Dot Award” ที่บ่งบอกถึงคุณภาพได้เป็นอย่างดี

     

    รวมถึงยังมี MSI GT Titan, GP / GL Leopard และซีรี่ส์ GF Thin ที่ได้เปิดซิงใช้ CPU รุ่นใหม่ Intel® Core i 10th Gen H-Series รวมถึงยังมีกราฟิกการ์ดของ NVIDIA GeForce รุ่นใหม่ เพื่อเป็นตัวเลือกที่หลากหลายสำหรับเกมเมอร์ชาว MSI ทุกคน

     

     

    MSI Creator 17: ครีเอเตอร์โน้ตบุ๊กที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยหน้าจอแสดงผลเทคโนโลยี Mini LED ช่วยให้เห็นสีสันที่แม่นยำและสมจริง

     

    สำหรับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ระดับมืออาชีพนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือประสิทธิภาพในการทำงาน ทุกอย่างต้องได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ซึ่ง MSI Creator 17 ได้รวบรวมทุกอย่างไว้เบ็ดเสร็จในเครื่องเดียว ทั้งหน้าจอที่ใช้เทคโนโลยี Mini LED มีมาตรฐาน DisplayHDR 1000 ตัวแรกของโลก ความละเอียดระดับ 4K ความสว่างสูงถึง 1,000 nits ซึ่งได้รับการยกย่องจากสื่อต่างๆทั่วโลก ว่าเป็นหน้าจอที่เหนือกว่าคู่แข่งในแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น IPS หรือ OLED ก็ไม่สามารถเทียบได้กับตัวนี้ ในขณะที่หน่วยประมวลผลยังคงจัดเต็มเหมือนที่เคยใช้

     

    ด้วย Intel® Core™ i 10th Gen H-series รุ่นใหม่ รวมถึงยังใช้กราฟิกการ์ดสูงสุดถึงระดับ GeForce RTX 2080 Super™ ทำให้เรียกได้ว่า Creator 17 ตัวนี้ เป็นโน้ตบุ๊ก GeForce RTX Studio ที่ดีที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมี Creator 15M และ 17M series ที่ได้รับการอัพเกรดทั้ง CPU และกราฟิกการ์ดเป็นรุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน

     

     

    ข้อมูลสเปคและราคาคร่าวๆสำหรับรุ่นที่จะวางจำหน่ายในประเทศไทย

     

    GE66 Raider 10SF

    – CPU รุ่นใหม่ สูงสุดถึงระดับ Intel® Core™ i7-10750H

    – กราฟิกการ์ด สูงสุดถึงระดับ GeForce RTX™ 2070

    ราคาเริ่มต้นประมาณ 6x,xxx บาท

    GS66 Stealth 10SE

    – CPU รุ่นใหม่ สูงสุดถึงระดับ Intel® Core™ i7-10750H

    – กราฟิกการ์ด สูงสุดถึงระดับ GeForce RTX™ 2060

    ราคาเริ่มต้นที่ 5x,xxx บาท

     

    GE75 Raider 10SGS

    – CPU รุ่นใหม่ สูงสุดถึงระดับ Intel® Core™ i9-10980HK

    – กราฟิกการ์ด สูงสุดถึงระดับ GeForce RTX 2080 Super™

    ราคาเริ่มต้นที่ 1xx,xxx บาท

     

    GS75 Stealth 10SFS / 10SGS

    – CPU รุ่นใหม่ สูงสุดถึงระดับ Intel® Core™ i9-10980HK

    – กราฟิกการ์ด สูงสุดถึงระดับ GeForce RTX 2080 Super™ Max-Q

    ราคาเริ่มต้นที่ 9x,xxx บาท

     

    GF75 Thin 10SER

    – CPU รุ่นใหม่ สูงสุดถึงระดับ Intel® Core™ i7-10750H

    – กราฟิกการ์ด สูงสุดถึงระดับ GeForce RTX™ 2060

    ราคาเริ่มต้นที่ 4x,xxx บาท

     

    GF65 Thin 10SDR

    – CPU รุ่นใหม่ สูงสุดถึงระดับ Intel® Core™ i7-10750H

    – กราฟิกการ์ด สูงสุดถึงระดับ GeForce® GTX1660Ti

    ราคาเริ่มต้นที่ 3x,xxx บาท

     

    GF63 Thin 10SCSR

    – CPU รุ่นใหม่ สูงสุดถึงระดับ Intel® Core™ i7-10750H

    – กราฟิกการ์ด สูงสุดถึงระดับ GeForce® GTX1650 Ti Max Q

    ราคาเริ่มต้นที่ 3x,xxx บาท

     

    Creator 17 A10SF

    – CPU รุ่นใหม่ สูงสุดถึงระดับ Intel® Core™ i7-10750H

    – กราฟิกการ์ด สูงสุดถึงระดับ GTX1650 Ti Max Q

    – 17.3″ UHD (3840*2160), HDR1000 mini LED, DCI-P3 100%

    ราคาเริ่มต้นที่ 9x,xxx บาท

     

    โดยทุกรุ่นที่กล่าวมานี้ จะมีวางจำหน่ายในประเทศไทยตั้งแต่กลางเดือนเมษายนเป็นต้นไปค่ะ  หากท่านไหนสนใจสามารถสอบถามรายละเอียดตามช่องทางด่านล่างนี้ได้เลยค่ะ

    Line : @encom

    Tel. 02-8036858, 089-1239426

    Mail : [email protected]

     

    ที่มาของข้อมูล : notebookspec.com

     

    ]]>
    Mon, 04 May 2020 09:22:49 +0000
    <![CDATA[All In One หรือ PC แบบไหนดีว่ากัน]]> https://encom.co.th/blog/CR2004027-02/  ในปัจจุบันมีการเลือกใช้คอมพิวเตอร์หลายประเภท มีทั้ง PC, Notebook, All In One ซึ่งแต่ละชนิดจะตอบโจทย์การใช้งานไม่เหมือนกัน การที่จะเลือกใช้งานว่าชนิดไหนดีที่สุด คุ้มที่สุด ก็คงตอบได้ยากเพราะขึ้นอยู่กับการใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้ใช้งานจริงมากกว่า โดยแต่ละชนิดก็มีข้อดีแตกต่างกันไป โดยวันนี้จะมาอธิบายแต่ละชนิดให้ทราบ เพื่อเป็นแนวทางการติดสินใจในการเลือกซื้อ

     All In One เป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรูปแบบใหม่ที่รวมทั้ง Mainboard, CPU, Ram, Hard Disk และอื่นๆ มาไว้ที่หน้าจอเพียงจุดเดียว(ด้านหลังของหน้าจอ) โดยสามารถใช้งานและให้ประสิทธิภาพเหมือนกับ Desktop PC ทุกอย่าง  เหมาะกับผู้ที่ใช้งานที่มีพื้นที่ในการวางแบบจำกัด เพราะ All In One PC นั้นมีอุปกรณ์หลักๆ แค่ 3 ชิ้นเท่านั้น นั่นก็คือ หน้าจอ (Monitor), คีย์บอร์ด (Keyboard) และ เมาส์ (Mouse) นั่นเองค่ะ เหมาะสำหรับใช้งานทั่วไป ดูหนัง ฟังเพลง หรือ สำนักงานออฟฟิศ ไม่เหมาะกับงานหนักเช่น ตัดต่อ เล่นเกมส์ ใครที่มีพื้นที่บ้านจำกัดถือว่าตอบโจทย์ สายไฟไม่รกรุกลัง เคลื่อนย้ายง่าย  มีราคาถูก ที่สำคัญมีลำโพงในตัว เสียงใสอีกด้วย

     

    PC เป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่ใช้ทำงานได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับสเปคของเครื่อง อีกทั้งยังสามารถปรับแต่ง อัพเกรดเครื่องให้ทันสมัยเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงเหมาะสมกับการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น งานตัดต่อ เล่นเกมส์ หรืองานกราฟิก แต่จะเคลื่อนย้ายลำบากเพราะมีสายไฟและอุปกรณ์เสริมต่างๆ ค่อนข้างเยอะ นอกจากนี้ยังมีราคาที่สูง (ขึ้นอยู่กับตามความแรง)

    Notebook เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่มีความแรงในระดับหนึ่ง เหมาะสำหรับงานนอกสถานที่ เคลื่อนย้ายสะดวก ไม่ต้องเสียบสายไฟก็ใช้ได้ เพราะมีแบตเตอรี่ในตัว สามารถใช้งานต่อเนื่องได้หลายชั่วโมง Notebook มีหลายราคาตั้งแต่ หลักหมื่นยันหลักแสน ยิ่งถ้าเป็น Notebook สำหรับเกมส์มิ่งด้วยแล้วราคาก็จะยิ่งแพง

    ดังนั้นถ้าให้ตอบว่าแบบไหนดีว่ากัน คงจะให้คำตอบไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับความต้องการมากกว่า แต่ถ้าเทียบราคาแล้ว All In One ถือว่าถูกสุด สำหรับคนที่ใช้ในการทำการทั่วไป ดูหนัง ฟังเพลง ท่องอินเตอร์เน็ต ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าใครอยากจัดเต็ม ก็ดูตัวเลือกที่เหลือได้เลยแต่จะต้องเพิ่มเงินในกระเป๋าอีกสักหน่อยเพื่อให้ได้เปคที่ถูกใจ สุดท้ายนี้บทความนี้คงเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังตัดสินใจเลือกซื้ออยู่ไม่มากก็กน้อย และหวังว่าจะทำให้ท่านตัดสินใจเลือกซื้อได้ง่ายขึ้นนะคะ

     

    ]]>
    Mon, 04 May 2020 09:20:49 +0000
    <![CDATA[มาทำความรู้จักเจ้า All In One PC กันเถอะ]]> https://encom.co.th/blog/CR2004027-01/ สวัสดีค่ะ วันนี้น้องยินดีจะมาแนะนำ  All In One PC ให้ทุกท่านได้รู้จักและหายสงสัยกันนะคะ ซึ่งเจ้า All In One PC นั้นก็ คือ  คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่รวบรวมทั้ง Mainboard, CPU, Ram, Hard Disk และอื่นๆ มาไว้ที่หน้าจอเพียงจุดเดียว (ด้านหลังของหน้าจอ) โดยสามารถใช้งานและให้ประสิทธิภาพเหมือนกับ  Desktop PC ทุกอย่าง  เหมาะกับผู้ที่ใช้งานที่มีพื้นที่ในการวางแบบจำกัด เพราะ All In One PC นั้นมีอุปกรณ์หลักๆ แค่ 3 ชิ้นเท่านั้น นั่นก็คือ หน้าจอ (Monitor), คีย์บอร์ด (Keyboard) และ เมาส์ (Mouse) นั่นเองค่ะ

     

    จุดเด่นของเจ้า  All In One PC คือ มีดีไซน์สวยหรู ประหยัดเนื้อที่ ไม่มีสายระโยงระยาง ดูเป็นระเบียบมากขึ้นไม่เกะกะเหมือน  Desktop PC ในส่วนของความเร็วและแรงเหมือนใช้  Desktop PC ทั่วไปเลยค่ะ  สามารถติดตั้ง Software ได้ไม่ต่างจากเครื่อง PC เช่นกัน ที่สำคัญประหยัดพลังงานสุดๆไปเลยค่ะ จึงทำให้หลายท่านหันมาเลือกใช้เจ้า All In One PC นั่นเองค่ะ

    ]]>
    Mon, 04 May 2020 09:19:50 +0000
    <![CDATA[วิธีเพิ่มพื้นที่ว่างในฮาร์ดดิสก์ให้คอมพิวเตอร์ของคุณ]]> https://encom.co.th/blog/CA2004028-02/ สวัสดีค่ะ น้องยินดีเชื่อว่าคงจะมีหลายท่านที่ใช้งานคอมพิวเตอร์และประสบปัญหาฮาร์ดดิสก์เต็ม หรือแม้กระทั่งท่านที่เปลี่ยนมาใช้ SSD แล้ว ก็มักจะมีความจุไม่เยอะมากอยู่ดี และสาเหตุที่ฮาร์ดดิสก์เต็มนั้นก็มีหลายสาเหตุนะคะ ทั้งจากตัวผู้ใช้และตัวเครื่องเอง วันนี้น้องยินดีจึงมีวิธีดีๆ มาแนะนำเพื่อช่วยเพิ่มที่ว่างหรือคืนพื้นที่ให้กับฮาร์ดดิสก์ของท่านค่ะ

     

    ลบไฟล์ที่ไม่ได้ใช้งาน

    การลบไฟส์ที่ไม่ได้ใช้งานออก อาจจะเสียเวลาไปบ้างแต่ก็ทำให้ได้พื้นที่ใช้งานคืนมานะคะ

    กำจัดไฟล์ซ้ำ

    ในปัจจุบันมีโปรแกรมสำหรับหาไฟล์ซ้ำมาให้ใช้กันแล้วนะคะ ลองหามาใช้กันดูนะคะ เมื่อหาไฟส์ได้แล้ว ก็จำกัดเลยค่ะ รับรองว่าได้พื้นที่ใช้งานคืนมาเยอะแน่นอนค่ะ

    ลบโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งาน

    หลายท่าทราบไหมคะว่า โปรแกรมแต่ละตัวกินพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ประมาณ 1-2 GB เลยนะคะ ยิ่งถ้าเป็นเกมด้วยแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ต่ำกว่า 5-20 GB กันเลยนะคะ เพราะฉะนั้นโปรแกรมไหนที่ไม่ได้ใช้ เกมไหนที่ไม่ได้เล่น ก็ลบออกบ้างนะคะ

    อย่าลืมลบไฟล์ใน Recycle Bin

    ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปรกติเวลาที่เราลบไฟล์ หรือกดปุ่ม Delete ไฟล์ที่เราลบจะย้ายมาอยู่ในถังขยะ(Recycle Bin) เพื่อที่ถ้าเราต้องการใช้งานก็สามารถเลือกไฟส์นั้นนำออกมาใช้งานได้ โดยกดปุ่ม Restore เพราะไฟล์ยังไม่ได้ถูกลบไปจริงๆ ยังกินพื้นที่ความจุอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าหากเราลืมลบไฟล์ใน Recycle Bin ก็ยังทำให้ฮาร์ดดิสก์เต็มได้ง่ายๆ เหมือนเดิม ดังนั้นเราต้องหมั่นลบไฟล์ใน Recycle Bin ด้วยนะคะ

     

    สุดท้ายต้อง Disk Cleanup คอมพิวเตอร์ของคุณบ้างนะคะ

    เป็นอีกเครื่องมือที่ดีมากเลยที่เดียวค่ะ แต่หลายท่านมักลืมและไม่ได้ใช้งานนั่นก็คือ Disk Cleanup ซึ่งอยู่ใน Accessories > System Tools > Disk Cleanup เป็นโปรแกรมง่ายๆ ของ Windows ที่จะช่วยเคลียร์ไฟล์ Temporary หรือไฟล์ระบบของเครื่อง รวมถึงประวัติการใช้งานอินเตอร์เน็ต ซึ่งล้วนแต่เป็นไฟล์ที่ตัว Windows สร้างมาเพื่อใช้งานชั่วคราว ซึ่งเราสามารถสั่งลบได้ทั้งหมดเลยนะคะ ถ้าใครไม่ค่อยได้ทำก็อาจจะใช้เวลานานหน่อยค่ะ แต่รับรองว่าจะได้พื้นที่ใช้งานคืนมาเป็นกิกกะไบต์เลยละคะ

     

    น้องยินดีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูล เหล่านี้จะเป็นประโยชน์ช่วยให้เพื่อนๆ ได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นนะคะ  สำหรับสัปดาห์หน้าน้องยินดีจะมาแนะนำทริคอะไรดีๆ ต่อไปนั้น ก็ต้องคอยติดตามกันนะคะ  จะได้ไม่พลาดข่าวสาร หรือโปรโมชั่นดีๆ จากน้องยินดีด้วยค่ะ... ^.^*

     

    ]]>
    Mon, 04 May 2020 09:16:32 +0000
    <![CDATA[ข้อดีข้อ- ข้อเสียของโน้ตบุ๊ค (Notebook)]]> https://encom.co.th/blog/CA2004028-01/ Front view of notebook and cup of coffee. inspiration and mock-up concept Free Photo

    Notebook เป็นคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสำหรับการทำงานนอกสถานที่ เพราะมีขนาดเล็ก สามารถพกพาได้สะดวก มีแบตเตอรี่ในตัวจึงทำให้มีพลังงานใช้แม้จะไม่ต่อปลั๊กไฟ และเนื่องจาก Notebook มีขนาดเล็ก จึงทำให้อุปกรณ์ภายในต่างๆ ก็มีขนาดเล็กลง ประสิทธิภาพจึงลดน้อยลงเช่นกัน และในส่วนข้อดี – ข้อเสีย ของมันมีอะไรบ้างนั้น มาดูกันเลยค่ะ

    ข้อดี

    • มีขนาดเล็กกระทัดรัด น้ำหนักเบา เพื่อตอบสนองในการพกพา จึงถูกออกแบบให้มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา เพื่อง่ายต่อการเคลื่อนย้าย
    • ใช้งานได้ทุกที่ เนื่องด้วยมีแบตเตอรี่ในตัวเครื่องจึงทำให้ ใช้งานได้ในทุกที่แม้ไม่มีปลั๊กไฟ แต่ก็สามารถใช้งานได้ในระยะเวลาหนึ่งขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่
    • ประหยัดพื้นที่ เพราะมีขนาดเล็ก จึงทำให้มีพื้นที่สำหรับวางอุปกรณ์หรือของใช้อื่นๆเพิ่มขึ้น
    • ดูเป็นระเบียบมากขึ้น เพราะไม่มีสายระโยงระยาง เกะกะ
    • มีดีไซน์สวยงาม รูปทรงทันสมัย น่าใช้

    ข้อเสีย

    • มีราคาสูงกว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หากไม่จำเป็นที่จะต้องใช้งานนอกสถานที่ แนะนำให้เลือกใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะจะดีกว่าค่ะ เนื่องจากมีราคาถูกกว่า และตอบสนองความต้องการได้ดีกว่าด้วย
    • ให้ประสิทธิภาพน้อยกว่า โดย Notebook ที่มีราคาเท่ากันกับ Computer PC นั้น ส่วนใหญ่แล้ว Notebook จะมีปรสิทธิภาพด้อยกว่าในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็น ความเร็ว, หน่วยความจำ, หน้าจอ เป็นต้น
    • ไม่เหมาะสำหรับการทำงานขั้นสูง เช่น งานตัดต่อ งานกราฟฟิก เพราะงานประเภทนี้จำเป็นต้องใช้หน้าจอขนาดใหญ่และหน่วยประมวลผลที่รวดเร็ว
    • มีความทนทานต่ำกว่า เพราะเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็ก มีความบาง จึงมีความเสี่ยงต่อการใช้งาน เวลาพกพาอาจทำให้อุปกรณ์เกิดการกระแทกและเสียหายได้ อีกทั้งหากมีการเปิดใช้งานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดความร้อนสะสม ทำให้แบตเตอรี่และตัวเครื่องมีปัญหาได้เช่นกัน
    • Upgrade ยากเพราะมีตัวเครื่องขนาดเล็ก จึงส่งผลให้อุปกรณ์ภายในถูกลดขนาด และมีการจัดวางตำแหน่ง ส่งผลให้การ Upgrade เกิดความยุ่งยาก เช่น การ์ดจอ, Mainboard
    • การซ่อมยาก หากตัวอุปกรณ์เกิดการชำรุดเสียหาย การซ่อมแต่ในละครั้งจำเป็นต้องให้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญป็นอย่างสูงซ่อม ถึงจะทำได้ เพราะอะไหล่บางตัวไม่สามารถเปลี่ยนเองได้ค่ะ
    ]]>
    Mon, 04 May 2020 09:10:39 +0000
    <![CDATA[Adobe ออกแพตช์ให้ผลิตภัณฑ์ Illustrator, Bridge และ Magento แนะผู้ใช้ควรอัปเดต]]> https://encom.co.th/blog/2005004-5/ Adobe ได้ออก Advisory เกี่ยวกับช่องโหว่ร้ายแรงจำนวนมากและช่องโหว่อื่นๆ บนผลิตภัณฑ์ Illustrator, Bridge และ Magento จึงแนะนำให้ผู้ใช้งานเร่งอัปเดต

    ช่องโหว่บนผลิตภัณฑ์ Illustrator 

    มีการแก้ไขช่องลอบรันโค้ดซึ่งทั้งหมดอยู่ในระดับร้ายแรงจำนวน 5 รายการ (คลิกดู Advisory จาก Adobe)

    ช่องโหว่บนผลิตภัณฑ์ Bridge 

    โดยรวม Bridge มีการแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงถึง 14 รายการ ซึ่งส่งผลกระทบกับเวอร์ชัน 10.0.4 และก่อนหน้าทั้งบน macOS และ Windows รายการช่องโหว่มีตั้งแต่ Heap Buffer Overflow, Memory Corruption, Use-after-free, Out-of-bound Write ทั้งนี้ช่องโหว่อาจนำไปสู่การลอบรันโค้ดในบริบทสิทธิ์ระดับผู้ใช้งานนั้นได้ (คลิกดู Advisory จาก Adobe)

    ช่องโหว่บนผลิตภัณฑ์ Magento

    มีการแก้ไขช่องโหว่ 13 รายการซึ่งนำไปสู่การลอบรันโค้ดและเปิดเผยข้อมูล ทั้งนี้กระทบกับผลิตภัณฑ์ Magento Commerce และ Open-source เวอร์ชัน 2.3.4 และก่อนหน้า Magento Enterprise Edition เวอร์ชัน 1.14.4.4 และก่อนหน้า Magento Community Edition 1.9.4.4 และก่อนหน้า รวมถึง Magento Commerce และ Open-source เวอร์ชัน 2.2.11 ซึ่งหมดช่วงการสนับสนุนไปแล้ว  (คลิกดู Advisory จาก Adobe)

    ที่มา :  https://www.zdnet.com/article/adobe-patches-critical-code-corruption-bugs-across-bridge-illustrator-magento/ และ  https://www.bleepingcomputer.com/news/security/adobe-fixes-critical-vulnerabilities-in-magento-and-illustrator/

    ]]>
    Mon, 04 May 2020 09:01:42 +0000
    <![CDATA[สำรองข้อมูล กู้คืนข้อมูล ปกป้องข้อมูลบนคลาวด์ เพื่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ ด้วย Arcserve Business Continuity Cloud]]> https://encom.co.th/blog/2005004-4/ ในยุคที่ธุรกิจต้องการการตอบสนอง 24 ชั่วโมงกลายเป็นความท้าทายของงานไอทีที่ต้องมีความสามารถในการบริหารทรัพยากรข้อมูลต่างๆ การเข้าถึงแอพลิเคชั่น ภัยคุกคามทางด้าน Cyber Security, Malware, Ransomware เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ มีความคล่องตัวสูง ลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนและมีความปลอดภัย

    ด้วยเหตุนี้ทำให้ธุรกิจจำนวนมากมีความสนใจในการใช้บริการโซลูชั่นบนคลาวด์มากขึ้น เพื่อปรับปรุงความคล่องตัวและเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการลุงทุนบนโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีแบบดั้งเดิม เพื่อตอบสนองการดำเนินธรุกิจในยุคปัจจุบัน Arcserve ผู้ให้บริการด้าน Data Protection ที่มีประสบการณ์ยาวนานมากกว่า 30 ปี นำเสนอโซลูชั่นในการสำรองข้อมูล กู้คืนข้อมูล บน Cloud แบบครบวงจรทั้งในรูปแบบ Private , Public และ Hybrid Cloud

    Arcserve UDP Cloud Hybrid คือ แพลตฟอร์มที่สำรองข้อมูลบนคลาวด์ กู้คืนความเสียหาย (off-site disaster recovery) เก็บรักษาข้อมูลระยะยาว (long-term retention) อีกทั้งมีการผสมผสานการปกป้อง กู้คืนข้อมูล ที่หลากหลาย และ สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานในลักษณะเดียวกับ Public Cloud ชั้นนำ เช่น Amazon AWS , Microsoft Azure นอกจากนี้ Arcserve UDP Cloud Hybrid มีการบริหารจัดการจากส่วนกลางและสนับสุนนการทำงานทั้ง Private และ Public Cloud ขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Arcserve Hybrid Cloud Backup Model

    • Arcserve UDP เป็นซอฟแวร์ที่มีการสำรองข้อมูลแบบครบวงจรบน Cloud และ DR อีกทั้งยังรองรับโครงสร้างพื้นฐานไอทีอย่างเต็มรูปแบบไม่ว่าจะเป็น Physical Server , Virtual Server ระบบปฏิบัติการ Windows , Linux , ทำงานร่วมกับ Hypervisors ได้ทั้ง Nutanix AHV , Vmware vSphere , Microsoft Hyper-V แบบ Agent Base และ Agentless ซึ่งเหมาะกับทุกองค์กรธุรกิจที่มี IT Infrastructure หลากหลาย

    • Arcserve มีความสามารถในการสำรองและกู้คืนข้อมูลได้ทุกรูปแบบ อย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นสำรองในลักษณะ Disk-To-Disk (D2D) , Disk-To-Disk-To-Tap (D2D2T) และ Disk-To-Disk-To-Cloud (D2D2C) กู้คืนข้อมูลแบบ Bare Metal Recovery , Virtual Standby , Instant VM , Assured Recovery , Granular recovery ด้วยรูปแบบการสำรองกู้คืนข้อมูลอย่างหลากหลายทำให้องค์กรธุรกิจมีความมั่นใจในการปกป้องข้อมูล

    • สามารถสำรอง ปกป้อง โอนย้ายข้อมูลไปยัง Private และ Public Cloud รวมถึง Arcserve Cloud , Microsoft Azure, Amazon AWS ได้อย่างรวดเร็ว

    • รับประกันความปลอดภัยของการเข้าถึงข้อมูลจากนอกสถานที่ด้วยการเข้ารหัส AES 256-bit และการรับรองจาก SSAE16

    • ลดความต้องการในการใช้งาน Bandwidth สำหรับการรับส่งข้อมูลไปยัง Cloud และ off-site disaster recovery ด้วย Build-in WAN Optimize และ Global Deduplication

    • ธุรกิจดำเนินได้ต่อเนื่องด้วยการทดสอบการกู้คืนความเสียหายอัตโนมัติในระดับแอพลิเชั่นและการตรวจสอบ RTO , RPO และ SLA

    • สามารถดูแลบริหารจัดการจากหน้าจอเดียว ผ่านทาง Web Browser ใช้งานง่าย ลดความยุ่งยากและลดงานของไอทีได้ถึง 50%

    Arcserve UDP Cloud Direct  คือ โซลูชั่นของ Arcserve ที่ช่วยในการสร้างสภาพแวดล้อมให้กับการทำงานขององค์กร ด้วยการสำรองและกู้คืนข้อมูลอย่างง่ายดายจากที่ไหนก็ได้ผ่าน Arcserve Cloud Direct ลดความยุ่งยาก มีความคล่องตัวและลดค่าใช้จ่ายเรื่องการลงทุนของ Hardware โดยที่ผู้ใชับริการ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานบน Cloud ได้ง่ายๆ ภายในองค์กรเพียงแค่ Access เข้าไปใช้งานที่ Arcserve Cloud Direct ก็สามารถใช้บริการ Cloud จาก Arcserve ได้ทันที ยังสามารถเลือกได้ทั้งรูปแบบที่เป็น Back up as a Service (Baas)  และ Disaster Recovery as a Service (DRaaS) ได้อีกด้วย

    Back up as a Service (Baas) Model

    • ติดตั้งและทำการสำรองข้อมูลขึ้น Cloudได้ง่ายโดยไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่มีหน่วยความจำและความจุสูง

    • สามารถถ่ายโอนข้อมูลขนาดใหญ่ขึ้น Cloud และได้โดยอัตโมัติอย่างปลอดภัยไม่จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ไอทีจัดการ

    • เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการสำรองข้อมูลขึ้นด้วย WAN optimization

    • หมั่นใจความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูลที่ขึ้นระบบ Cloud ด้วยการเข้ารหัสผ่าน SSL และ AES

    Disaster Recovery as a Service (DRaaS) Model

    • ถ่ายโอนและเข้าถึงข้อมูลอย่างปลอดภัยด้วยการเข้ารหัส

    • การบริการจัดการและมอนิเตอร์ รวมถึงระบบการทำรายงาน สะดวกในการติดตาม Backup ได้ทุกที่ผ่านWeb Browser

    ]]>
    Mon, 04 May 2020 09:00:43 +0000
    <![CDATA[หัวเว่ย เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์เก็บข้อมูลรุ่นใหม่ FusionServer Pro 2298 V5]]> https://encom.co.th/blog/2005004-3/  

     

    กลุ่มผลิตภัณฑ์ประมวลผลของหัวเว่ย ได้เปิดตัว FusionServer Pro 2298 V5 เจนใหม่ ซึ่งเป็นแร็คเซิฟเวอร์จัดเก็บข้อมูลแบบ 2U 2-socket ที่ให้ความจุในการจัดเก็บข้อมูลมากถึง 450 TB เซิฟเวอร์รุ่นใหม่นี้ได้รับการออกแบบเพื่อแก้ไขปัญหาความจุเก็บข้อมูลต่ำและพื้นที่ห้องจำกัด โดยเป็นตัวเลือกอันชาญฉลาดสำหรับลูกค้าที่กำลังมองหาโซลูชันจัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นและความจุสูง เพื่อใช้ในศูนย์ข้อมูลของลูกค้าเอง

    เซิร์ฟเวอร์เก็บข้อมูลรุ่นใหม่ FusionServer Pro 2298 V5 เป็นผลิตภัณฑ์สุดล้ำที่ทำงานบนหน่วยประมวลผล Cascade Lake Refresh รุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูลหน่วยประมวลผล Intel(R) Xeon(R) Scalable และยังรองรับหน่วยความจำถาวร Intel Optane DC ด้วย โดยหน่วยประมวลผล Cascade Lake Refresh ให้ความถี่พื้นฐานสูงถึง 3.9 GHz และเทอร์โบบูสต์ได้ถึง 4.5 GHz ซึ่งถือเป็นความก้าวล้ำล่าสุดของตระกูล Xeon จากอินเทล (Intel) ทั้งยังรองรับคอร์ได้มากกว่าและให้ศักยภาพประมวลผลแบบ hyper-threading ที่มากกว่า ส่งผลให้หน่วยประมวลผลรุ่นใหม่นี้ทำงานได้ดีกว่ารุ่นก่อนถึง 36%

    FusionServer Pro 2298 V5 รองรับไดร์ฟขนาด 3.5 นิ้วได้ 24 ตัว และขนาด 2.5 นิ้วได้ 4 ตัว รวมถึง NVMe SSD อีก 4 ตัวในพื้นที่ขนาด 2U ทำให้มีความจุข้อมูลรวมกันมากถึง 450 TB เซิร์ฟเวอร์เก็บข้อมูลรุ่นใหม่นี้ให้ความหนาแน่นสูง ทั้งยังมีศักยภาพและความยืดหยุ่นยอดเยี่ยมสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจองค์กร เพื่อให้ลูกค้าจัดการข้อมูลอันมหาศาลจากบริการแต่ละวันได้อย่างแนบเนียน เซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่นี้บำรุงรักษาและบริหารจัดการได้ง่าย ช่วยหั่นต้นทุนการเดินระบบและซ่อมบำรุงลงได้อย่างมาก

     

    ]]>
    Mon, 04 May 2020 08:59:46 +0000
    <![CDATA[YouTube เปิดวิธีสร้างรายได้ใหม่ YouTube Membership]]> https://encom.co.th/blog/2005004-2/  

     

    หลังเปิดตัว YouTube Premium และ YouTube Music ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปลายปี 2019 ซึ่งเน้นเอาใจ ฝั่งผู้ใช้งาน ที่อยากเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้สะดวกมากขึ้น เช่น ไม่มีโฆษณาขั้นระหว่างดู หรือการได้ฟังเพลงที่มีจำนวน และคุณภาพเสียงที่ดีมากขึ้น ทั้งยังสามารถแชร์ใช้งานร่วมกันกับสมาชิกในครอบครัวได้ ตามที่แบไต๋ฯ ได้ทำวีดิโอ และเขียนเป็นบทความไว้ กดอ่านย้อนหลังได้ ที่นี่ 

    ล่าสุด YouTube ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ เอาใจ ฝั่ง YouTuber หรือ Video Creator ของตัวเองมากขึ้น โดยมีชื่อว่า YouTube Membership 

    ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ทำให้เหล่า YouTuber สามารถเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ให้กับช่อง หรือ Channel ของตัวเอง นอกจาก การได้ส่วนแบ่งจากค่าโฆษณา, การขายสินค้าของที่ระลึก หรือการรับสปอนเซอร์จากสินค้าบริการต่าง ๆ

    ด้วยช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่ คือการ สร้างระบบ Member หรือ ระบบสมาชิกรายเดือน ที่สามารถกำหนดตั้งค่า ราคาสมาชิกในแต่ละระดับขึ้นเองได้ โดยมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 20 – 3,000 บาท (ต่อเดือน) 

    ซึ่งมีสัดส่วนการแบ่งรายได้จากค่าสมาชิก ในอัตรา 70:30

    (ผู้ผลิตเนื้อหา 70% และ YouTube 30%)

    โดยฟีเจอร์นี้จะสามารถเปิดใช้งานได้ ต้องผ่านเงื่อนไข การมีผู้ติดตาม 30,000 Subscribe จึงจะสามารถเปิดใช้งาน ระบบสมาชิก กำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงคอนเทนต์ รวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ ได้ เช่น

    • สิทธิ์ในการดูวิดีโอก่อนใคร

    • การได้รับชมวิดีโอเนื้อหาพิเศษสำหรับสมาชิกเท่านั้น เช่น คลิปวิดีโอเบื้องหลังการถ่ายทำ

    • การเข้าถึงเนื้อหาในระดับ Exclusive ที่เข้มข้น เจาะลึก หาชมจากคอนเทนต์แบบฟรีไม่ได้

    • สิทธิ์การเข้าถึงไลฟ์แชต หรือการเข้าชมไลฟ์สตรีมมิง

    • การกล่าวถึงชื่อสมาชิกในวิดีโอ

    • การได้รับป้ายไอคอน หรือตราสัญลักษณ์แสดงระดับของการสนับสนุนช่อง

    • สิทธิ์ในการจอง ได้รับส่วนลด สำหรับการซื้อสินค้า บริการ

    • สิทธิ์ในการเข้าร่วมเล่นเกม event กิจกรรมต่าง ๆ และสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีก ฯลฯ

    แม้ YouTube ไม่ใช่ Video Sharing แพลตฟอร์มแรกที่เปิดให้มีการสนับสนุนในลักษณะนี้ แต่ถือเป็นการปรับเปลี่ยนที่น่าสนใจ ชวนติดตามให้ดูกันต่อว่าหลังจากมีฟีเจอร์นี้ เหล่า YouTuber จะสร้างสรรค์คอนเทนต์ออกมาให้ผู้ชม ประทับใจ แปลกใหม่ แตกต่างไปจากเดิมได้แค่ไหน?

     

    ]]>
    Mon, 04 May 2020 08:58:51 +0000
    <![CDATA[Facebook เตรียมเปิดตัวระบบสมาชิกคิดค่าเข้าชม สร้างทางเลือกใหม่ให้ผู้ใช้งาน และเหล่า Creators]]> https://encom.co.th/blog/2005004-1/  

     

    Social Media Platform เปิดศึก! หลัง YouTube เปิดตัวระบบสมาชิกรายเดือน YouTube Membership ได้ไม่นาน Facebook ก็สวนกลับด้วยการเปิดตัว Facebook Subscriptions ให้ลูกเพจสามารถสมัครสมาชิกรายครั้ง/รายเดือน เพื่อแลกกับเข้าถึง Live หรือคอนเทนต์พิเศษที่เจ้าของเพจทำขึ้นมาเฉพาะ สำหรับผู้จ่ายเงินสนับสนุน

    มุมหนึ่งถือเป็นการเพิ่มช่องทาง และโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับเหล่า Creators เจ้าของกลุ่ม และเพจต่าง ๆ ให้มีช่องทางสร้างรายได้เพิ่มจากการตั้ง Purchase Access ลักษณะคล้ายกับการสร้าง Event หรือกิจกรรมในแฟนเพจ แต่ความพิเศษที่เพิ่มขึ้น คือความสามารถในการ ‘ตั้งราคา’ สำหรับการ Get Access หรือ รับสิทธิ์ในการเข้าชม/เข้าร่วมกิจกรรม

    Facebook Fan Subscriptions

    นั้นหมายความว่าจากนี้ไปเหล่านักแคสต์เกม, Live Stremers, นักชิม, นักรีวิวสินค้า หรือ Facebook Creators สายต่าง ๆ สามารถเลือกที่จะเก็บค่าเข้าชมในบางคอนเทนต์ของตนเองได้ ซึ่งคอนเทนต์นั้นคงต้องมีความพิเศษน่าสนใจในระดับที่ผู้ชม หรือลูกเพจที่เคยดูฟรีมาตลอดจะยอมจ่ายเงินเพื่อรับ ลักษณะเดียวกับการเข้าชม คอนเสิร์ต, Talkshow เดี่ยวไมโครโฟน, ละครเวที, โชว์ศิลปะ, คอร์สอบรมสัมนาออนไลน์ต่าง ๆ ที่มีการเก็บค่าเข้าชม ซื้อตั๋ว หรือจองบัตรล่วงหน้า

    ต้องมาดูว่าฟีเจอร์ใหม่นี้ จะเปิดโอกาสให้บรรดาเหล่า FC แฟนคลับที่อยากเข้าไปเชียร์ มีส่วนร่วม โยนดาว ส่งหัวใจ หรือสติ๊กเกอร์ (ที่ Creators สามารถนำไปแลกกลับมาเป็นเงินได้) ซึ่งถือเป็นการให้กำลังใจ และสนับสนุนให้เจ้าของกลุ่ม/เพจที่ตนชื่นชอบ ให้มีทุน และกำลังใจในการทำงานสร้างสรรค์ต่อไป เหมือนที่มีในแพลตฟอร์มอื่น หรือการเปิดฟีเจอร์โยนดาวแบบที่มีใน Facebook Live หรือไม่?

    ในมุมธุรกิจก็ถือเป็นการแก้เกมของ Facebook ที่พยายามกระตุ้นให้เกิดความสร้างสรรค์, Creators หน้าใหม่, รวมทั้งดึงดูด Creators หน้าเก่าที่มีฐานผู้ติดตามจำนวนมาก ให้ยังใช้ และผลิตงานอยู่ใน Platform ของตัวเองต่อไป แม้ระยะหลังจะถูก ‘แพลตฟอร์มอื่น’ ดึงเวลา และผู้ใช้งานใหม่ไปไม่น้อย

    การปรับเปลี่ยนนี้อาจถือเป็นการเริ่มต้นการแก้เกมครั้งใหม่ของ Facebook ที่พยายามรักษาฐานผู้ใช้งานเดิมไว้ และดึงกลุ่มผู้ที่เคยใช้งานให้กลับมา ในขณะเดียวกันก็พยายามหาทางเพิ่มกลุ่มผู้ใช้งานใหม่ให้เพิ่มขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่มีใครรู้ว่าผลลัพท์ของการปรับเปลี่ยนนี้จะเป็นอย่างไร ต้องติดตามดูกันต่อว่า feedback หรือเสียงตอบรับของผู้ใช้งานจะเป็นไปในทิศทางไหน สำหรับฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Facebook Subscriptions จาก Facebook ในครั้งนี้.

    ทำความรู้จักฟีเจอร์นี้จาก Facebook ได้ที่ : facebook for Creators

    ]]>
    Mon, 04 May 2020 08:57:54 +0000
    <![CDATA[วิธีการเลือกขนาด UPS ให้เหมาะสมกับการใช้งานมีวิธีคำนวณดังต่อไปนี้ ]]> https://encom.co.th/blog/CA2003030-02/ 1. เลือกอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อกับ UPS 

    2. ดูรายละเอียดอุปกรณ์แต่ละตัวว่าใช้กำลังไฟเท่าไหร่ 

    3. ต้องทำการเปลี่ยนค่ากำลังไฟฟ้าของอุปกรณ์ให้เหมือนกัน โดยให้เปลี่ยนเป็นโวลต์-แอมป์ เพื่อนำไปคำนวณค่าให้รวมเข้าเป็นหน่วยเดียวกัน  

    4. เมื่อได้ค่ากำลังไฟฟ้าทั้งหมดให้ผู้ใช้งานเลือกขนาดของ UPS ได้ โดยดูจากขนาดของ VA ที่ตัวเครื่อง UPS 

     

    ตัวอย่าง

     

    หากต้องการหาเครื่องสำรองไฟเพื่อปกป้องเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาด 200 VA และเครื่องปริ้นเตอร์ขนาด 960 W สามารถคำนวณหาค่าได้ดังนี้  

     

    คอมพิวเตอร์                              =    200 VA 

    เครื่องปริ้น 960W * 1.44            =    1344 VA

    รวม                                          =     1544 VA

     

    นำค่า VA ที่คำนวณได้มาเปรียบเทียบรุ่น UPS ที่เหมาะสมโดยสามารถเลือกรุ่นที่มี VA สูงกว่าค่าที่คำนวณไว้

     

    หมายเหตุ :-

    1.การแปลงโวลต์แอมป์ 

    ถ้ากำลังไฟฟ้าเป็นวัตต์ W * 1.4        = VA 

    ถ้ากำลังไฟฟ้าเป็น A * 220              = VA

     

    2.ปกติแล้ว  UPS สามารถสำรองไฟได้นาน 5 นาที หากต้องการให้ UPS สำรองไฟได้นานเพิ่มมากขึ้นสามารถเลือกเครื่องสำรองไฟที่มีขนาดค่า VA มากขึ้น หรือ สามารถเลือกเครื่องสำรองไฟที่สามารถต่อแบตเตอรี่เพิ่มภายนอกได้

     

    ]]>
    Mon, 27 Apr 2020 09:35:14 +0000
    <![CDATA[UPS มีกี่ชนิด]]> https://encom.co.th/blog/CA2003030-01/ UPS สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

     

    1. ชนิด Online Protection UPS หรือ Line Interactive UPS With Stabilizer ชนิดนี้เป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะมีคุณภาพและราคาไม่แพง โดย UPS ชนิดนี้ถูกพัฒนามาจาก Offline UPS ซึ่งเพิ่มระบบป้องกันแรงดันไฟฟ้าสูง - ต่ำ อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ UPS ไม่ต้องจ่ายพลังงานไฟฟ้าสำรองจากแบตเตอรี่ทุกครั้งที่ไฟตก ไฟดับ ไฟกระชาก หรือไฟเกิน จึงเหมาะสำหรับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ PC และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก - ขนาดกลาง ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีความไวต่อคุณภาพของกระแสไฟฟ้า เช่น เป็นเครื่องมือแพทย์หรือเครื่องจักรขนาดใหญ่ในโรงงานอุตสาหกรรม

    2. ชนิด True On-line UPS เป็น UPS ที่มีศักยภาพสูง สามารถป้องกันปัญหาไฟฟ้าได้ทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็น ไฟตก ไฟดับ ไฟเกิน ไฟกระชาก หรือแม้กระทั่งสัญญาณรบกวน จึงทำให้ UPS ชนิดนี้มีราคาสูงกว่าชนิดอื่น UPS ชนิดนี้จึงเหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่ อุปกรณ์ที่เราไม่อยากให้หยุดการทำงานเมื่อไฟฟ้าดับ หรืออุปกรณ์มีความไวต่อกระแสไฟ ต้องการปกป้องอุปกรณ์ ไม่ให้ทำงานผิดปกติขณะใช้งาน เพื่อไม่ให้ส่งผลให้งานที่ทำอยู่เกิดความเสียหายเป็นอย่างมากตามมา เช่น เครื่องจักรขนาดใหญ่ในโรงงานอุตสากหรรม อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องมือภายในห้องผ่าตัด อุปกรณ์สื่อสารในห้องควบคุมโทรคมนาคม เป็นต้น

    ]]>
    Mon, 27 Apr 2020 09:33:41 +0000
    <![CDATA[รู้ไหม....หน้าที่หลักของ UPS คือ?]]> https://encom.co.th/blog/CA2003027-01/ หน้าที่หลักของ UPS คือ ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของการจ่ายพลังงานไฟฟ้า เช่น ไฟดับ,ไฟตก, ไฟกระชาก และไฟเกิน เป็นต้น รวมถึงมีหน้าที่จ่ายพลังงานไฟฟ้าที่สำรองไว้ในแบตเตอรี่ให้แก่อุปกรณ์ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมต่ออยู่ให้สามารถทำงานต่อได้ในระยะเวลาหนึง และเพื่อให้สามารถสำรองข้อมูลสำคัญและปิดการใช้งานอุปกรณ์นั้นๆ อย่างถูกต้องตามขั้นตอน ได้ทันถ่วงที

    ]]>
    Mon, 27 Apr 2020 09:32:58 +0000
    <![CDATA[รู้ไหม UPS มีข้อดีต่อระบบคอมพิวเตอร์ของคุณอย่างไรบ้าง?]]> https://encom.co.th/blog/CA2003009-07/ ทุกท่านคงรู้อย่าแล้วว่า UPS นั้นสามารถจ่ายกระแสไฟสำรองทดแทนให้กับคอมพิวเตอร์ในขณะที่เกิดไฟดับ ไฟตก หรือไฟกระชากได้ แต่รู้หรือไม่ว่า UPS ยังมีข้อดีอีกหลายอย่างที่ช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์ของคุณให้ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น

     

    - ช่วยรักษาระดับแรงดันไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ 

    - ป้องกันสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าที่อาจสร้างความเสียหายต่อข้อมูล คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ได้ 

    - ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อและเพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายได้                       

    - ช่วยให้มีไฟฟ้าสำรองใช้ ได้ช่วงเวลาหนึ่ง                   

    - ช่วยให้สามารถบันทึกข้อมูล Save ของแฟ้มข้อมูลที่เปิดอยู่                         

    - ไม่ทำให้ข้อมูลและการทำงานของโปรแกรมผิดพลาด                         

    - สามารถ Shutdown ระบบคอมพิวเตอร์ได้ตามขั้นตอน                         

    - ช่วยยืดอายุการใช้งานของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ ของคุณได้                        

    - หากมีซอฟต์แวร์พิเศษสำหรับ UPS นั้น จะสามารถตรวจสอบสภาวะการทำงานทางไฟฟ้า การทำงานของ UPS และควบคุมการทำงาน เช่น ตั้งเวลา Shutdown หรือ Restart คอมพิวเตอร์ ตั้งเวลาทดสอบ UPS การบันทึกรายงานสถานการณ์ทางไฟฟ้าและตรวจสอบย้อนหลังได้อีกด้วย

     

    ]]>
    Mon, 27 Apr 2020 09:31:08 +0000
    <![CDATA[UPS มีส่วนประกอบหลักไปด้วยอะไรบ้างนะ ทำไหมถึงสามารถสำรองไฟและจ่ายไฟได้ในตอนที่ไฟดับ?]]> https://encom.co.th/blog/CA2003009-06/ Mon, 27 Apr 2020 09:30:16 +0000 <![CDATA[ท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ท อัพเลเวลสุดไฮไทค พร้อมใช้นวัตกรรม “เครื่องช่วยวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ”]]> https://encom.co.th/blog/2004027-5/  

     

    ในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 นี้ ถือเป็นจุด Disruption ครั้งใหญ่ ทุกธุรกิจต้องปรับตัวเสริมมาตรการป้องกันเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค เพราะหลังจากประกาศปลดล็อคดาวน์แล้ว พฤติกรรมในการดูแลตัวเองที่ทำอยู่ในปัจจุบันจะกลายเป็นความเคยชิน  ประชาชนจะมีความระมัดระวังเมื่อต้องไปใช้บริการสถานที่ต่างๆ มีการเว้นระยะห่างทางสังคมมากขึ้น 

    ขณะเดียวกันผู้ประกอบการธุรกิจจะต้องมีแผนงานมาตรการป้องกันอย่างต่อเนื่อง เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กรุ๊ป ผู้บริหาร ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ เดลี่ และแฟมิลี่มาร์ท ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ยังคงเดินหน้าเฟ้นหานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้เพื่อรับมือกับพฤติกรรมของผู้บริโภค

    ล่าสุดจับมือ ทีม Central Tech อีกหนึ่งธุรกิจที่พัฒนาด้านนวัตกรรมของกลุ่มเซ็นทรัล เปิดตัว “เครื่องช่วยวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ” เครื่องมือทางเทคโนโลยีที่มีระบบการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายด้วยการสแกนใบหน้าอย่างแม่นยำ เพิ่มความมั่นใจและปลอดภัยให้แก่ลูกค้าและพนักงาน ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการเฝ้าระวัง และเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสในระยะยาว โดยเฟสแรกเริ่มติดตั้งเครื่องช่วยวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ 15 สาขา

    “เครื่องช่วยตรวจจับอุณหภูมิอัจฉริยะ” ถูกพัฒนาต่อยอดจากนวัตกรรมกล้องสแกนใบหน้าที่ใช้อยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น โดยทีม Central Tech เพื่อนำมาใช้ที่ ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ เดลี่ และ แฟมิลี่มาร์ท โดยเพิ่มฟังก์ชันให้สามารถตรวจจับอุณหภูมิในร่างกายของผู้ที่สแกนใบหน้าได้อัตโนมัติผ่านหน้าจอขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมจากภายนอกได้อย่างมากมาย สามารถวัดอุณหภูมิร่างกายด้วยความแม่นยำสูง แม้จะใส่หน้ากากอนามัยอยู่ก็ตาม

    พร้อมมีระบบแจ้งเตือนหากพบว่าผู้ตรวจวัดอุณหภูมิไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย โดยไม่ต้องมีการสัมผัส ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเข้าใกล้กันระหว่างพนักงานกับลูกค้า และสอดคล้องกับนโยบาย Social Distancing ลดอัตราการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ “เครื่องช่วยตรวจจับอุณหภูมิอัจฉริย

    ะ” ยังติดตั้งและใช้งานง่าย โดยมีระบบตรวจสอบ ประมวลผล สามารถแยกแยะใบหน้าของบุคคลในระยะเวลาเพียงสั้นๆ ได้อย่างแม่นยำกว่า 99 % ทำให้ตรวจจับใบหน้าและวัดอุณหภูมิร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพสมบูรณ์แบบ ซึ่งลูกค้าทุกคนจะต้องมีการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าจับจ่ายสินค้าทุกครั้ง สำหรับอุณหภูมิปกติต้องไม่เกิน 37.5 องศา กล้องจะแสดงสัญลักษณ์ไฟสีเขียว แต่หากตรวจพบว่าบุคคลใดอุณหภูมิสูงกว่า 37.5 องศา สัญญาณไฟจะเป็นสีแดงพร้อมมีเสียงเตือน และระบบจะส่งข้อความไปยังเจ้าหน้าที่ของร้านเพื่อดำเนินการตรวจวัดอีกครั้ง หากพบว่าอุณหภูมิยังคงเกิน 37.5 องศา พนักงานจะแนะนำให้บุคคลนั้นไปพบแพทย์ในทันที

    โดยนำร่องติดตั้งเครื่องช่วยตรวจจับอุณหภูมิสาขาแรกแล้ววันนี้ที่ท็อปส์ มาร์เก็ต สาขานางลิ้นจี่ และจะขยายไปอีก 14 สาขา ที่ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ เดลี่ และแฟมิลี่มาร์ท ในสาขาบริเวณย่านชุมชน ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ดังนี้ ท็อปส์ มาร์เก็ต  สาขาสุขุมวิท 41, สาขาเซ็นทรัลสีลมคอมเพล็กซ์, สาขาเมกาบางนา 2 และสาขาอาร์ ซี เอ, ท็อปส์ เดลี่ สาขาสุขุมวิท 101/1, สาขากรุงเทพกรีฑา 32, สาขาโรงพยาบาลศิครินทร์ บางนา, สาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา และสาขานาคนิวาส มาร์เก็ต, และ แฟมิลี่มาร์ท สาขาสวนพลู (ปั๊มน้ำมัน), สาขาสีลม 32, สาขาพัฒนาการ 51, สาขาพลัมคอนโด รังสิต และสาขาหมู่บ้านพระปิ่น 7

    นอกเหนือจากการใช้เครื่องช่วยตรวจจับอุณหภูมิอัจฉริยะ ท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ททุกสาขา ยังคงดำเนินมาตรการป้องกันเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด และเดินหน้าเฟ้นหานวัตกรรมเพื่อความปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า และพนักงาน ในระยาว

    ]]>
    Mon, 27 Apr 2020 09:28:14 +0000
    <![CDATA[แนะนำ How-to ทำงานที่บ้านให้เวิร์คกว่าเดิม สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพได้ทุกที่ไม่เพียงแค่โต๊ะทำงาน]]> https://encom.co.th/blog/2004027-4/

    หลังจากที่เริ่มเทรนด์ Work from Home  หรือการทำงานที่บ้านกันมาได้สักพัก หลายคนอาจจะเริ่มสังเกตว่าประสิทธิภาพการทำงานตอนนี้ต่ำกว่าตอนออกไปทำงานนอกบ้าน ต้องใช้เวลาทำงานหรือมีงานที่ต้องทำเยอะขึ้นทั้งที่งานก็ทำเหมือนเดิม ซึ่งความจริงแล้วอาการเหล่านี้เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุรวมกัน ซัมซุง พร้อมมอบคู่มือการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่า เครียดน้อยลงและดีต่อสุขภาพมากขึ้น

    istock-1188875323

    วิธีเอาชนะเดตไลน์แบบง่ายๆ

    ทำตัวเหมือนไปทำงาน โดยดำเนินกิจวัตรประจำวันให้เหมือนเดิม ตื่นนอนเวลาเดิม รักษาเวลาทำงานให้ได้เหมือนวันปกติเพียงแค่ไม่เสียเวลาไปกับการเดินทาง หากคุณใช้เวลาระหว่างเดินทางในการอ่านหนังสือหรือฟังเพลงก็สามารถทำได้ขณะแต่งตัว ส่วนกาแฟที่ซื้อเป็นประจำ ลองชงกาแฟดื่มเองตามสูตรออนไลน์ ค้นพบงานอดิเรกใหม่ไปในตัว

    ก่อนเริ่มงานให้จัดอันดับความสำคัญสิ่งที่ต้องทำระหว่างวัน ใช้สมุดบันทึกหรือจดแบบดิจิทัลแทนการติดโน๊ตทั่วโต๊ะ เริ่มทำงานชิ้นเล็กก่อนเป็นการอุ่นเครื่อง ถ้ามีงานชิ้นเล็กเยอะให้ใช้เวลาช่วงหนึ่งของวันทำงานชิ้นใหญ่โดยไม่ทำงานอื่น ส่วนงานที่แทรกเข้ามาให้ทำหลังอาหารกลางวันหรือก่อนเลิกงานแทน เคล็ดลับของการทำงานที่ดีคือการมีเดตไลน์เป็นของตัวเอง ช่วยให้เรามีเป้าหมายการทำงานมากขึ้น รู้ตัวว่าแต่ละวันจะต้องทำอะไรบ้าง

    ส่วนคนที่ต้องการวางแผนโปรเจกต์ต่างๆ การใช้ดิจิทัลฟลิปชาร์ทก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ วาดเขียนแก้ไขได้แบบเรียลไทม์ และช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมและลงรายละเอียดการทำงานได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

    01_productivemode_lifestyle

    จัดสรรเวลาทำงาน แยกเวลาส่วนตัวออกชัดเจน

    ตั้งใจทำงานในเวลางาน โดยลุกไปจิบน้ำหรือยืดกายบ้าง มีผลการวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าการหยุดพักทำงานเป็นระยะสามารถช่วยประสิทธิภาพการทำงานได้เป็นอย่างดี เพราะร่างกายอ่อนล้าระหว่างทำงานทุก 90 นาที และควรเลือกใช้อุปกรณ์ทำงานที่มีคุณภาพ ลงทุนกับคอมพิวเตอร์ที่เร็วขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้นมีโหมดถนอมสายตา และหยุดทำงานเมื่อหมดเวลา

    การโหมงานจะทำให้เกิดความเครียดและทำให้หมดกำลังใจต่อการทำงาน โดยสามารถเลือกวิธีการคลายเครียดได้หลายหลาย เช่น การออกกำลังกายง่ายๆ ในบ้าน ทำความสะอาดโต๊ะทำงาน หันไปเล่นกับสัตว์เลี้ยง หรือการพูดคุยเพื่อนและครอบครัวก็สามารถบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการทำงานได้ดีเช่นกัน

    โดยมีข้อแม้ว่าระหว่างเวลาพักผ่อน อย่าได้มัวแต่คิดเรื่องงานหากไม่จำเป็น

    01_productive-mode-main-(2)1

    สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำงาน

    การทำงานที่บ้านมีสิ่งดึงดูดความสนใจรอบการทำให้ขาดสมาธิได้ง่ายกว่า เราจึงควรจัดห้องทำงานให้ไม่มีสิ่งรบกวน เริ่มจากกำหนดบริเวณทำงานที่แน่นอน ไม่นั่งทำงานที่โต๊ะอาหารและหรือนั่งรวมกับสมาชิกในครอบครัว บริเวณพื้นที่ทำงานควรมีเพียงสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น บริเวณที่นั่งเน้นอากาศถ่ายเทอุณหภูมิพอเหมาะ โดยไม่เปิดพัดลมหรือแอร์เข้าหาตัวตลอดเวลา สามารถเลือกมุมที่เหมือนห้องทำงาน หันหน้าเข้าหากำแพงโล่งๆ หรือมุมที่หันหน้าออกไปเห็นวิวนอกบ้าน แต่วิวต้องไม่มีจุดดึงดูดความสนใจมากจนเกินไป

     

    ]]>
    Mon, 27 Apr 2020 09:27:27 +0000
    <![CDATA[Facebook เปิดตัว Messenger Rooms : รองรับการประชุมออนไลน์พร้อมกันถึง “50 คน”]]> https://encom.co.th/blog/2004027-3/  

     ล่าสุด Facebook ได้เปิดตัว Messenger Room ที่จะมาแข่งกับ Zoom อย่างเต็มตัว

    Facebook Messenger Rooms

    Messenger Rooms สามารถรองรับการประชุมทางไกลออนไลน์ได้พร้อมกันสูงสุดถึง 50 คน โดยผู้ใช้สามารถเข้าร่วมห้องสนทนาได้อย่างง่ายดายผ่านลิงก์ที่ผู้สร้างห้องสนทนาสร้างขึ้น และผู้เข้าร่วมไม่จำเป็นต้องมีแอคเคานต์ Facebook ก็ได้

     

    อีกทั้งผู้ที่สร้างห้องสนทนายังสามารถเลือกได้ว่าใครจะเห็นและเข้าร่วมการสนทนาได้บ้าง และลบผู้ใช้ที่ไม่ต้องการให้เข้าร่วมการสนทนาได้

    นอกจากนี้ Messenger Rooms ยังไม่จำกัดเวลาในการประชุมออนไลน์ และถ้าหากผู้ใช้เข้าร่วมการสนทนาของ Room ผ่านแอป Messenger ก็จะสามารถใช้เอฟเฟก AR และฟีเจอร์ใหม่สำหรับเปลี่ยนภาพพื้นหลังและโทนแสงได้อีกด้วย

    Facebook Messenger Rooms

     

    อีกสิ่งที่เป็นความท้าทายของ Messenger Rooms คือ ความปลอดภัยของผู้ใช้ โดยเนื้อหาการสนทนาจะถูกเข้ารหัสระหว่างผู้เข้าร่วมใช้งานกับเซิร์ฟเวอร์ของ Facebook ซึ่งทาง Facebook ได้กล่าวว่ากำลังดำเนินการพัฒนาในส่วนนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป

    Messenger Rooms จะเริ่มให้บริการในบางประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ และจะขยายบริการไปทั่วโลกในอีกไม่กี่สัปดาห์ถัดไป

    ข้อมูลอ้างอิง : gsmarena

    ]]>
    Mon, 27 Apr 2020 09:26:05 +0000
    <![CDATA[ทีม AIS ROBOTIC LAB ลุยสร้าง หุ่นยนต์ 5G ช่วยหมอดูแลผู้ป่วยโควิด-19]]> https://encom.co.th/blog/2004027-2/

    AIS เดินหน้าภารกิจ “AIS 5G สู้ภัย โควิด-19” เต็มสูบ นำพลานุภาพ 5G ร่วมแก้วิกฤต ช่วยเหลือคนไทยทุกภาคส่วน เปิดเส้นทางทีม AIS ROBOTIC LAB แล็บพัฒนาหุ่นยนต์ 5G รายแรกรายเดียวในไทย ผู้อยู่เบื้องหลังผลงาน หุ่นยนต์ 5G ผู้ช่วยคุณหมอ ตัวแรกของประเทศ ที่เชื่อมต่อระบบปฏิบัติการบนเครือข่าย 5G ได้สำเร็จ อันเกิดจากขีดความสามารถของทีมงานหัวกะทิด้านดิจิทัล จาก AIS NEXT หน่วยงาน Innovation ที่ทุ่มเทออกแบบระบบ 5G Robot Platform ขึ้นเอง ผสมผสานระหว่าง เทคโนโลยี เครือข่าย การแพทย์ ออกมาเป็น หุ่นยนต์ทางการแพทย์ 5G ROBOT FOR CARE ที่สามารถ Customized ให้ตอบโจทย์การใช้งานของแต่ละโรงพยาบาลได้อีกด้วย

    ส่งมอบหุ่นยนต์ให้กับโรงพยาบาลต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, โรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์, สถาบันบำราศนราดูร และกรมแพทย์ทหารเรือ โดยหุ่นยนต์ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ ณ คลินิกและหอผู้ป่วยโควิด-19 ทำหน้าที่เข้าไปดูแลและตรวจอาการผู้ป่วยภายในห้องพักผู้ป่วย แทนหมอและพยาบาล ช่วยแบ่งเบาภาระ ลดเสี่ยง ลดสัมผัส เซฟแพทย์และพยาบาล โดยขณะนี้ ทีม AIS ROBOTIC LAB เร่งเครื่องพัฒนาหุ่นยนต์ 5G อย่างเต็มกำลัง และมีแผนส่งมอบทั้งหมด จำนวน 23 ตัว ให้กับโรงพยาบาล 22 แห่ง ภายในต้นเดือนพฤษภาคม 2563

    ชู “5G ที่จับต้องได้ เพื่อทุกชีวิต” ร่วมพลิกโฉม สร้าง New Normal ให้วงการแพทย์ ด้วยศักยภาพของ 5G มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง ที่จะนำมาประยุกต์ใช้เป็นโครงข่ายดิจิทัลพื้นฐานสำคัญต่อการปฏิบัติงานทางการแพทย์ ถือเป็นการสร้างประสบการณ์การใช้งาน 5G ให้เห็นประโยชน์อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่สุด นั่นคือ การนำ 5G เข้ามาช่วยดูแลรักษาชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น และผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน

    นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าฝ่ายงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ เอไอเอส กล่าวว่า “ตามที่เอไอเอส ได้ประกาศวิสัยทัศน์ นำศักยภาพเครือข่าย 5G ที่ทรงพลานุภาพ และความรู้ความเชี่ยวชาญของคนเอไอเอส มาร่วมแรงร่วมใจ ช่วยแก้ปัญหาโควิด-19 เพื่อช่วยเหลือคนไทยและประเทศไทยของเราผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ วันนี้ เราได้ทุ่มสรรพกำลังเครือข่าย 5G ตลอดจนระดมนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญที่มากด้วยประสบการณ์การพัฒนาหุ่นยนต์ของเอไอเอส จัดตั้งทีมเฉพาะกิจ AIS ROBOTIC LAB by AIS NEXTโดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาหุ่นยนต์ทางการแพทย์ ทำงานบนเครือข่าย 5G เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับทางการแพทย์ใช้งานจริง

    ]]>
    Mon, 27 Apr 2020 09:24:47 +0000
    <![CDATA[ทำความรู้จักกับ Aruba CX Switch ระบบเน็ตเวิร์กแบบ Cloud-Native]]> https://encom.co.th/blog/2004027-1/  

     

    ความท้าทายของฝ่ายไอทีในยุคดิจิตอลนี้ จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องสามารถรองรับกับการเติบโตของธุรกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นแล้ว ยังต้องให้ความเสถียรในการใช้งานและมีความปลอดภัยเพียงพออีกด้วย ซึ่งต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

    เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างอินฟราสตรัคเจอร์ปัจจุบันที่มีอยู่ด้วยแล้ว เป็นเรื่องยากในการบริหารจัดการ และยังเป็นอุปสรรคในการปรับใช้กับทำงานรวมถึงเทคโนโลยีใหม่ ผู้บริหารไอทีไม่สามารถมองเห็นหรือเข้าถึงระบบได้อย่างที่ควรจะเป็น จนในที่สุดแล้วก็ไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริงและไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้

    Aruba ตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวนี้ จึงได้พัฒนาอุปกรณ์สวิตช์ที่ชื่อว่า Aruba CX ซึ่งเป็นโซลูชั่นในลักษณะแบบ Cloud-Native ที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างงายดาย อันประกอบด้วย

    1. AOS CX

    ระบบปฏิบัติการแบบไมโครเซอร์วิส ที่สร้างมาเพื่อให้เครือข่ายมีความคล่องตัว และมีความสามารถในการโปรแกรมได้แบบ 100% มันยังมาพร้อมกับความสามารถในการตอบโจทย์ผู้ใช้งาน ครอบคลุมถึงการทำ REST API ที่ช่วยประการทำงานกันได้จากระบบหรือเครื่องมือทั้งหลายต่างๆ ที่อาจจะมาจากหลายๆ ผู้ผลิต ได้เป็นอย่างดี

    2. Aruba CX Mobile App

    เป็นแอพพลิเคชั่นทีช่วยในการติดตั้งอุปกรณ์สวิตช์ CX ตัวใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้คุณประหยัดเวลา และลดข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ดีกว่าเดิม

    3. Aruba NetEdit

    เป็นเครื่องมือในการตั้งค่าและคอนฟิกูเรชั่นอย่างอัตโนมัติ สามารถปรับเปลี่ยนงานทั่วทั้งเครือข่ายได้อย่างง่ายดาย ตรวจสอบข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเครือข่ายได้อย่างยอดเยี่ยม

    4. Aruba Network Analytics Engine (NAE)

    เป็นระบบที่ช่วยในการแก้ไขปัญหา โดยมันจะทำการตรวจจับและคัดกรองออกมาอย่างรวดเร็ว ระบบจะประมวลผลไปที่แต่ละโหนดโดยตรง ตัว NAE เอง ยังสามารถวิเคราะห์และประเมินลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ได้ล่วงหน้า ดังนั้นจึงช่วยให้รู้ถึงสาเหตุหลักและแก้ไขปัญหาได้เร็วขึ้น

    Aruba CX Switch ยุคใหม่ของ switch เพื่อระบบเครือข่ายที่ดีที่สุด

    Switch รุ่นใหม่ เพียบพร้อมด้วยความสามารถรอบด้านครบวงจร ครอบคลุมการใช้งาน ทั้งระบบเครือข่ายภายในองค์กรธุรกิจ สาขา และดาต้าเซ็นเตอร์ ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการแบบ Cloud-Native สามารถทำการผสานระบบเพื่อทำงานโดยอัตโนมัติและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างครบวงจร เปลี่ยนประสบการณ์ของผู้ให้บริการระบบเครือข่ายให้ง่ายดายยิ่งขึ้น

    #VSTECS #วีเอสทีอีซีเอส #HPE #Aruba #HPEAruba #ArubaNetwork #ArubaTH #ArubaCXSwithc #Switches #ฉลาดกว่า #ปลอดภัยกว่า

     

    ]]>
    Mon, 27 Apr 2020 09:23:10 +0000
    <![CDATA[ทำไม!!!! ต้องใช้ UPS]]> https://encom.co.th/blog/CA2003009-05/ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์สิ่งเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านหรือสำนักงาน รวมถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่มีข้อมูลสำคัญ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เครื่องสำรองไฟที่มีคุณภาพ เพราะช่วยให้สามารถบันทึกข้อมูลได้ทันถ่วงที ทำให้ข้อมูลและการทำงานของโปรแกรมต่างๆ ไม่ทำงานผิดพลาด อีกทั้งสามารถปิดเครื่องได้ตามขั้นตอน และช่วยยืดอายุการทำงานของอุปกรณ์ได้อีกด้วย

     

    ]]>
    Mon, 20 Apr 2020 06:29:33 +0000
    <![CDATA[UPS คืออะไร?]]> https://encom.co.th/blog/CA2003009-04/ UPS ย่อมาจากคำว่า “Uninterruptible Power Supply” หรือ “เครื่องสำรองไฟฟ้า″ คือ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่สามารถทำการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างต่อเนื่องและเสถียร แม้ในเวลาที่เกิดไฟดับ ไฟตก ไฟกระชาก หรือไฟเกิน เกิดปัญหาแรงดันไฟฟ้าผันผวนผิดปกติ โดย UPS นั้นก็จะทำการปรับระดับแรงดันไฟฟ้าให้มีแรงดันไฟฟ้าคงที่อยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ทำให้อุปกรณ์นั้นๆ ไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว

     Sample project imageSample project imageSample project imageSample project image

    ]]>
    Mon, 20 Apr 2020 06:26:48 +0000
    <![CDATA[รู้หรือไม่...ไฟหมุน หรือ Warning Light เหมาะกับงานประเภทใด? ]]> https://encom.co.th/blog/CA2003006-02/ ไฟหมุน หรือ Warning Light คือ ไฟเตือนที่ปกติจะเอาไว้ใช้เพื่อแจ้งเตือนให้ผู้ใช้งานที่อยู่บริเวณนั้นๆ ทราบ เพื่อป้องกันการเกิดเหตุอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งไฟหมุนสามารถนำไปใช้กับงานได้หลายหลายงานไม่ว่าจะเป็น 

    1. ติดตั้งบนเครื่องจักรที่กำลังทำงานอยู่ เพื่อแจ้งให้ผู้ใช้งานทราบว่าเครื่องจักรกำลังทำงานหรือมีปัญหาขัดข้อง

    2.ติดตั้งบนเครนที่กำลังเคลื่อนที่ เพื่อให้ผู้ที่อยู่รอบข้าง รับรู้ได้ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในบริเวณนั้น

    3.ติดในเขตงานก่อสร้างต่างๆ เพื่อให้ผู้ที่อยู่รอบข้าง รับรู้ได้ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในเขตก่อสร้างนั้นๆ เช่น การก่อสร้างตึก การทำถนน ก็มักจะเห็น ไฟหมุนและได้ยินเสียงแจ้งเตือน เป็นระยะ และมองเห็นได้ในระยะไกลๆ ทำให้ผู้ที่ที่เห็นและได้ยินเสียงเตือนนั้น คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองมากขึ้น

    4.ติดตั้งในสถานที่สาธารณะ เพื่อบอกถึงเหตุอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้ผู้ที่อยู่บริเวณนั้นสามารถหาที่หลบภัยได้ทันถ่วงที เช่น เหตุการณ์สึนามิ ไฟไหม้ ดินถล่ม ภูเขาไฟระเบิด เป็นต้น

    ซึ่งไฟเตือนนี้ สามารถแสดงสถานะการแจ้งเตือนด้วยการหมุน กระพริบ และส่งเสียงเตือน ในรูปแบบเสียงต่างๆ โดยการแสดงผลแจ้งเตือนนั้นขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมการทำงาน สถานที่ติดตั้ง และผู้ใช้งาน ว่าต้องการให้แสดงผลออกมาแบบไหน โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าการใช้งานได้เองตามความต้องการ

     

    ]]>
    Mon, 20 Apr 2020 06:16:04 +0000
    <![CDATA[ไฟหมุน หรือ Warning Light คืออะไร]]> https://encom.co.th/blog/CA2003006-01/  

            



    ไฟหมุน หรือ Warning Light คือ ไฟเตือน ที่เอาไว้แสดงสถานะการทำงานของเครื่องจักร หรืออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องที่อยู่บริเวณนั้น ทราบถึงสถานะการทำงานของเครื่องจักร ว่ามีการทำงานปกติหรือมีปัญหาขัดข้องหรือไม่ ซึ่งไฟเตือนนี้สามารถแสดงสถานะการแจ้งเตือนด้วยการหมุน กระพริบ และส่งเสียงเตือน ในรูปแบบเสียงต่างๆ โดยการแสดงผลแจ้งเตือนนั้นขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมการทำงาน สถานที่ติดตั้ง และผู้ใช้งาน ว่าต้องการให้แสดงผลออกมาแบบไหน โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าการใช้งานได้เองตามความต้องการ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการติดตั้งไฟหมุนหรือไฟเตือนนั้นมีประโยชน์มากสำหรับไลน์การผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม รวมไปถึงการเตือนภัยอันตรายต่างๆ ในพื้นที่ก่อสร้าง หรือเขตงานจราจร เป็นต้น

    ]]>
    Mon, 20 Apr 2020 06:04:10 +0000
    <![CDATA[มาทำความรู้จักอุปกรณ์ส่งสัญญาณเสียงขนาดเล็ก...จิ๋วแต่แจ๋ว กันดีกว่า]]> https://encom.co.th/blog/CR2003027-01/  

     

    หากคุณกำลังมองหาเครื่องส่งสัญญาณเสียงขนาดเล็กกระทัดรัดอยู่นั้น ทางเราขอแนะนำ Patlite รุ่น BM series ซึ่งเป็นอุปกรณ์ส่งสัญญาณเสียงขนาดเล็กที่มีน้ำหนักเบา มีเสียงภายในตัวให้เลือกใช้งานถึง 2 เสียงตามความต้องการ และมีระดับความดังเสียงสูงสุดถึง 90 dB ที่ระยะ 1 เมตร เลยทีเดียว เหมาะสำหรับติดตั้งหน้าตู้คอนโทรล ประตูอัตโนมัติ หรือจุดอื่นๆ ตามต้องการ

     

    สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

    โทร : 089-123-9426, 083-099-2590, 02-803-6858, 02-803-6882, 02-803-6384

     

    ]]>
    Mon, 20 Apr 2020 04:58:33 +0000
    <![CDATA[กูเกิ้ลแบนเอ็กซ์เทนชั่นบนโครมกว่า 49 รายการที่จ้องขโมยคีย์วอลเล็ทคริปโต]]> https://encom.co.th/blog/2004020-5/  

     

    มีนักวิจัยตรวจพบขบวนการขนานใหญ่ที่แฝงมาในรูปเอ็กซ์เทนชั่นบนบราวเซอร์ที่ปลอมเป็นของแบรนด์ที่มีชื่อเสียง โดยโฆษณาผ่าน Google Ads และช่องทางโฆษณาอื่นๆ โดยมีเป้าหมายในการขโมยทั้งรหัสผ่าน ไพรเวทคีย์ และไฟล์ที่เก็บคีย์จากผู้ใช้เพื่อดูดส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี

    ทั้งนี้ ทางผู้อำนวยการด้านความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม MyCrypto อย่าง Harry Denley ระบุว่ามีการปลอมเอ็กซ์เทนชั่นอันตรายเป็นเอ็กซ์เทนชั่นด้านคริปโต ของแบรนด์ดังหลายเจ้าไม่ว่าจะเป็น Trezor, Jaxx, Electrum, MyEtherWallet, MetaMask, Exodus, และ KeepKey

    ซึ่งเมื่อผู้ใช้ป้อนซีเคร็ตคีย์ในเอ็กซ์เทนชั่นปลอมเหล่านี้แล้ว ก็จะส่งรีเควส HTTP POST ไปยังเซิร์ฟเวอร์ C2 ที่ผู้โจมตีควบคุมอีกทอดหนึ่ง โดยเซิร์ฟเวอร์ดังกล่าวมีการลงทะเบียนไว้ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน 2020 ซึ่งบางตัวส่งข้อมูลเข้าไปทางฟอร์ม Google Docs บางตัวใช้สคริปต์ PHP ซึ่งหลังจากรายงานไปที่กูเกิ้ลแล้ว ก็มีการแบนออกจากสโตร์ภายใน 24 ชั่วโมง

    ที่มา : GBHackers

    ]]>
    Mon, 20 Apr 2020 04:54:53 +0000
    <![CDATA[เทคโนโลยีสุดล้ำ Aruba Remote Access Point ช่วยให้คุณทำงานในทุกๆ ที่ได้อย่างปลอดภัย]]> https://encom.co.th/blog/2004020-4/  

    โควิด-19 จะไม่เป็นอุปสรรคมีการทำงานอีกต่อไป ไม่ว่าที่บ้านหรือที่ไหนก็ต่อติด สามารถทำงานได้ไม่มีสะดุดกับ Aruba Remote Access Point

    ความปลอดภัยในการทำงานในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่แน่นอน คือสิ่งสำคัญสำหรับทุกบริษัทในตอนนี้ การทำงานร่วมกันไม่จำเป็นต้องหมายถึงการนั่งทำงานข้างๆกันอีกต่อไป คุณสามารถให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้ แต่ยังคงการทำงานที่มีประสิทธิภาพได้ พนักงานยังสามารถเข้าถึงข้อมูลจากส่วนกลางได้ตลอดเวลา โดยการเชื่อมต่อเครื่องข่ายที่มีความเป็นส่วนตัว (Virtual Private Network – VPN) ซึ่งโซลูชัน Aruba RAP คือ คำตอบที่ช่วยให้การทำงานจากที่บ้าน หรือที่อื่นๆมีความปลอดภัย มั่นคง อีกทั้งยังใช้งานง่ายอย่างน่าทึ่ง

    “Aruba Network Solutions ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าธุรกิจของคุณจะปลอดภัย มีความน่าเชื่อถือ สามารถเข้าถึงจากที่ไหนก็ได้ ด้วยต้นทุนที่ต่ำ แต่ใช้งานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพสูง”

    ความง่ายในการเชื่อมต่อ wifi ของบริษัทจากที่บ้าน…..

    Aruba Remote Access Points (RAPs) มีความสามารถในการจดจำปัญหาจากการเชื่อมต่อระยะไกล IT ของบริษัทจึงสามารถมั่นใจในความปลอดภัยของระบบเครือข่ายได้ ซึ่งรวมไปถึงการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไปยังอุปกรณ์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์ ที่แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ภายในบริษัทก็ตาม พนักงานสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

     

     

    • Universal Access : Aruba RAPs ได้รับการติดตั้ง SSL/IPSec เพื่อเชื่อมต่อไปยังศูนย์กลาง และเชื่อมโยงให้พนักงานสามารถเข้าสู่ระบบจากที่ไหนก็ได้

    • Lower Deployment Costs : อุปกรณ์ Aruba RAPs ทั้งหมดสามารถถูกจัดส่งได้สะดวก และยังสามารถ download การ config ได้จากส่วนกลางซึ่งทำได้ง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัสเท่านั้น

    • Seamless Application Access : ผู้ใช้งาน สามารถเข้าสู่ application และทำงานจากที่ไหนก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้การใช้งาน หรือต้องใช้ software เพิ่มเติมใดๆ

    • Wired and Wireless Security : สามารถปรับใช้ได้ตามนโยบายของแต่ละองค์กร อีกทั้งยังช่วยในการรับรองตัวตนของแต่ละผู้เชื่อมต่อได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

    • Highly Scalable Solution : ความวุ่นวายจากการใช้งาน solution ผ่านอุปกรณ์ต่างๆจะหมดไป เพราะ Aruba RAP สามารถปรับได้ตามความต้องการใช้งานได้มากเท่าที่ต้องการ

    • Regulatory Compliance : ระบบสามารถควบคุมทุกการทำงานให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ด้วยระบบการจัดการที่ถูกสร้างไว้ จะช่วยควบคุม ตรวจสอบ และรายงาน เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับใช้ของแต่ละบริษัท

    ]]>
    Mon, 20 Apr 2020 04:54:16 +0000
    <![CDATA[เรื่องน่ารู้ : ความแตกต่างของ Bandwidth กับ Data Rates]]> https://encom.co.th/blog/2004020-3/  

    คำว่าแบนด์วิธ กับอัตราการส่งข้อมูล (Data Rate) นั้นมักมีการใช้สลับกันไปมาบ่อยครั้ง แต่ในโลกของสายสัญญาณแล้ว ความหมายที่แท้จริงถือว่าแตกต่างกันอย่างมาก

    ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของคุณอาจโฆษณาว่า บริการของตัวเองให้แบนด์วิธถึง 500 เมกะบิตต่อวินาที (Mbps) ซึ่งในกรณีนี้ ความหมายจริงๆ ของตัวเลขดังกล่าวคืออัตราการส่งข้อมูล เนื่องจากในวงการสายสัญญาณนั้น แบนด์วิธคือค่าคุณสมบัติของสายสัญญาณ ที่สื่อถึงความสามารถในการส่งสัญญาณที่ยังนำมาใช้ประโยชน์ได้ที่ปลายทางอีกฝั่ง

    สัญญาณใดๆ ที่ส่งเข้ามาในลิงค์ทั้งแบบสายทองแดงและสายไฟเบอร์ จะถูกลดความแรงลงเมื่อวิ่งไปถึงปลายอีกด้าน อันเป็นผลมาจากการสูญเสียพลังงานตามปกติ แต่บางครั้งก็มีปัจจัยที่ซับซ้อนกว่าเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การสูญเสียขากลับ (การสะท้อนสัญญาณ) และในกรณีของสายทองแดงอย่าง Crosstalk เป็นต้น ผู้จำหน่ายทั้งหลายจึงออกแบบให้สายสัญญาณไม่ว่าจะเป็นสายทองแดงหรือใยแก้วนำแสงของตัวเองให้สามารถส่งต่อสัญญาณดิบเหล่านี้ (ที่เรียกว่า แบนด์วิธ) ให้ได้อัตราที่สูงมากขึ้นเท่าที่ทำได้

    เมื่อกล่าวถึงสายสัญญาณแบบทองแดงแล้ว คุณน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการที่สายแบบ Category 6 มีแบนด์วิธอยู่ที่ 250 MHz และสาย Category 6A มีแบนด์วิธอยู่ที่ 500 MHz (ค่าแบนด์วิธนี้มักพิมพ์อยู่บนฉนวนของสาย) การระบุเช่นนี้มักทำให้เกิดความสับสนอย่างมากเนื่องจากความเชื่อดั้งเดิมของเราที่ว่าแบนด์วิธบนเครือข่ายควรระบุในหน่วย Mb/s หรือ Gb/s มากกว่า ความเป็นจริงคือคุณก็ไม่ได้เข้าใจผิดอะไร เวลาเราพูดถึงสาย Category 6A ก็อาจกล่าวว่าสายมีแบนด์วิธที่ใช้ทำงานอยู่ที่ 500 MHz ขณะที่เวลากล่าวถึงเน็ตเวิร์กก็พูดได้ว่าเครือข่ายมีแบนด์วิธอยู่ที่ 10 Gb/s

    มาต่อกันที่ข้อสงสัยว่าทำไมแบนด์วิธของสายสัญญาณแต่ละประเภท (Category) ถึงระบุในหน่วย MHz? คำตอบคือ หน่วยเมกะเฮิร์ตซ์นั้นเป็นความถี่หรืออัตราหรือคลื่นวิ่งขึ้นลงหนึ่งรอบในแต่ละวินาที โดยที่ 1 เฮิร์ตซ์เท่ากับ 1 รอบต่อวินาที และ 1 MHz เท่ากับ 1 ล้านรอบต่อวินาที ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วกับความถี่นี้ซับซ้อนเล็กน้อย แต่สรุปอย่างง่ายได้ว่า ยิ่งมีความถี่มากขึ้น ก็จะส่งข้อมูลได้บิทมากขึ้นไปด้วย แต่ละบิทข้อมูลนั้นถูกเข้ารหัสบนความถี่คลื่นของตัวนำ และปริมาณข้อมูลที่สามารถส่งต่อได้ต่อวินาทีก็ขึ้นกับรูปแบบการเข้ารหัสสัญญารบนอุปกรณ์ที่ใช้

    ย้อนกลับไปที่ยุคของสาย Cat 5 ที่แบนด์วิธและอัตราส่งข้อมูลมีค่าเท่ากันคือ สายแบบ 100 MHz สามารถส่งต่อข้อมูลได้ 100 Mb/s แต่ผู้ออกแบบอินเทอร์เฟซเน็ตเวิร์กสามารถพัฒนารูปแบบการเข้ารหัสใหม่อย่างเช่น Pulse Amplitude Modulation (PAM) และ DSQ128 ให้ทำสัดส่วนระหว่างแบนด์วิธและอัตราส่งข้อมูลได้มากกว่า 1:1 เดิม ซึ่งพอถึงเวลาที่เปิดตัว Cat 6 นั้น ก็สามารถส่งต่อข้อมูลในอัตรามากถึง 10 Gbps บนสายที่มีแบนด์วิธแค่ 250 MHz ได้ ด้วยหลักการนี้เองที่ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมในระบบ NBASE-T ถึงสามารถส่งข้อมูลได้ถึง 2.5 ไปจนถึง 5 Gbps บนสาย Cat 5e และทำไมผู้ให้บริการสายสัญญาณของคุณจึงปรับความเร็วอินเทอร์เน็ตเพิ่มให้คุณได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนสายสัญญาณในบ้านใหม่

    การหักล้างคลื่นจากการกระจายของแสง (Dispersion Aversion)

    พอกล่าวถึงระบบสายสัญญาณแบบไฟเบอร์มัลติโหมดแล้ว เราจะเห็นค่าสเปกที่เรียกว่า แบนด์วิธสูงที่สุดที่มีผลอยู่ (EMB) ซึ่งวัดในหน่วยของเมกะเฮิร์ตซ์ในช่วงระยะทาง 1 กิโลเมตร (มักเขียนในรูป MHz-km) ค่า EMB นี้ระบุถึงปริมาณข้อมูลที่สายไฟเบอร์หนึ่งสามารถส่งต่อได้บนความยาวคลื่นที่กำหนด ขึ้นกับคุณสมบัติต่างๆ ที่หลากหลายของสายไฟเบอร์ ค่า EMB นี้ขึ้นกับระยะทาง โดยสายไฟเบอร์ที่มีค่า EMB เท่ากับ 200 MHz-km จะสามารถส่งต่อข้อมูล 200 MHz ไปได้ไกล 1 กิโลเมตร ถ้ามีค่า EMB สูงกว่า ก็จะสามารถขนถ่ายข้อมูลในระยะ 1 กิโลเมตรได้มากขึ้น หรือสามารถขนส่งข้อมูลปริมาณเดียวกันได้ไกลขึ้นนั่นเอง

    สำหรับกรณีสายไฟเบอร์แบบมัลติโหมดนั้น ค่า EMB จะได้รับผลกระทบจากค่าความแตกต่างของดีเลย์บนแต่ละโหมดของสายไฟเบอร์ หรือที่เรียกว่า DMD โดยเมื่อแสงหลายลำแสงหรือโหมดเดินทางผ่านสายใยแก้วนำแสงหลายโหมดนั้น ลำแสงหนึ่งอาจเดินทางได้เร็วกว่าโดยเฉพาะโหมดที่ใกล้กับใจกลางสาย ขณะที่ลำแสงอื่นอาจเดินทางช้ากว่าตามทางเดินที่ใกล้กับแก้วขอบสายด้านนอก (Core-cladding Interface) ค่า DMD จึงอธิบายความแตกต่างของเวลาในการเดินทางระหว่างโหมดที่เร็วที่สุดกับโหมดที่ช้าที่สุด ซึ่งผู้ผลิตสายไฟเบอร์จะพยายามออกแบบสายของตัวเองให้มีค่า DMD น้อย เพื่อให้ได้แบนด์วิธที่สูงขึ้น

    แต่กรณีของสายแบบซิงเกิลโหมดนั้น แบนด์วิธที่มีผลจริงมักไม่มีข้อจำกัด และไม่เกี่ยวข้องกับค่า EMB เนื่องจากมีแค่โหลดเดียวสำหรับลำแสงเดียวที่เดินทางผ่านสายไฟเบอร์ แต่ถึงแม้แบนด์วิธของสายแบบซิงเกิลโหมดจะดูเหมือนไม่จำกัดนั้น ก็ยังได้รับผลกระทบจากระบบด้านอิเล็กทรอนิกส์ และการกระจายของแสงตามความยาวคลื่น (Chromatic Dispersion) อันเป็นผลจากความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน (ไม่เกี่ยวกับโหมด) ที่วิ่งไปถึงตัวรับสัญญาณอีกฝั่งในเวลาที่แตกต่างกันเล็กน้อย เป็นต้น

    สิ่งที่สำคัญมากที่สุด

    ขณะที่สเปกสายสัญญาณในแง่ของแบนด์วิธนั้นทำให้เกิดความสับสนค่อนข้างมาก ก็ไม่ควรปล่อยให้ค่าพวกนี้มาทำให้เราพลาดจากสิ่งที่ควรให้ความสำคัญอย่างแท้จริง ซึ่งเวลาที่คุณทดสอบระบบนั้น เช่น สายระบบ 10GBASE-T คุณกำลังทดสอบความสามารถของลิงค์นั้นๆ ในการรองรับความเร็ว 10 Gb/s พึงระลึกไว้ว่าไฟล์ขนาด 10 กิกะไบต์ของคุณไม่ใช่จะถูกส่งต่อบนเครือข่ายภายในเวลาหนึ่งวินาทีได้ นอกเหนือจากมีแค่การที่ข้อมูลวิ่งบนสายจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งโดยตรง โดยไม่มีระบบอื่นมาเกี่ยวข้องเท่านั้น

     

    ที่มา : https://www.flukenetworks.com/blog/cabling-chronicles/bandwidth-and-data-rates

    ]]>
    Mon, 20 Apr 2020 04:53:21 +0000
    <![CDATA[Linksys แจ้งผู้ใช้ให้รีเซ็ตรหัสผ่าน Smart WiFi หลังพบเหยื่อหลายรายถูกแฮ็กบัญชี]]> https://encom.co.th/blog/2004020-2/ Linksys ได้ล็อกบัญชีบริการ Smart WiFi และแจ้งเตือนให้ผู้ใช้เร่งเปลี่ยนรหัสผ่าน หลังพบว่ามีลูกค้าหลายคนโดน Hijack บัญชีใช้งานและ Redirect ทราฟฟิคไปยังเว็บไซต์อันตราย

    บริการ SmartWiFi ของ Linksys ก็คือบริการ Cloud ที่เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถบริหารจัดการอุปกรณ์เราเตอร์ได้ผ่าน Cloud นั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่หมายตาของแฮ็กเกอร์ ล่าสุดเมื่อเดือนก่อน Bitdenfender ได้ออกเตือนว่าพบแคมเปญโจมตีเราเตอร์จาก D-Link และ Linksys เพื่อเปลี่ยนค่า DNS ไปยังเว็บไซต์อันตราย ซึ่ง Linksys ได้แถลงยอมรับรายงานนี้แล้ว พร้อมทั้งตอบโต้ด้วยการล็อกบัญชีและให้ผู้ใช้งานเปลี่ยนรหัสผ่านเนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าบัญชีไหนถูกแฮ็กไปแล้ว ทั้งนี้ยังแนะให้ผู้ใช้งานควรตั้งรหัสผ่านใหม่ที่ไม่เคยใช้กับบริการอื่นมาก่อนครับ

    ที่มา :  https://www.zdnet.com/article/linksys-asks-users-to-reset-passwords-after-hackers-hijacked-home-routers-last-month/

    ]]>
    Mon, 20 Apr 2020 04:51:24 +0000
    <![CDATA[ครบเครื่องเรื่อง Work from Home กับ INET VDI และ VMware Horizon DaaS บริการ Cloud Desktop พร้อมให้เช่า Thin Client, Monitor, Keyboard, Mouse สำหรับทำงานที่บ้าน]]> https://encom.co.th/blog/2004020-1/ สำหรับตอนนี้ทุกธุรกิจคงกำลังเร่งหาโซลูชันสำหรับตอบโจทย์ Work from Home ที่มีประสิทธิภาพกันอยู่ เพราะพนักงานบางคนอาจจะไม่มีเครื่องคอมไว้ทำงานที่บ้านด้วยซ้ำ จะซื้อ Notebook ให้พนักงานทุกคนก็แพงไปแถมยังมีประเด็นเรื่อง VPN และ Security หรือจะทำ VDI ให้พนักงานก็ยังติดทั้งเรื่องงบประมาณในการลงทุนและอุปกรณ์ที่ต้องจัดซื้อให้พนักงานอีกอยู่ดี วันนี้ INET และ VMware มีคำตอบให้ กับบริการ Cloud Desktop ที่มาพร้อมบริการให้เช่าใช้อุปกรณ์ Thin Client, Monitor, Keyboard, Mouse ให้พร้อมทำงานจากที่บ้าน ด้วยการคิดค่าใช้จ่ายแบบรายเดือนนั่นเองครับ

    Cloud Desktop คืออะไร? ใช้งานแล้วเป็นอย่างไร?

    สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีทางด้าน Virtual Desktop Infrastructure (VDI) และ Cloud Desktop ทางทีมงาน TechTalkThai ขออธิบายสั้นๆ ดังนี้ครับ

    Virtual Desktop Infratructure หรือ VDI เป็นแนวคิดในการสร้าง Virtual PC ขึ้นมาบนระบบ Virtualization ภายใน Data Center ขององค์กร เพื่อให้สามารถทำการบริหารจัดการ VM Image ของ PC หรือเรียกกันว่า Virtual Desktop ปริมาณมากจากศูนย์กลางได้พร้อมๆ กัน และควบคุมการเชื่อมต่อ Network ของ Virtual Desktop นั้นๆ ไปยัง Application ได้ง่าย

    ในมุมของผู้ใช้งาน การใช้งาน Virtual Desktop ต้องทำการเข้าใช้งานผ่านระบบ Remote ที่อาจมีเป็น Application แยก, ใช้ RDP บน Windows หรือ OS อื่นๆ หรือเข้าใช้งานผ่าน Web ก็ได้ แล้วแต่ว่าผู้ผลิตจะรองรับแนวทางไหนบ้าง ซึ่ง VMware นั้นรองรับหมดทุกรูปแบบครับ โดยเมื่อทำการ Remote เข้าไปแล้วก็จะพบกับหน้าจอ Desktop ของ Virtual Desktop นั้นๆ ทำให้เริ่มใช้งานได้เลย

    สำหรับอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อเข้าไปใช้งาน Virtual Desktop ได้นี้ก็มีหลากหลาย จะใช้ PC/Notebook ก็ได้, จะใช้ Smartphone/Tablet ก็ได้ หรือจะใช้ Thin Client ที่เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กสำหรับรองรับการเชื่อมต่อแบบ Remote โดยเฉพาะอย่างเดียวก็ได้เช่นกัน

    แนวคิดนี้จะทำให้ Virtual Desktop ของผู้ใช้งานแต่ละคนนี้สามารถถูกเข้าถึงโดยพนักงานคนนั้นๆ ได้จากทุกที่ (หากองค์กรเปิดให้เข้าถึงจากภายนอกได้) ทุกเวลาผ่านทุกอุปกรณ์ ทำให้พนักงานแต่ละคนทำงานได้เสมือนมี Desktop ประจำตัวติดตัวไปอยู่ตลอด เข้าถึง Business Application และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำงานได้อยู่เสมอ ไม่ว่า PC, Notebook, Smartphone หรือ Tablet จะเปลี่ยนไปเป็นอุปกรณ์หรือระบบปฏิบัติการใด ก็ยังคงเข้าถึงระบบเดิมได้เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลความลับขององค์กรจะรั่วไหลจากกรณีอุปกรณ์สูญหาย

    ส่วนในมุมของผู้ดูแลระบบก็สามารถจัดการติดตั้ง Software และอัปเดตด้านความมั่นคงปลอดภัยได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการใช้ VDI ภายในองค์กรเท่านั้น หรือเปิดให้พนักงานเข้าถึงได้จากภายนอกก็ตาม และหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่จะทำให้พนักงานไม่สามารถมาทำงานที่บริษัทได้ ก็สามารถเปิดการเชื่อมต่อออกไปยังภายนอก ให้ทุกคนยังคงทำงานต่อเนื่องได้นั่นเอง

    ส่วน Cloud Desktop นี้ก็เป็นแนวคิดที่ต่อยอดจาก VDI ขึ้นมาอีกขั้น โดยนำระบบของ VDI มาติดตั้งบน Cloud และเปิดให้บริการ ทำให้ความสามารถทั้งหมดของ VDI นั้นถูกใช้งานได้อย่างครบถ้วน และนำข้อดีของ Cloud ในการเลือกขยายทรัพยากรเองได้อย่างอิสระ และเข้าถึงได้จากทุกที่ พร้อมเสริมระบบด้าน Security เข้าไป ทำให้นอกจากในมุมของผู้ใช้งานนั้นจะไม่แตกต่างจากการใช้งาน VDI แล้ว ในมุมของธุรกิจองค์กรก็ยังสามารถจัดการด้านความมั่นคงปลอดภัยได้ง่ายอีกด้วย โดยในอนาคตหากต้องการเพิ่มจำนวน Cloud Desktop ที่ต้องการใช้งาน ก็สามารถเพิ่มระบบได้ทันที ส่วนการเชื่อมต่อกับ Application หรือข้อมูลภายใน Data Center ขององค์กรนั้น ก็ต้องมีการทำ VPN เชื่อมต่อไป

    สรุปง่ายๆ ก็คือ ทั้ง Cloud Desktop และ VDI เวลาใช้งาน จะเหมือนใช้งาน PC/Notebook ทั่วไปนี่แหละครับ เพียงแต่เข้าได้จากอุปกรณ์หลากหลายมากขึ้น และข้อมูลกับการประมวลผลทั้งหมดจริงๆ เกิดขึ้นใน Cloud หรือ Data Center แทนนั่นเอง

    INET VDI และ VMware Horizon DaaS: บริการ Cloud Desktop สำหรับธุรกิจทุกขนาด

    INET ได้ร่วมมือกับ VMware นำเทคโนโลยี Cloud Desktop มาเปิดให้บริการในไทย เพื่อให้ธุรกิจสามารถเช่าใช้งานได้ภายในราคาเดือนละหลักพันบาทต่อเครื่อง ไม่ต้องลงทุนด้าน Hardware และ Software สำหรับการทำ VDI ด้วยตนเองอีกต่อไป โดยนอกจากจะให้บริการในส่วนของ Cloud Desktop แล้ว INET ก็ยังมีอุปกรณ์ Thin Client, Monitor, Keyboard และ Mouse ให้เช่าใช้งานได้ ธุรกิจจึงไม่ต้องลงทุนซื้ออะไรเป็นของตัวเองเลย และทาง INET ยังทำ Backup ย้อนหลังให้ฟรีถึง 7 วันอีกด้วย

    ที่ผ่านมา INET ได้นำบริการนี้ไปเสนอให้กับธุรกิจหลากหลาย เช่น 

    • ร้านค้าที่ต้องการเปิดสาขาใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว สามารถใช้ Cloud Desktop เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการจากศูนย์กลาง และไม่ต้องลงทุน Hardware ราคาแพงตามสาขา ในขณะที่ได้ระบบซึ่งมีความมั่นคงปลอดภัยสูงและปรับเปลี่ยนได้ง่ายไปใช้ ขึ้นร้านสาขาใหม่ได้ภายในวันเดียว

    • ธุรกิจที่มีพนักงานขายซึ่งต้องออกไปข้างนอกและใช้อุปกรณ์ส่วนตัวทำงานกัน ก็สามารถใช้ Cloud Desktop เพื่อลดโอกาสที่ข้อมูลจะสูญหายไปพร้อมกับอุปกรณ์ทำงานของพนักงานได้

    • ธุรกิจที่ต้องการวางแผน Business Continuity Plan หรือ BCP และมองหาโซลูชันเพื่อรองรับการทำ BCP ในส่วนของ Desktop

    แน่นอนว่าเมื่อมีวิกฤต COVID-19 โซลูชัน INET VDI และ VMware Horizon DaaS นี้ก็สามารถถูกนำมาประยุกต์ใช้งานได้ทันที

    Cloud Desktop ที่พร้อมรองรับทุก Business Application

    บริการ Cloud Desktop จาก INET นี้สามารถรองรับได้ทั้งระบบปฏิบัติการ Windows 7/8/10 ทำให้สามารถตอบโจทย์ของธุรกิจบางแห่งที่ยังคงใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นเก่าๆ อยู่ได้ สามารถติดตั้ง Business Application ที่ตนเองเคยใช้งานได้อย่างครบถ้วน

     

    ]]>
    Mon, 20 Apr 2020 04:50:44 +0000
    <![CDATA[องค์ประกอบโครงข่ายสื่อสาร]]> https://encom.co.th/blog/CA2003005-09/ ระบบโครงข่ายสื่อสารนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนได้ยินกันจนเป็นเรื่องปกติซึ่งมีส่วนประกอบด้วยกันหลายอย่างถึงจะเรียกรวมว่าเป็นโครงข่ายสื่อสารได้ ในวันนี้เราจะมาพูดถึงองค์ประกอบสำคัญๆ ในระบบโครงข่ายสื่อสารกันว่ามีอะไรบ้าง และแต่ละส่วนมีความสำคัญอย่างไรโดยลองไปดูภาพพีระมิดด้านล่างกันนะครับ

     

    Cabling คือระบบสายสัญญาณรวมถึงหัวเชื่อมต่อ (Connector) ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์สื่อสารต่างๆเข้าด้วยกันเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเมื่อติดตั้งไปแล้วมาใช้งานในระยะเวลานานถึง 10-20 ปี และยากต่อการรื้อถอนหรือปรับปรุงภายหลังดังนั้นการเลือกสายสัญญาณและออกแบบระบบให้ดีตั้งแต่แรกจึงมีความสำคัญมาก 

     

     Hardware ในที่นี้หมายถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆที่ใช้ในการเชื่อมต่อสื่อสารอาจเป็นอุปกรณ์ต้นทางหรือปลายทาง เช่น Switch, Hub, Notebook, Computer หรือโทรศัพท์เป็นต้น อุปกรณ์จำพวกนี้มักมีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ 3-5 ปี เพราะมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลามีรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ตลอดและยังสามารถเปลี่ยนแปลงหรือหาซื้อแทนที่ได้ง่าย  

     

    Software เป็นชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ใช้ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Hard-ware) อีกที ซึ่ง Software จะมีการพัฒนาปรับปรุงหรืออัพเดทอยู่บ่อยครั้ง และสามารถทำการปรับปรุงได้ง่ายเพียงแค่อัพเดทผ่านระบบอินเตอร์เน็ต บางครั้งอาจมีค่าใช้จ่ายหรือไม่มีก็ได้  

     

    ทั้ง 3 ส่วนนี้หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป จะไม่สามารถเป็นระบบโครงข่ายสื่อสารได้เลย ทั้งหมดต้องทำงานร่วมกันถึงจะเป็นโครงข่ายที่สมบูรณ์ ให้เราสามารถใช้งานกันได้ครับ และในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ Link มีสินค้าครอบคลุมในประเภท Network equip-ment ทั้งหมด และยังมีอุปกรณ์จำพวก Hardware บางประเภทที่กำลังเพิ่มเติมเข้ามา เช่น Switch, Router และ Access Point เพื่อให้ลูกค้าสามารถหาซื้อสินค้าได้อย่างครบครัน และสะดวกต่อการใช้งาน 

     

     

    ]]>
    Mon, 13 Apr 2020 04:26:21 +0000
    <![CDATA[โครงสร้างพื้นฐานของเครือข่ายคือ? ]]> https://encom.co.th/blog/CA2003005-08/ โครงสร้างพื้นฐานของเครือข่ายนั้นก็คือ Cabling หรือ ระบบโครงข่ายสายสัญญาณ มีความสำคัญมากๆในระบบเครือข่ายโดยมีเหตุผลหลักๆดังนี้

     

    1. สามารถรับส่งข้อมูลขนาดใหญ่ๆ ได้เนื่องจากสายสัญญาณมีความกว้างของช่องสัญญาณมาก จึงสามารถส่งข้อมูลขนาดใหญ่ๆได้ 

    2. ความเร็วสูงกว่าระบบไร้สายโดยเทคโนโลยี และประสิทธิภาพของสายสัญญาณในปัจจุบัน สายสัญญาณยังคงเป็นสื่อที่ทำความเร็วได้เร็วที่สุดเมื่อเทียบกับสื่อชนิดอื่นๆ 

    3. มีความปลอดภัยสูงนอกจากขนาดและความเร็วที่มีมากกว่า แล้วการใช้สายสัญญาณยังมีความปลอดภัยสูงกว่าชนิดอื่นๆอีกด้วย 

    4. สัญญาณไม่ถูกรบกวนการใช้สายสัญญาณโดยเฉพาะสายใยแก้วนำแสง สัญญาณรบกวนจะไม่สามารถรบกวนสายได้เลย ซึ่งสัญญาณรบกวนคือปัญหาหลักของการสื่อสารเลยทีเดียว 

    5. ลงทุนน้อยใช้ได้ยาวนาน สายสัญญาณมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่มีอายุการใช้งานยาวนานมาก 

     

    สายสัญญาณในปัจจุบันที่นิยมใช้ในงานระบบเครือข่ายมี 2 ชนิดคือ   

    - Twisted-pair หรือคู่สายบิดตีเกลียวปัจจุบันก็คือสาย Lan 

    - Fiber Optic หรือสายใยแก้วนำแสง  

     

    ]]>
    Mon, 13 Apr 2020 04:25:08 +0000
    <![CDATA[สาย LAN รุ่นไหนที่เป็นชนิด FR-LSZH บ้าง]]> https://encom.co.th/blog/CA2003005-07/  



    1. CAT 6A รุ่น US-9256LSZH

     

    2. CAT 6 รุ่น US-9116LSZH

     

    3. CAT 5E รุ่น US-9015LSZH

     

    ]]>
    Mon, 13 Apr 2020 04:23:13 +0000
    <![CDATA[สาย Lan ชนิด FR-LSZH รองรับมาตรฐานอะไรบ้าง]]> https://encom.co.th/blog/CA2003005-06/ IEC 60332-1-2 Tests on electric and opti-cal fibre cables under fire conditions – Part 1-2 : Test for vertical flame propagation for a single insulated wire or cable

    IEC 61034-1, IEC 61034-2 Measure-ment of smoke density of cables burning under defined conditions

    IEC 60754-2 Test on gases evolved during combustion of materials from cables –Part 2 : Determina-tion of acidity ( by pH measurement) and conductivity

     

    ]]>
    Mon, 13 Apr 2020 04:21:09 +0000
    <![CDATA[เหตุใดควรเลือกสาย Lan ชนิด FR-LSZH]]> https://encom.co.th/blog/CA2003005-05/ FR-LSZH (Flame Retardant Smoke Zero Halogen) คือ สายที่มีคุณสมบัติหน่วงการลามไฟ  (Flame Retardant) เมื่อเกิดอัคคีภัยหรือไฟไหม้ที่สายจะเกิดควันน้อย (Low Smoke) ซึ่งสามารถทะลุผ่านได้และไม่มีสารพิษฮาโลเจน (Zero Halogen)  ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ สมมุติว่าเกิดเหตุอัคคีภัย สายที่เราติดตั้งจะไม่เป็นต้นเหตุทำให้เปลวไฟลามไปติดสายอื่นๆ อีกครั้งวันที่เกิดขึ้นจะเป็นสีขาวทำให้ยังคงมองเห็นทางหนีไฟและควันที่เกิดขึ้นยังไม่มีสารพิษทำให้ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ ทำให้สามารถที่จะปลอดภัยจากเหตุการณ์ดังกล่าว 

     

     

    ]]>
    Mon, 13 Apr 2020 04:18:46 +0000
    <![CDATA[Instagram เปิดใช้งาน Direct Message บนหน้าเว็บเพจแล้ว]]> https://encom.co.th/blog/2004013-5/  

    Instagram อัปเดตฟีเจอร์ใหม่ เพิ่มฟีเจอร์ Direct Message บน Instagram แบบเว็บไซต์อย่างเป็นทางการแล้ว โดยบริษัทได้แจ้งข่าวสารผ่านบัญชีทวิตเตอร์ค่ะ

    ก่อนจะเปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนมกราคม Instagram ได้เริ่มทดสอบระบบ Direct Message บนหน้าเว็บเพจแบบจำกัดกลุ่มผู้ใช้งาน โดยฟีเจอร์ส่วนใหญ่ก็ไม่แตกต่างไปจาก Direct Message บนแอป Instagram ตัวปกติเท่าไหร่

    การมี Direct Message นั้นเหมาะสำหรับคนที่ต้องใช้ Instagram ในการทำงาน เช่น นักข่าว สายสื่อ เป็นต้น อย่างไรก็ตามระบบ Direct Message จะเปิดให้ใช้งานจริง ๆ เวลา 10AM ET.

     

    ]]>
    Mon, 13 Apr 2020 04:13:33 +0000
    <![CDATA[สู้เว้ย! Microsoft Teams แอปประชุมวิดีโอทางไกลเพิ่มฟีเจอร์ปรับเปลี่ยนพื้นหลังได้แล้ว]]> https://encom.co.th/blog/2004013-4/  

     

    ในระหว่างที่ COVID-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลกส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากถูกสั่งกักตัวอยู่ในที่พัก การปิดเมือง หรือมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม ซึ่งวิถีชีวิตในการทำงานและการศึกษาต้องปรับเปลี่ยนมาอยู่บนออนไลน์โดยใช้เครื่องมือประชุมวิดีโอทางไกล และแอปที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วนั่นก็คือ Zoom เพราะใช้งานง่าย สร้างห้องการประชุมและส่งลิงก์เชิญสมาชิกเข้าร่วมได้อย่างสะดวก หรือสมาชิกจะป้อนรหัสห้องประชุมเข้าไปได้โดยตรง เลือกเปิด/ปิดเสียงและวิดีโอของผู้ร่วมประชุมได้ตามต้องการ รวมทั้งสามารถจัดการผู้เข้าร่วมประชุม แชร์หน้าจอการทำงานพร้อมการส่งไฟล์ แชร์ไวต์บอร์ด การสนทนาผ่านแชต บันทึกการประชุมเป็นวิดีโอไว้ดูย้อนหลัง และที่ถูกใจใครหลายคน คือ เอฟเฟกต์ผิวเนียนช่วยให้หน้าตาดูดีขึ้นได้โดยไม่ต้องแต่งหน้า และสามารถเปลี่ยนพื้นหลังโดยไม่ต้องห่วงว่าฉากหลังจะดูรกโดยการซ้อนภาพที่ดูดีไปใส่แทนได้

    แต่ช่วงนี้ Zoom ก็โดนวิจารณ์และฟ้องร้องเกี่ยวกับการขาดความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้ ล่าสุด Google ได้อีเมลห้ามพนักงานในองค์กรใช้ Zoom

    Microsoft Teams เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มประชุมวิดีโอทางไกลที่ได้รับความนิยม แต่ไม่สามารถเปลี่ยนภาพฉากหลังแบบ Zoom ได้ เมื่อ 9 เมษายน Microsoft ได้โพสต์รายงานเกี่ยวกับเทรนด์การทำงานและประชุมทางไกล พร้อมเปิดตัวฟีเจอร์อัปเดตใหม่ใน Teams ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนภาพพื้นหลังได้หลากหลายโดยใช้ AI เข้ามาช่วยเบลอพื้นหลัง แต่ยังจำกัดที่ไม่สามารถอัปโหลดภาพของตัวเองขึ้นไปได้เหมือนกับ Zoom ซึ่ง Microsoft สัญญาว่าอนาคตจะให้ผู้ใช้สามารถอัปโหลดภาพที่กำหนดได้เอง

     

     

    นอกจากนี้ Teams ยังมีฟีเจอร์ใหม่อื่น ๆ ที่น่าสนใจอีก ได้แก่ ไอคอนยกมือ (Hand-raise) ที่อยู่ในแถบควบคุมการประชุมเพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถขอพูดในระหว่างการประชุมได้, ปิดการประชุม (End meeting) หากที่ประชุมวุ่นวายหรือการประชุมจบแล้วสามารถปิดการเข้าร่วมทั้งหมดโดยเลือกออปชัน end meeting ที่อยู่ในแถบควบคุมการประชุม, รายงานการเข้าร่วมประชุม ครูหรือหัวหน้าสามารถดาวน์โหลดรายงานมาดูได้ว่ามีใครเข้าร่วมบ้าง เข้าเวลาใดและออกเวลาใด และปลายปีที่ผ่านมาได้มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวน เช่น เสียงกดแป้นพิมพ์และสุนัขเห่าได้ด้วย

     

    ]]>
    Mon, 13 Apr 2020 04:12:51 +0000
    <![CDATA[5 ผลิตภัณฑ์เน็ตเวิร์กที่ให้ใช้ฟรี สำหรับช่วยธุรกิจอยู่รอดในยุค WFH]]> https://encom.co.th/blog/2004013-3/  

     

    การระบาดของไวรัสโคโรน่า COVID-19 ได้ทำให้สำนักงานทั้งหลายต้องปิดทำการลงเกือบทั่วประเทศ และบีบบังคับให้ทุกคนต้องทำงานจากบ้านแทนเพื่อเป็นหนึ่งในวิธีชะลอการแพร่กระจายของไวรัส

    แต่ว่ามีบ้านของหลายคที่ไม่ได้มีศักยภาพในการทำงานจากระยะไกลในระยะยาวได้ และขณะเดียวกัน บริการออนไลน์ก็ถูกแย่งทราฟิกด้วยบริการสั่งสินค้าส่งถึงบ้านและจากองค์กรทางการแพทย์ทั้งหลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนทำให้เน็ตเวิร์กของพวกเขาเหล่านี้ไม่ได้เตรียมพร้อมรองรับไว้อย่างเพียงพอ จึงเป็นโอกาสที่เหล่าผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านไอทีจะเข้ามาช่วยชีวิต

    โดยมีทั้งแบรนด์ผลิตภัณฑ์ไร้สาย โซลูชั่นบริหารจัดการประสิทธิภาพการทำงานแอพพลิเคชั่นรวมทั้งผู้ให้บริการเพื่อสนับสนุนความต่อเนื่องทางธุรกิจหลายเจ้า ที่เริ่มเปิดให้ลูกค้าเข้าถึงบริการของตัวเองได้ฟรีในช่วงที่ผู้ใช้ปลายทางกำลังเปลี่ยนรูปแบบการทำงานจนแทบกลายเป็นมาตรฐานใหม่

    ดังนั้น ทางเว็บ CRN.com จึงได้รวบรวมผลิตภัณฑ์และบริการด้านเครือข่ายที่ผู้จำหน่ายเปิดให้ใช้ หรือขยายเวลาทดลองใช้ฟรีให้ รวมไปถึงการขยายการใช้งานไปถึงส่วนที่เคยต้องเสียเงิน และการบริการคอนเทนต์เพิ่มเติมเพื่อการศึกษาที่น่าสนใจไว้ดังนี้

    AppDynamics APM Software (การสนับสนุนทางด้านเทคนิค)

    ซอฟต์แวร์ตรวจสอบประสิทธิภาพแอพพลิเคชั่นภายใต้เครือของซิสโก้นั้น ตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาเสถียรภาพของบริการตัวเองท่ามกลางตัวเลขพนักงานที่ทำงานระยะไกลที่เติบโตมากอย่างรวดเร็วในแต่ละวัน จึงได้จัดให้ใช้ซอฟต์แวร์ผ่านไลเซนส์แบบ SaaS ฟรีสำหรับลูกค้าที่ตรงตามเงื่อนไข ยาวไปจนถึงวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ รวมทั้งยังให้การซัพพอร์ตแบบตัวต่อตัวฟรีถึง 30 นาทีกับทั้งลูกค้าเก่าเดิมและลูกค้าใหม่ด้วย

    Cisco Collaboration (โซลูชั่นขวามปลอดภัย)

    ตอนนี้ซิสโก้กำลังแจกทูลคอลลาบอเรต และโซลูชั่นความปลอดภัยแบบฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อรับกับกระแสการทำงานจากบ้านที่เพิ่มขึ้นกะทันหัน โดยเริ่มจากการเพิ่มฟีเจอร์ให้กับโซลูชั่นประสานงานและประชุมทางไกลแบบฟรีอย่าง Webex

    Extreme Networks’ Cloud Training

    ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เครือข่ายไร้สายอย่าง Extreme Networks แสดงเจตจำนงที่จะช่วยเหลือทั้งพาร์ทเนอร์และลูกค้าปลายทางให้สามารถสร้างและรันออฟฟิศจากที่บ้านได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย โดยเปิดให้ซื้อโซลูชั่นได้ล่วงหน้าแบบเลื่อนการชำระเงินไปยังวันที่ 1 กรกฎาคมนี้

    Igloo Software

    Igloo Software เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบริการ Software-as-a-Service ที่ตอบโจทย์ทุกอย่างของลูกค้าในการทำให้ธุรกิจยังดำเนินต่อไปได้ ไม่ว่าพนักงานจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเข้าถึงและทำงานได้ทันที

    NGINX Plus

    NGINX เป็นซอฟต์แวร์ด้านการส่งข้อมูลแอพลิเคชั่นของทาง F5 Network สำหรับช่วยให้แอพพลิเคชั่นทั้งที่ผ่านเว็บ และบนโมบายล์จัดการกับทราฟิกที่พุ่งขึ้นสูงกระทันหันอันเป็นผลกระทบจากการระบาดของไวรัสได้

    ที่มา : CRN

    ]]>
    Mon, 13 Apr 2020 03:11:34 +0000
    <![CDATA[6 ขั้นตอนวางระบบ Work from Home อย่างมั่นคงปลอดภัย]]> https://encom.co.th/blog/2004013-2/

    ภายใต้สถานการณ์ที่เชื้อ COVID-19 กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ หลายบริษัทต่างเริ่มนโยบายให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้ อย่างไรก็ตาม การทำงานจากภายนอกสถานที่ไม่ใช่แค่เซ็ตอัประบบ VPN เพื่อให้พนักงานสามารถรีโมตเข้ามาใช้งานได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงการวางมาตรการควบคุมให้การเชื่อมต่อและการเข้าถึงทรัพยากรให้มีความมั่นคงปลอดภัยด้วย Fortinet จึงได้ออกมาแนะนำ 6 ขั้นตอนการวางระบบ Work from Home เพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว

    การย้ายให้พนักงานหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นทีมแอดมิน ทีมซัพพอร์ต ฝ่ายบัญชี หรือฝ่ายการตลาด ที่ปกติเคยทำงานอยู่แต่ในออฟฟิส (ซึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรต่างๆ บนเครือข่ายได้ทันที) มาทำงานจากนอกสถานที่หรือที่บ้านแทนเป็นงานที่ท้าทายเป็นอย่างมาก นอกจากจะต้องคำนึงถึงเรื่องการเชื่อมต่อแล้ว บริษัทจำเป็นต้องระวังเหล่าแฮ็กเกอร์ที่จ้องจะคอยฉวยโอกาสขณะที่บริษัทกำลังวุ่นวายเพื่อลอบหาช่องทางเจาะระบบเข้ามาอีกด้วย โดยเฉพาะช่องทางเปิดใหม่อย่าง VPN และกลุ่มเป้าหมายใหม่อย่างพนักงานหลังบ้านที่ไม่มีระบบของออฟฟิสมาคอยปกป้องอีกต่อไป

    ด้วยเหตุนี้ การเสริมมาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัยเข้าไปในกลยุทธ์ Work from Home จึงเป็นสิ่งสำคัญที่บริษัทต้องพิจารณา Fortinet ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันด้าน Cybersecurity ชั้นนำของโลกได้ออกมาให้คำแนะนำ 6 ขั้นตอนเมื่อจำเป็นต้องย้ายการทำงานจากภายในออฟฟิสไปสู่การ Work from Home ดังนี้

    การทำงานจากภายนอกสถานที่ของพนักงานทั่วไป

    แน่นอนว่าพนักงานทุกคนที่ทำงานจากภายนอกสถานที่ต้องสามารถเข้าถึงระบบอีเมล อินเทอร์เน็ต การประชุมออนไลน์ การแชร์ไฟล์ข้อมูล และระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับตนเอง เช่น ระบบการเงิน หรือระบบ HR รวมไปถึงบริการ SaaS บน Cloud อย่าง Microsoft Office 365 ได้

    1. VPN และ Endpoint Security

    ทำให้มั่นใจว่ามีการติดตั้งแอปพลิเคชันที่จำเป็นต่อการทำงานลงบนคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊กของพนักงานทุกคน รวมไปถึงซอฟต์แวร์ป้องกันภัยคุกคาม เช่น Antivirus หรือ Anti-malware เนื่องจากคอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊กเหล่านี้จะไม่ได้รับการปกป้องจากระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยบนเครือข่ายขององค์กรอีกต่อไป ที่สำคัญคือต้องเตรียม VPN Client และตั้งค่าการเชื่อมต่อให้พร้อม เพื่อให้พนักงานสามารถรีโมตกลับเข้ามายังบริษัทได้สะดวก

    2. Multi-factor Authentication

    Multi-factor Authentication ช่วยป้องกันไม่ให้อาชญากรรมไซเบอร์สามารถใช้รหัสผ่านที่ขโมยมาในการแอบล็อกอินเข้ามายังระบบของบริษัท ซึ่งสามารถทำได้ผ่านทางการใช้ Token สำหรับพิสูจน์ตัวตน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ Token เช่น Key Fob หรือแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน เหล่านี้ช่วยเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยของการยืนยันตัวตนของพนักงานขณะเชื่อมต่อ VPN หรือล็อกอินเข้าระบบของบริษัทไปอีกขั้น

    สนับสนุนการทำงานจากภายนอกสถานที่ด้วยบริการในอีกระดับ

    พนักงานที่ทำงานจากภายนอกสถานที่บางรายจำเป็นต้องมีสิทธิ์ในการเข้าถึงระบบเครือข่ายของบริษัทสูงขึ้นอีกระดับสำหรับการทำงาน กลุ่มคนเหล่านี้ เช่น ผู้ดูแลระบบ ทีมซัพพอร์ต และทีมผู้บริหาร มักจะต้องสามารถเข้าถึงและจัดการกับข้อมูลสำคัญหรือข้อมูลความลับของบริษัท รวมไปถึงการบริหารจัดการระบบ IT

    3. พร้อมเชื่อมต่อตลอดเวลาทันที

    การเชื่อมต่อ VPN กลับมายังบริษัทผ่าน Remote Access Point นอกจากจะมีความมั่นคงปลอดภัยแล้ว ยังช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เสมือนกับการนั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิสจริงๆ ในกรณีที่ต้องการยกระดับการเชื่อมต่อให้มั่นคงปลอดภัยไปอีกขั้น แนะนำให้ผสานการทำงานของ Remote Access Point เข้าด้วยกันกับ Next-generation Firewall ที่ติดตั้งบนคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊ก เพื่อควบคุมการเข้าถึงและใช้ฟีเจอร์ด้านความมั่นคงปลอดภัยระดับสูงอย่าง Data Loss Prevention

    4. โทรศัพท์อย่างมั่นคงปลอดภัย

    ผู้ดูแลระบบ ทีมซัพพอร์ต และทีมผู้บริหาร มักจำเป็นต้องใช้โซลูชันโทรศัพท์ที่รองรับระบบ VoIP สำหรับการสื่อสารอย่างมั่นคงปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการรับสาย, เข้าถึง Voicemail, ตรวจสอบประวัติการโทร และค้นหาข้อมูลในสมุดจดของบริษัท โซลูชันดังกล่าวมีให้เลือกใช้งานทั้งแบบอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่แค่เชื่อมต่อกับ Remote Access Point ก็พร้อมใช้งานได้ทันที หรือ Soft Client สำหรับติดตั้งบนคอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊ก

    สร้างศูนย์รวมด้านความมั่นคงปลอดภัยที่พร้อมขยายระบบในอนาคต

    สุดท้ายคือการทำให้มั่นใจว่าสามารถบริหารจัดการการเชื่อมต่อและความมั่นคงปลอดภัยได้จากศูนย์กลาง และพร้อมขยายการใช้งานให้พร้อมรองรับกับจำนวนพนักงานที่จำเป็นต้องทำงานจากภายนอกสถานที่ที่อาจจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างในสถานการณ์ COVID-19 ขณะนี้

    5. การพิสูจน์ตัวตนพนักงานและอุปกรณ์

    ควรมีศูนย์กลางการพิสูจน์ตัวตนที่เชื่อมต่อกับระบบ Active Directory, LDAP หรือ RADIUS บนเครือข่ายของบริษัท เพื่อให้พนักงานพร้อมทำงานจากภายนอกสถานที่ได้อย่างรวดร็ว และสามารถขยายการใช้ในอนาคตได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญคือระบบดังกล่าวควรรองรับบริการ Single Sign-on, Certificate Management และ Guest Management ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกและความมั่นคงปลอดภัยในการพิสูจน์ตัวตนของพนักงานไปอีกขั้น

    6. Perimeter Security ระดับสูง

    โซลูชัน NGFW เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับจัดการกับการเชื่อมต่อ VPN ที่เข้ามายังระบบเครือข่ายของบริษัทอย่างมั่นคงปลอดภัย NGFW ที่ดีควรมีฟีเจอร์สำหรับป้องกันภัยคุกคามระดับสูงอย่างการวิเคราะห์มัลแวร์หรือ Content ที่ต้องสงสัยบนระบบ Sandbox ก่อนที่จะถึงปลายทาง หรือการค้นหามัลแวร์บนทราฟฟิกที่มีการเข้ารหัสข้อมูล เป็นต้น ที่ควรระวังคือการตรวจสอบทราฟฟิกที่เข้ารหัสข้อมูลนั้นต้องอาศัยขุมพลังในการประมวลผลมหาศาล การไม่มีชิปประมวลที่ถูกออกแบบมาเพื่อตรวจสอบข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสโดยเฉพาะอาจทำให้ NGFW กลายเป็นคอขวดของการเชื่อมต่อ VPN ของพนักงานทั้งออฟฟิสได้

     

    ]]>
    Mon, 13 Apr 2020 03:07:07 +0000
    <![CDATA[Apple จับมือ Google พัฒนาระบบแจ้งเตือนความเสี่ยง COVID-19 บน iPhone และ Android]]> https://encom.co.th/blog/2004013-1/ เพื่อรับมือกับ COVID-19 ที่กำลังแพร่ระบาดทั่วโลกในเวลานี้ Apple จึงได้จับมือกับ Google เพื่อพัฒนาให้ Smartphone ของตนเองนั้นสามารถแจ้งเตือนผู้ใช้งานได้หากผู้ใช้งานคนนั้นเคยมีประวัติเข้าใกล้ผู้ที่ติด COVID-19

    Credit: Google

    เทคโนโลยีดังกล่าวนี้มีชื่อเรียกว่า Contact-Tracing โดยผู้ใช้งานจะต้องเปิดใช้ความสามารถนี้ด้วยตนเอง และหากพบว่าผู้ใช้งานมีความเสี่ยงจากการเคยเข้าใกล้ผู้ติดเชื้อ ก็จะทำการแจ้งเตือนให้ทำการกักกันตนเอง ซึ่งทั้งสองคาดว่าเทคโนโลบยีดังกล่าวนี้จะสามารถช่วยตรวจสอบความเสี่ยงให้กับหนึ่งในสามของประชากรทั้งโลกได้

    Apple และ Google ระบุว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกเปิดตัวออกมา 2 ขั้นบน iOS และ Android โดยในขั้นแรกช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้ iPhone และ Android จะสามารถส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบความเสี่ยงโดยไม่ระบุตัวตนไปยังตัวกลางด้านสุขภาพผ่านทาง App ได้ และจะมี Framework เพื่อให้พัฒนา App สำหรับจัดการกับความสามารถดังกล่าวได้ ดังนั้นหากในระยะแรกนี้มีผู้ที่ตรวจพบว่าตนเองติดเชื้อ COVID-19 และมีข้อมูลอยู่ภายในระบบ ระบบก็จะสามารถทำการแจ้งเตือนคนอื่นๆ ในระบบที่เคยเข้าใกล้ผู้ติดเชื้อได้ทันทีโดยไม่สามารถระบุตัวตนคนเหล่านั้นได้เพื่อคงความเป็นส่วนตัวเอาไว้

    ในขั้นถัดมา Apple และ Google จะเพิ่มความสามารถของการทำ Contact-Tracing เข้าไปที่ระดับของระบบปฏิบัติการเลย ทำให้ถึงแม้ไม่ต้องเปิด App ก็สามารถติดตามได้ แต่ผู้ใช้งานต้องทำการเปิดใช้งานและยินยอมให้มีการส่งข้อมูลด้วยตนเอง

    ก็ถือเป็นอีกก้าวที่น่าสนใจในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้งานเพื่อรับมือกับภัยโรคระบาดครับ

    ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-04-10/apple-google-bring-covid-19-contact-tracing-to-3-billion-people

     

    ]]>
    Mon, 13 Apr 2020 03:05:39 +0000
    <![CDATA[สถานที่ใดควรติดตั้งสาย Lan ชนิด FR-LSZH]]> https://encom.co.th/blog/CA2003005-04/ สถานที่ควรติดตั้งสาย Lan ชนิด FR-LSZH จะเป็นสถานที่มีผู้คนหนาแน่นและเป็นพื้นที่อับอากาศ เช่น อาคารผู้โดยสารสนามบิน, สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน, โรงพยาบาล, โรงภาพยนตร์และในห้องศูนย์ข้อมูล (Data Center) เป็นต้น

     

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 07:26:23 +0000
    <![CDATA[เมื่อสาย LAN แช่น้ำ]]> https://encom.co.th/blog/CA2003005-03/ ระบบสายสัญญาณประเภท Indoor Cable โดยตัวโครงสร้างเองตามชื่อ Indoor ก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เจอความร้อน ความชื้น หรือแช่น้ำ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น น้ำท่วม หรือสายไปเจอกับการแช่น้ำนานๆ จึงมีโอกาสที่ความชื้นจะผ่านชั้นของเปลือกนอกที่หุ้มอยู่เข้าไปซึ่งจะมีผลกระทบกับตัวทองแดงที่อยู่ด้านในอย่างแน่นอน ทำให้ประสิทธิภาพลดลงและไม่สามารถใช้งานได้ดังเดิม ส่วนสายสัญญาณประเภท Outdoor Cable โดยทั่วไปสามารถติดตั้งภายนอกอาคารสามารถทนแดด ทนฝนได้หมดทุกสภาพแต่เอาจริงๆ ก็ไม่เหมาะที่จะรองรับการแช่น้ำที่ขังตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อแช่น้ำไปนานๆ ก็อาจจะส่งผลทางประสิทธิภาพได้เหมือนกัน ดังนั้นหากเราต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น น้ำท่วมสต๊อกสินค้า หรือเจอน้ำท่วมสายในจุดที่ติดตั้งไปแล้วมีข้อแนะนำดังนี้ครับ 

     

    ข้อแนะนำเบื้องต้นเมื่อระบบแรงต้องแช่น้ำ

     

    1. ตัวสอบอุปกรณ์และสายสัญญาณว่ามีส่วนใดชำรุดหรือเสียหายหรือไม่ ถ้าหากเสียหายให้เปลี่ยนใหม่ทันที 

    2. สายที่ผ่านการแช่น้ำ ไม่ควรนำไปติดตั้งหรือนำไปจำหน่ายทันทีที่สายแห้ง ควรทำการตรวจสอบก่อน 

    3. ทำการตรวจสอบว่าสายสัญญาณมีส่วนใดแช่น้ำหรือไม่ โดยจะแบ่งเป็น 2 กรณีดังนี้ 

        3.1 ปลายสายทั้งสองด้านคือทั้งต้นทางและปลายทางแช่น้ำ  ควรเปลี่ยนอุปกรณ์เชื่อมต่อใหม่ทั้งหมด       

              (RJ45 Modular Jack, RJ45 Modular Plug, Patch Panel, Patch Cord) รื้อสายออกและเปลี่ยน  

              สายใหม่เพราะมีโอกาสสูงที่ น้ำจะเข้าไปภายในสายทองแดงทำให้เกิดความชื้น และออกไซด์ขึ้นกับ

              สายทองแดง หากนำกลับมาใช้ใหม่มีโอกาสเสี่ยงสูงที่ ระบบจะใช้ไม่ได้ หรือใช้ได้ไม่นานในระยะยาว 

         3.2 ปลายสายทั้งสองด้านไม่ได้แช่น้ำ แต่มีสายบางส่วนแช่ในน้ำ ให้ทำการทำความสะอาดสายสัญญาณให้แห้ง จากนั้นทำการทดสอบสายสัญญาณด้วย Cable Analyaer ว่ายังมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานหรือไม่ และควรทำการทดสอบซ้ำทุกๆ 3-4 สัปดาห์ ติดต่อกัน 3-4 เดือน หากทดสอบไปเรื่อยๆ แล้วได้ผล “Fail” หรือ “ประสิทธิภาพลดลง”  ก็ควรเปลี่ยนสายสัญญาณและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แต่ถ้าปกติและตลอดระยะเวลา 4 เดือนก็สามารถใช้งานได้ปกติ 

     

    โดยสรุปแล้ว สายไม่ควรจะนำไปแช่น้ำนานๆ เพราะมีโอกาสที่จะทำให้ลดทอนประสิทธิภาพได้ แต่หากลูกค้ามีความจำเป็นต้องนำไปติดตั้งงานที่ต้องอยู่ในแอ่งน้ำหรือต้องแช่น้ำ แนะนำให้ใช้สายรุ่นที่เป็น Double Jacket หรือมีเปลือกนอก 2 ชั้น เช่น US-9106OUT หรือ US-9045 ก็จะช่วยให้ติดตั้งได้โดยไม่ต้องกังวล รวมถึงหากต้องต่อหัว Connector บริเวณ Outdoor ก็แนะนำให้เลือกใช้ Solution ที่เป็น Water Proof 

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 07:25:12 +0000
    <![CDATA[การติดตั้งสาย CAT6A U/FTP เข้ากับ Shield RJ45 Modular Jack]]> https://encom.co.th/blog/CA2003005-02/

     

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 07:24:03 +0000
    <![CDATA[Cat 6 RJ45 Slim White Jack (Color Changeable)]]> https://encom.co.th/blog/CA2003005-01/ ปัจจุบันการออกแบบระบบ UTP นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าควรใช้สาย Cat 6 ขึ้นไป เนื่องจากสามารถรองรับความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลในยุคปัจจุบันและอนาคตได้ดีกว่า Cat 5E ที่เริ่มตกยุคไปแล้ว ดังนั้นสินค้าในระบบ Cabling ของ CAT 6 จึงมีความหลากหลายให้ลูกค้าเลือกใช้มากกว่า Cat 5E และในวันนี้เราจะมาแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ จะวางจำหน่ายในปี 2020 นี้ ซึ่งก็คือตัวเมีย Cat 6A รุ่นใหม่ "Cat 6 RJ45 Slim White Jack (Color Changeable)"

     

     

    โดยตัวเมียรุ่นใหม่นี้ยังคงดีไซน์แบบ Slim เพื่อให้มีขนาดกะทัดรัด และง่ายในการติดตั้ง รวมทั้งออกแบบให้มีสีขาวเป็นหลัก ทำให้ง่ายในการนำไปติดเข้ากับหน้ากากได้ทุกสีทุกแบบ และบริเวณป้ายโลโก้ LINK ด้านหน้ายังสามารถเปลี่ยนสีได้ถึง 5 สี ทำให้สามารถใช้ประโยชน์ในการทำเป็นสี Label เพื่อแบ่งแผนก แบ่งโซนหรืออาจใช้บ่งบอกถึงความสำคัญของพอร์ตนั้นๆ ได้ ซึ่งจะทำให้ง่ายในการบริหารจัดการระบบ Cabling มากขึ้น และยังมีจุดเด่นอื่นๆ ดังนี้ 

     

    -มีหนังสือรับรองการทดสอบและระบุ UL บนด้านหน้าของตัว Jack 

    -ผลิตตามมาตรฐาน ANSI/TIA-568.2-D และ ISO 11801 : 2017 Class E

    -รองรับความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลสูงสุดถึง 10 Gbps

    -ช่องเสียบด้านหน้า(RJ45) ผ่านการทดสอบการเสียบเข้า-ดึงออก (mating cycles) ได้ถึง 800 ครั้ง

    -ขั้วต่อสาย (IDC terminal Block) ผ่านการทดสอบการเข้าสาย (termination)  200 ครั้ง, มีฝาครอบ

    -ภายในมีแผ่นบอร์ด PCB (Printed Circuit Board) ช่วยทำให้การส่งสัญญาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

    -ในชุดมีแผ่นป้ายเปลี่ยนสี แถมมาให้ 5 สีได้แก่ สีขาว, สีแดง, สีเขียว, สีฟ้า, สีเหลือง 

     

    Cat 6 RJ45 Slim White Jack (Color Changeable) จะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ลูกค้าในต้นปี 2020 นี้ครับ และทราบมาว่าราคาไม่ได้แตกต่างจากรุ่นเดิมเลยซึ่งเป็นความหลากหลายของสินค้าที่ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการไม่ต้องกลัวจะติดปัญหาเรื่องราคา หากท่านใดสนใจสามารถติดตามและสอบถามเข้ามาได้ ทุกช่องทางค่ะ

     

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 07:22:49 +0000
    <![CDATA[สายสัญญาณที่ดีนั้นสำคัญไฉน]]> https://encom.co.th/blog/CA2003004-04/ ในโลกยุคปัจจุบัน อะไรๆ ก็เข้าสู่ระบบไร้สาย (Wireless) กันมากขึ้น จนบางคนลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนนี้การเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หรือกล้องวงจรปิดก็ตาม และเชื่อหรือไม่ว่าจนถึงบัดนี้ สายสัญญาณก็ยังมีความสำคัญอยู่ เพียงแต่อาจจะอยู่ในที่ที่หลายๆ ท่านคาดไม่ถึง และแม้แต่ในสถานที่ที่วางระบบเครือข่ายแบบไร้สายเอาไว้ ก็ยังมีความจำเป็นต้องใช้สายสัญญาณอยู่นะครับ … ฉะนั้น ก็น่าจะมาคุยกันหน่อยดีกว่าว่า แล้วสายสัญญาณนั้นมันสำคัญไฉน ทำไมต้องเลือกใช้สายสัญญาณดีๆ   

     

    สายสัญญาณที่เห็นได้บ่อยๆ 

     

    จริงๆ แล้ว สายสัญญาณนี่มีหลากหลายแบบมาก แต่ผมจะขอจำกัดแค่เรื่องของสายสัญญาณ 3 ที่เรามักจะได้เห็นกันบ่อยๆ โดยเฉพาะในกรณีของการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และพวกกล้องวงจรปิด นั่นก็คือ สาย UTP (Unshielded Twisted Pair), สาย Fiber optic และ สาย Coaxial ครับ   

     

    สาย UTP (Unshielded Twisted Pair) 

     

    ชาวบ้านเรียกติดปากกันว่าสาย LAN ครับ เป็นสายสัญญาณที่มีคุณสมบัติตามชื่อครับ Unshielded คือ ไม่มีการหุ้มเพื่อกันสัญญาณรบกวน, Twisted Pair คือ ตัวสายสัญญาณภายในจะมีการไขว้กันเป็นคู่ๆ (ทั้งนี้เพื่อลดการรบกวนกันของสัญญาณ) ซึ่งก็จะแบ่งออกไปเป็น Category ต่างๆ อีก ที่เมื่อก่อนเราจะรู้จักในนาม Cat 5 และ Cat 5e แต่ในปัจจุบันนี้ สายสัญญาณประเภท UTP นี้ มีไปถึงระดับ Cat 6 และ Cat 6A กันแล้ว 

     

    จากในภาพ … สังเกตนะครับ สายสัญญาณ UTP จะถูกแบ่งออกเป็นคู่ๆ โดยแบ่งออกเป็นคู่สีต่างๆ (สายสัญญาณต้องแบ่งเป็นสีๆ เพราะเวลาเข้าหัว มันก็ต้องจับคู่สีด้วย) และอีกอย่างก็คือ นอกจากปลอกฉนวนหุ้มสายแล้ว จะเห็นว่าไม่ได้มีการใส่ Shield หรือ ตัวกันสัญญาณรบกวนอะไรไว้เลย ทั้งนี้เป็นเพราะว่าสายสัญญาณพวกนี้ไม่ได้ใช้ในระยะทางที่ไกลๆ มาก ดังนั้นจึงไม่ได้จำเป็นต้องมีการป้องกันเยอะ แต่นั่นก็ทำให้หากเราเดินสายเป็นระยะทางไกลๆ ความเร็วในการรับส่งข้อมูลจะตกลงไปเรื่อยๆ   

     

    สาย Fiber optic หรือ ใยแก้วนำแสง 

     

    สายสัญญาณสำหรับการเชื่อมต่อความเร็วสูง เมื่อก่อนเป็นอะไรที่เราจะได้เห็นเขาใช้กันในระดับองค์กร แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้ก็มีให้เห็นตามบ้านกันบ้างแล้ว เช่น FTTH (Fiber to the Home) ซึ่งมีผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยหลายรายให้บริการดังกล่าวแล้ว หรือในระดับคอนโดมีเนียม ที่ใช้สาย Fiber optic เป็นสายสัญญาณหลัก (Backbone) สำหรับเดินภายในตัวอาคาร แล้วค่อยแยกย่อยไปตามแต่ละชั้น โดยใช้สายสัญญาณประเภทอื่น

     

     

    ข้อดีของสาย Fiber optic ก็คือใช้แสงในการรับส่งข้อมูล ซึ่งพวกสัญญาณรบกวนภายนอกนั้นจะไม่สามารถรบกวนแสงได้ครับ โดยวิธีการส่งสัญญาณนั้น ดูจากรูปประกอบด้านล่าง จะเห็นว่าภายในสายนั้นจะมีการฉาบสารเคลือบเอาไว้ เพื่อไม่ให้แสงนั้นสะท้อนออกไปภายนอก (ซึ่งนั่นจะทำให้ความเร็วในการรับส่งข้อมูลตกลง)     

     

     

    ส่วน Coating หรือการเคลือบอีกชั้น มีไว้เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่น ป้องกันการแตกหัก เพราะต้องไม่ลืมว่าสายสัญญาณนี้ทำมาจากใยแก้วนะครับ หากไม่ทำแบบนี้ เวลาเอาไปใช้งาน โอกาสแตกหักมันจะสูงครับ   

    สาย Coaxial 

     

    เป็นสายสัญญาณที่ผมว่าเราน่าจะคุ้นเคยกันที่สุดนะครับ เพราะสายสัญญาณจากเสาอากาศทีวีเนี่ย ก็เป็นสายประเภท Coaxial นี่แหละครับ ช่างไฟเขาเรียกสั้นๆ ว่าสายโคแอ็กๆ อ่ะ ซึ่งก็แบ่งออกเป็นสายประเภทต่างๆ ที่เรียกว่า RG (ย่อมาจาก Radio Guide) ไม่ว่าจะเป็น RG-6, RG-8, RG-11, RG-58, RG-59 อะไรแบบนี้ ซึ่งแต่ละแบบก็มีสเปกที่แตกต่างกันออกไป   

     

     

    สาย Coaxial นั้นมีข้อดีตรงเป็นสายประเภท Shield ครับ คือ มีการเพิ่ม Shield เพื่อป้องกันการรบกวนจากสัญญาณภายนอก โดยปกติแล้วก็จะมีการป้องกัน 2 ชั้น คือ Foil shield และ Braided shield ครับ … และเผื่อใครไม่ทราบ สาย Coaxial นี่เป็นสายสัญญาณที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆ เลยนะครับ ปัจจุบัน นอกจากเราจะเห็นการใช้สาย Coaxial กับโทรทัศน์แล้ว ก็มีการใช้ร่วมกับกล้องวงจรปิดนี่แหละครับเป็นส่วนใหญ่   

     

    สายสัญญาณคุณภาพดีกว่า มันดีกว่าตรงไหนกัน?!? 

     

    บางคนมองว่า สายสัญญาณต่างๆ นั้น มีการระบุสเปกเอาไว้เป็นมาตรฐานอยู่แล้วว่าต้องเป็นยังไง แล้วที่สายสัญญาณยี่ห้อต่างๆ โฆษณากันว่าเป็นสายสัญญาณคุณภาพดีนั้น มันแตกต่างกันตรงไหน?!? คำตอบส่วนนึงอยู่ในสเปก และคำตอบอีกส่วนหนึ่งอยู่ในส่วนที่เป็นองค์ประกอบอื่นๆ ที่ไม่ใช่สเปกของสายโดยตรงครับ 

     

    ลองยกตัวอย่างดูกัน สำหรับสายสัญญาณแต่ละประเภทนะครับ   

     

    สาย UTP 

     

    อันดับแรกเลย ง่ายที่สุด ก็คือเรื่องของการชี้บ่งด้วยสายตาครับ ซึ่งไม่ต้องให้ถึงขนาดภาพด้านล่างที่ผมเอามาประกอบเป็นตัวอย่างหรอกครับ ลำพังแค่ตามออฟฟิศต่างๆ ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่อง หรือแม้แต่ภายในบ้านของเราเอง ที่มีการเชื่อมต่ออุปกรณ์หลายๆ ตัว หากไม่มีการชี้บ่งให้ดีๆ เราก็งงเอาง่ายๆ อยู่แล้วว่าเส้นไหนมันไปต่อกับอันไหน เวลาจะถอดจะเปลี่ยนที ก็ดึงผิดๆ ถูกๆ   

     

    ที่มาของภาพ: www.laneros.com   

     

    ฉะนั้น อย่างแรกสุดเลย หากสายสัญญาณ รวมถึงหัวตัวผู้ (ศัพท์ทางการเขาเรียก Modular plug) และหัวตัวเมีย (Modular jack) ที่มีให้เลือกนั้น มีหลากหลายสี มันก็จะช่วยได้มากเรื่องการชี้บ่งแบบง่ายๆ ครับ เพราะถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ อุปกรณ์จำนวนไม่มาก ก็คงไม่ต้องถึงขนาดทำรหัสเลขไว้บนสาย แต่ใช้สีเป็นตัวบอกได้ว่า เส้นไหนควรเสียบเข้ากับหัวไหนก็พอ     

     

     

    แล้วตอนที่ไปซื้อสายสัญญาณกัน รู้ไหมว่าเขามีสายอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ สำหรับการเดินสายภายใน อย่างแรกเรียก CM (Communications Metallic) ครับ ซึ่งเป็นสายที่ใช้งานทั่วๆ ไปภายในชั้นเดียวกัน ซึ่งการลามไฟจะมากกว่า ชนิด CMR (Communication Metallic Riser) ที่เอาไว้สําหรับเดินระหว่างชั้นของอาคาร และสามารถเดินสายภายในชั้นเดียวกันได้เช่นเดียวกับ CM ซึ่งสายประเภทนี้จะถูกออกแบบมาให้ไม่เกิดการลามของไฟ เวลาที่ตัวของมันติดไฟครับ 

     

    สรุปคือ 

    1. สาย CMR มีอัตราการลามไฟน้อยกว่าสาย CM 

    2. สาย CMR ใช้แทนสาย CM ได้

     

    ที่มาของภาพ: บริษัท INTERLINK

     

    สังเกตจากรูปการทดสอบจะเห็นว่าสายประเภท CMR ที่อยู่ด้านซ้ายนั้น ไฟจะไม่ลามไปตามสาย และเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไฟก็จะดับลง ในขณะที่สายแบบ CM นั้น ไฟจะสามารถลามไปตามสายได้ครับ … สายประเภท CMR นั้น เขาไม่ให้ไฟลามไปตามสายเพราะเป็นสายที่จะถูกใช้ในอาคาร เพื่อเดินสายสัญญาณระหว่างชั้น หากไฟลามไปตามสายได้ ก็จะทำให้เมื่อเกิดไฟไหม้ ก็อาจจะกลายเป็นเส้นทางให้ไฟลามจากชั้นหนึ่งไปสู่อีกชั้นหนึ่งได้   

     

    นอกเหนือจากเรื่องของสายสัญญาณแล้ว การเข้าหัวก็สำคัญครับ มือใหม่หัดเข้าจะรู้เลย การเข้าหัวสาย LAN นั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก นอกจากจะต้องจำคู่สีแล้ว เวลาเข้าหัวเนี่ย ถ้าทำไม่ดี สัญญาณก็จะเข้าไม่เต็มที่ สายก็ใช้งานไม่ได้ครับ แล้วหัวนึงก็ไม่ใช่ถูกๆ … แต่ถ้าเป็นอย่างหัวยี่ห้อ LINK จะเป็นชนิดที่มี  3 เขี้ยว ซึ่งเขาว่าสามารถเข้าหัวสาย LAN ให้หน้าสัมผัสกับสายทองแดงได้มากกว่าแบบทั่วไปที่มีเพียง 2 เขี้ยวเท่านั้น 

     

    อีกเรื่องนึงคือค่าความถี่ของสายครับ ซึ่งปกติแล้วสาย UTP แบบ Cat 5e  ก็จะมีความถี่อยู่ที่ 100MHz ในขณะที่สายแบบ Cat 6 จะมีความถี่อยู่ที่ 250MHz ครับ แต่ว่าสาย LINK จะผลิตและทดสอบที่ ความถี่ 350 MHz สําหรับ Cat5e และ Cat6 ที่ 600MHz   

     

    สาย Fiber Optic 

     

    เช่นเดียวกันกับสาย UTP ครับ สาย Fiber Optic ก็มีเกรดที่กันไฟลามได้เช่นกัน เขาเรียกว่า LSZH (Low Smoke Zero Halogen) ครับ ซึ่งจากวิดีโอทดสอบที่ผมได้ดูนั้น เมื่อนำสายสัญญาณประเภท LSZH กับแบบปกติมาเผาไฟเทียบกันดู จะเห็นว่าสายสัญญาณประเภท LSZH นั้นจะไม่ติดไฟครับ แม้ว่าฉนวนจะโดนความร้อนของไฟซะจนละลาย แต่ไฟจะไม่ติดสาย ในขณะที่สายสัญญาณปกตินั้นจะติดไฟ   

     

    ที่มาของภาพ: บริษัท INTERLINK   

     

    อีกเรื่องนึง อาจจะไม่เชิงว่าเป็นคุณภาพของสายซักเท่าไหร่ แต่เป็นเรื่องของตัวเลือกมากกว่า … อย่างยี่ห้อ LINK เขาจะมีตัวเลือกให้เราเลือกใช้ได้เหมาะสมกับการใช้งานครับ ตั้งแต่สายสัญญาณ Fiber Optic แบบที่ใช้เดินภายในตัวอาคาร, สายสัญญาณ Fiber Optic ที่ใช้เดินจากชุมสายภายนอกอาคารเข้าสู่ภายในอาคาร, สายสัญญาณที่ใต้ดิน ซึ่งต้องมีการหุ้มเกราะหลายชั้นหน่อย จะได้ไม่โดนอะไรกัดแทะ, และสายสัญญาณประเภทที่ใช้เดินไปตามเสาไฟฟ้า ที่จะต้องมีสายสำหรับคล้องไปกับสายไฟ เป็นต้น   

     

    ที่มาของภาพ: บริษัท INTERLINK   

     

    สาย Coaxial 

     

    สายสัญญาณประเภท Coaxial ก็เป็นอีกประเภทนึงที่ความหลากหลายก็เป็นสิ่งสำคัญ และถือเป็นข้อได้เปรียบของแบรนด์ที่ดีๆ ครับ อย่างแบรนด์ LINK เพราะ LINK มีสายสัญญาณประเภทที่ใช้ในงานหลากหลายไม่แพ้สาย Fiber Optic เลย จริงๆ แล้วมีมากกว่าด้วยครับ … พื้นฐานสุดๆ คือ แบ่งเป็นการเดินสายภายในอาคารและภายนอกอาคาร และภายนอกอาคารก็มีแบบที่ใช้แขวนเสาด้วย (แบบเดียวกับสาย Fiber Optic เลย)   

     

     

    แต่ที่เพิ่มเข้ามาก็คือ ด้วยความที่สาย Coaxial นั้นเป็นสายสัญญาณประเภทมีฉนวนป้องกัน ก็จะมีความหลากหลายในเรื่องของการป้องกันว่าจะป้องกันระดับไหน 60%  หรือ 96% … ตัวเลข % นี่คือตัวที่บอกว่าฉนวนป้องกันสัญญาณรบกวนเนี่ยครอบคลุมพื้นที่กี่เปอร์เซ็นต์ของสายสัญญาณ 

     

    นอกจากนี้ ด้วยความที่เป็นสายสัญญาณประเภทที่ใช้ร่วมกับกล้องวงจรปิด ก็เลยมีสายประเภทที่ใช้สำหรับใช้กับลิฟต์ด้วย (ไว้ใช้ต่อกับกล้องวงจรปิดภายในลิฟต์) เพราะต้องมีความทนทานและยืดหยุ่นสูง เนื่องจากต้องสามารถเลื่อนขึ้นลงได้ตามลิฟต์ด้วย และสาย Coaxial บางประเภทก็จะมีสายไฟฟ้าในตัว เวลาเอาไปใช้กับกล้องวงจรปิด จะได้ไม่ต้องเสียเวลา (และเสียเงิน) เดินสายไฟกันอีกรอบ ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากที่สุดตอนเดินสายภายนอกอาคารนี่แหละครับ   

     

    วางแผนเรื่องสายสัญญาณในอาคารออฟฟิศและคอนโดมีเนียมแต่แรกให้ดี มีชัยไปเกินครึ่ง 

     

    สำหรับผู้ที่กำลังคิดจะสร้างอาคารใหม่ หรือคอนโดมีเนียม การวางแผนเดินสายสัญญาณภายในอาคารให้ดีแต่แรก มันจะช่วยให้อะไรๆ มันง่ายขึ้น สะดวกขึ้นเยอะมาก โดยเริ่มจากวางแผนว่าคอนโดมีเนียมหรือออฟฟิศยุคใหม่แบบนี้ จะมีพวกอุปกรณ์เครื่องใช้อะไรที่น่าจะมีและเชื่อมต่อสายสัญญาณได้ ก็เตรียมไว้ให้พร้อม ทั้งสายสัญญาณอินเทอร์เน็ต, สายสัญญาณโทรทัศน์, สายโทรศัพท์, สาย Fiber optic, สายสัญญาณสำหรับสัญญาณเตือนไฟไหม้ ฯลฯ

     

     

    จากรูปทั้งสอง คือ การนําเสนอเทคโนโลยีการวางแผนเรื่องสายสัญญาณ ที่เรียกว่า “Open Cabling” คือ ระบบสายสัญญาณที่ออกแบบถูกต้องตามมาตรฐานสากล ง่ายต่อการจัดการ และรองรับการใช้งานในอนาคต โดยมีการออกแบบเต้ารับให้ครอบคลุมต่อทุกความต้องการของผู้ใช้งาน และ Patch panel เป็นจุดรวมและกระจายสายสัญญาณ ไปยังเต้ารับ เพื่อง่ายต่อการจัดการ 

     

    ข้อดีคือ 

    -สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย เพิ่มเติม และเปลี่ยนแปลงในภายหลัง 

    -ระบบมีความยืดหยุ่นสูง 

    -ใช้งานง่ายและประหยัด 

    -รองรับหลากหลายระบบ 

    -ถูกต้องตามมาตรฐานสากล 



    หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial

    ข้อมูลจาก www.kafaak.com

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 07:21:28 +0000
    <![CDATA[สายสัญญาณสำคัญไฉนในยุคที่อะไรๆ ก็ไร้สาย ]]> https://encom.co.th/blog/CA2003004-03/ สมัยก่อนบ้านใครมีโทรศัพท์โคตรเท่ ต่อมาต้องเป็นโทรศัพท์บ้านไร้สาย ไปๆ มาๆ ก็กลายมาเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือที่ชาวบ้านเรียกโทรศัพท์มือถือ … ระบบเครือข่ายในบ้านก็เหมือนกัน เมื่อก่อนวุ่นมากกับการเดินสาย LAN ทั่วบ้าน แต่เดี๋ยวนี้อยากมีระบบเครือข่ายในบ้าน ไม่ต้องเดินสาย LAN อะไรให้ยุ่งยากมากแล้ว ติด Wireless Access Point แล้วจะต่อมือถือหรือโน้ตบุ๊กหรือแท็บเล็ต ก็เข้าเครือข่ายในบ้านได้เลย 

     

    แต่มันหมดยุคสายสัญญาณแล้วเหรอ?!? คำตอบคือ ไม่ใช่ครับ 

     

     

    ระบบเครือข่ายแบบไร้สายมันดูเท่ มันดูสะดวก มันดูแล้วรู้สึกว่าทลายข้อจำกัดเรื่องการเชื่อมต่อ ไม่ต้องมีสายอีกต่อไป แต่สุดท้ายเอาเข้าจริงๆ ก็ต้องพึ่งพาสายสัญญาณครับ … ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะว่า “คลื่นความถี่” ที่ใช้สำหรับรับส่งข้อมูล มันเป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดน่ะสิ 

     

    จำกัดยังไง? แม้เราจะมองไม่เห็น แต่จริงๆ แล้วรอบตัวเราเนี่ย มีคลื่นความถี่วิ่งผ่านไปผ่านมาตลอดเวลา มีข้อมูลต่างๆ ถูกรับส่งไปกับคลื่นความถี่นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ บลาบลาบลา ข้อมูลแต่ละแบบ ก็ใช้คลื่นความถี่เฉพาะของตนไป เช่น วิทยุก็อาจจะใช้ความถี่ย่าน 87.5MHz – 108MHz ส่วนพวกโทรศัพท์มือถือ อย่างในประเทศไทยปัจจุบันก็อยู่ในย่าน 850/900/1800MHz หากเป็นเครือข่าย 3G ก็จะอยู่ที่ย่าน 850/900/1900/2100MHz อะไรแบบนี้ เป็นต้น … เมื่อใช้สิ่งที่เรียกว่าแบนด์วิธ ซึ่งเปรียบเสมือนความกว้างของถนนให้รถ (ข้อมูล) วิ่ง จนเต็มเอี้ยดแล้วก็หมดกัน จะไปเพิ่มแบนด์วิธก็ลำบาก เพราะคลื่นความถี่มีจำกัด และมีการนำไปใช้งานอื่นๆ เยอะแยะ     

     

    ในทางกลับกัน สายสัญญาณนั้นกลับให้ความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่าแบบไร้สาย เหตุผลหนึ่งที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะมันเป็นสื่อกลางในการรับส่งข้อมูลที่ดีกว่า อีกทั้งสามารถป้องกันพวกสัญญาณรบกวนได้ดีกว่า เช่น สาย UTP ก็ใช้วิธีการตีคู่เกลียวเพื่อลดสัญญาณรบกวน, สาย Coaxial ก็มีรุ่นที่มีฉนวนป้องกัน หรือสาย Fiber optic เมื่อรับส่งข้อมูลด้วยแสงก็เลยไม่มีคลื่นรบกวน เป็นต้น 

     

    แน่นอน สายสัญญาณก็มีข้อจำกัดด้านแบนด์วิธเช่นกัน แต่ว่าสายสัญญาณก็มีแบนด์วิธที่กว้างกว่าการเชื่อมต่อแบบไร้สายมาก (เครือข่ายไร้สายอาจจะวิ่งที่ความเร็ว 1Gbps แต่พวกสายสัญญาณเขาวิ่งกันที่ 10Gbps ได้แล้ว) นอกจากนี้ แม้จะใช้งานแบนด์วิธจนเต็มแล้ว การเพิ่มแบนด์วิธก็แค่เพิ่มจำนวนสายสัญญาณเข้าไปนั่นเอง 

     

    เล่นอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ แม้จะไร้สาย แต่สุดท้ายแล้วข้อมูลที่รับส่ง ก็จะต้องผ่านสถานีฐาน ซึ่งจะมีการเชื่อมต่อกับชุมสายอินเทอร์เน็ตผ่านทางสายสัญญาณอยู่ดีครับ ฉะนั้น หากเจอปัญหาเล่นอินเทอร์เน็ต 3G/4G หรือไปเล่น WiFi Hotspot แล้วมันไม่เร็วอย่างที่โม้ นอกเหนือจากปัจจัยของตัวผู้ให้บริการแล้ว ความชำนาญของช่างเทคนิคที่ติดตั้งสายสัญญาณ และตัวคุณภาพของสายสัญญาณเองก็มีผลต่อความเร็วด้วย   



    มาตรฐานอื่นๆ ที่พึงพิจารณาเมื่อเลือกสายสัญญาณ 

     

    นอกจากสเปกทั่วๆ ไปของสายสัญญาณ แล้ว พวกคุณสมบัติอื่นๆ ของสายสัญญาณก็ควรจะเอาเข้ามาพิจารณาด้วย โดยเฉพาะในกรณีของผู้ใช้งานในระดับองค์กร เพราะว่าเสถียรภาพของระบบเครือข่ายมีความสำคัญต่อธุรกิจอย่างมาก มากกว่าผู้ใช้งานตามบ้านอย่างผมเยอะ 

     

    ทีนี้คุณภาพของสายสัญญาณเนี่ย มันก็วัดกันลำบาก ต่อให้ดูจากสเปกแล้วก็เหอะ และจะหาคนมารีวิวให้ดูเหมือนพวกสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตก็คงยาก (ผมเอง จะให้ไปรีวิวสายสัญญาณก็คงไม่ไหวเช่นกัน) 

     

    ฉะนั้นเลยต้องมี Certified Body ต่างๆ ซึ่งเป็นสถาบันทดสอบและรับรองมาตรฐานของสายสัญญาณ เข้ามาช่วยในเรื่องการ “รับรองมาตรฐาน” ของสายสัญญาณในเรื่องต่างๆ ครับ เช่นในกรณีของสายสัญญาณ LINK เนี่ย ก็จะมี 

     

    -ISO9001 หมายถึงระบบบริหารจัดการคุณภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าการผลิตสายสัญญาณ LINK นั้นผลิตภายใต้กระบวนการผลิตที่มีการควบคุมอย่างมีคุณภาพ (แนวคิดของ ISO9001 คือ สินค้าที่ดีจะผลิตขึ้นมาได้ กระบวนการผลิตต้องมีคุณภาพก่อน) 

    -Delta และ 3P จะทดสอบเรื่องมาตรฐานการลามไฟ การเกิดควันเมื่อถูกไฟไหม้ อะไรประมาณนี้ (สายสัญญาณจำพวกที่เดินภายในอาคารที่ดี ต้องไม่ลามไฟ ไม่งั้นเวลาเกิดไฟไหม้ มันจะกลายเป็นเส้นทางลามของไฟไปยังชั้นอื่นๆ (เคยพูดถึงไปแล้วในบล็อกตอน สายสัญญาณที่ดีนั้นสำคัญไฉน) ตามมาตรฐาน IEC สำหรับจำหน่ายในสหภาพยุโรป   

     

    - UL และ intertek จะให้การรับรองสายสัญญาณ LINK ในเรื่องประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณ โดยมีการทดสอบครบทั้งวงจรของสายสัญญาณ (Channel Test) ตามมาตรฐาน ANSI/TIA สำหรับจำหน่ายใน USA 

    -RoHS นี่ผมว่าสำคัญ เพราะเป็นเรื่องของการรับรองว่าสายสัญญาณ LINK จะไม่มีพวกสารปนที่เป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต (Harzardous substances) จำพวกตะกั่ว แคดเมียม ปรอท ฯลฯ เกินมาตรฐานที่กำหนด   

     

     

    ฉะนั้น เวลาเลือกสายสัญญาณอ่ะครับ … นอกจากดูจากสเปกของสายสัญญาณตามที่ผู้ผลิตเขาได้โม้เอาไว้แล้ว ก็ควรจะพิจารณาด้วยว่า ตัวผู้ผลิตเองนั้นได้รับการรับรองมาตรฐานอะไร จาก Certify Body (เรียกย่อๆ ว่า CB) ไหนบ้าง เพราะแม้เราจะไม่สามารถไปรีวิวหรือทดสอบคุณภาพของสายได้แบบเต็มเหนี่ยว อย่างน้อยๆ เราก็ได้มั่นใจว่าพวก CB เหล่าเนี้ย เขาไปทดสอบตามมาตรฐานสากลมาแล้ว และรับรองว่าสายสัญญาณที่ผลิตจากผู้ผลิตรายนี้เขาผ่านมาตรฐานครับ 

     

    คุยกันอยู่พักใหญ่ ก็ได้เรื่องได้ราวมาประมาณสองเรื่องหลักๆ สำคัญๆ นี่แหละ เลยเอามาเขียนเล่าสู่กันอ่านครับ

     

    หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial

    ข้อมูลจาก www.kafaak.com

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 07:19:23 +0000
    <![CDATA[รู้หรือไม่? อินเทอร์เน็ตช้าเพราะสายสัญญาณก็มีผลนะ]]> https://encom.co.th/blog/CA2003004-02/ ปัญหาของหลายคนที่เชื่อว่าเกือบทุกคนเลยแหล่ะ สำหรับการที่อินเทอร์เน็ต (Internet) ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานในองค์กรหรือจะตามบ้านก็ตาม สาเหตุสำคัญอีกอย่างที่หลายคนมักจะมองข้ามไปเลยก็คือเรื่อง “สายสัญญาณ” สิ่งนี้แหละคือสิ่งสำคัญไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรบกวนของสัญญาณ หรือประสิทธิภาพที่ด้อยลงจากคุณภาพก็ตาม

    Thailand-Network

    ประเภทของสายสัญญาณ

    แท้จริงแล้วแบ่งออกเป็นหลายประเภทแต่ถ้าหากเอาใกล้ ๆ ตัวที่พอจะจับต้องแล้วใช้กันอยู่บ่อย ๆ ก็จะเป็น

    1. LAN (UTP)

    2. Optical Fiber

    3. CCTV (COAXIAL)

    ยกตัวอย่างภาพที่อยู่ด้านบนดูยุ่งเหยิงมาก ๆ แท้จริงแล้วไม่ใช่สายไฟแต่มีหลายสายประกอบเข้าด้วยกัน ที่เห็นกันขด ๆ ม้วน ๆ จะเป็น Optical Fiber เสียส่วนใหญ่ (ความรู้ใหม่สำหรับผมเลย)

     

     

     

    Sample-UTP

    สาย LAN (UTP)

    สายชนิดนี้เชื่อว่าทุกคนรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี และถึงแม้ว่าองค์กรจะเปลี่ยนไปใช้เป็น Wireless อย่างไรเสียสายชนิดนี้ก็จำเป็นต้องคงอยู่กับเราไปอีกนานแสนนาน เพราะมันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้จริง ๆ หากให้แบ่งประเภทสายชนิดนี้อย่างคร่าว ๆ ก็คงเป็น

    • CAT 5E ตามมาตรฐานทดสอบกันที่ความถี่ 100 MHz แต่ของ LINK รองรับ 350 MHz

    • CAT 6 ตามมาตรฐานทดสอบกันที่ความถี่ 250 MHz แต่ของ LINK รองรับ 600 MHz

    • CAT 6A ตามมาตรฐานทดสอบกันที่ความถี่ 500 MHz แต่ของ LINK รองรับ 750MHz

    หากมองเผิน ๆ หลายคนคงคิดว่าไม่ต่างกัน แต่สายคุณภาพจาก LINK ได้พิสูจน์ให้ทีมงานเห็นแล้วว่ากระบวนการผลิต รวมถึงเทคโนโลยีและขั้นตอนต่างเป็นอะไรที่ลึกซึ้งเหนือกว่ามาตรฐาน TIA-568-C.2 ของ CAT 5E รองรับความเร็ว 1 Gbps ทดสอบที่ความถี่ 350 MHz นอกจากนี้ยังได้มาตรฐาน RoHS รวมถึง UL จากสหรัฐอเมริกา

    ส่วน CAT 6 นอกจากจะทดสอบด้วยความถี่ 600 MHz และได้มาตรฐานการรับรองเหมือน CAT 5E ทุกประการ แล้วยังมีทองแดงแท้ขนาด 23 AWG ใหญ่กว่าทั่วไปรวมถึง Cross Filler เพื่อแยกสายออกจากกันและลดทอนสัญญาณรบกวน

    UTP-Network

    การเลือกสาย LAN (UTP) ก็เหมือนกับการปูถนนบางครั้งเทคโนโลยีที่เราใช้อาจจะไม่ถึง แต่ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีถนนที่ใหญ่กว่าเพื่อรองรับ ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ต้องสื่อสารกันด้วยความเร็วสูงมากขึ้น จนทำให้เกิดสนามแม่เหล็กไปรบกวนคู่สายสัญญาณอื่น ๆ ในเส้นเดียวกัน ทางแก้ปัญหาก็ไม่ยากเพียงแค่เพิ่ม Foil หรือไม่ก็ใช้ PVC Slot รอบสายสัญญาณแบบ CAT 6A ซึ่งข้อเสียก็คืออาจทำให้ต้นทุนสูงกว่า แต่อย่างที่บอกก็คือเป็นการวางระบบเพื่ออนาคต

    ส่วนตัว Office ของผมเองเคยมีเรื่องปวดหัวเกี่ยวกับการวางระบบสาย LAN (UTP) เหมือนกัน เพราะไปจ้างช่างไฟค่าแรงถูกมาเดินให้ ผลคือช่างเอาสายไปวางอยู่เส้นเดียวกับสายไฟ แรก ๆ ก็เหมือนไม่ค่อยมีอะไรแต่พอใช้งานกับจำนวนเครื่องที่เยอะขึ้นสัมผัสได้ถึงความเร็วที่ลดลงและปัญหาที่มากขึ้น จนกระทั่งไปจ้างบริษัทวางระบบจริง ๆ มาเดินสายปัญหาทุกอย่างหายไปสนิทเลย เป็นเรื่องเล็กที่ทุกคนมองข้ามกันจริง ๆ แต่ที่ตลกคือค่ารื้อแก้งานใหม่มันยุ่งยากกว่าเดิมมาก

    Sample-Fiber Optic

    สาย Optical Fiber

    หรือที่คนรู้จักกันในชื่อไทยอย่าง “เส้นใยแก้วนำแสง” ประกอบด้วยเส้นใยขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เป็นตัวนำแสง โครงสร้างของเส้นใยแสงประกอบด้วยส่วนที่แสงเดินทางผ่านเรียกว่า CORE และส่วนที่หุ้ม CORE อยู่เรียกว่า CLADDING ทั้ง CORE และ CLADDING เป็น DIELECTRIC ใส 2 ชนิด (DIELECTRIC หมายถึงสารที่ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้า เช่น แก้ว พลาสติก) ซึ่งรายละเอียดเชิงลึกผมคงไม่พูดถึงดีกว่า เพราะคนรู้ก็คงรู้แล้วส่วนคนไม่รู้อ่านไปก็คงยิ่งไม่เข้าใจ

    ข้อดีก็คือเป็นสายสัญญาณความเร็วสูงไม่ถูกรบกวนหรือดูดซึม และเป็นอิสระจากการมอดูเลตทางความถี่แถมยังมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา ซึ่งสเปคหลัก ๆ ก็จะแบ่งเป็น Indoor และ Outdoor ตามการใช้งานรวมถึงสเปคพิเศษที่มีเกราะมาหุ้มเพื่อความแข็งแรง และป้องกันพวกสัตว์อย่างกระรอกหรือหนูมาแทะอะไรพวกนี้อีกด้วย

    Fiber Optic-Network

    สำหรับรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับสายมีค่อนข้างเยอะครับ แต่สายชนิดนี้ผู้ใช้งานทั่วไปอาจไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสเท่าไหร่ คงต้องเป็นเรื่องของผู้รับเหมาหรือคนวางระบบมากกว่า แต่อย่างไรเสียรู้ไว้ใช่ว่าครับเวลาจะมีโครงการวางระบบอะไรแนะนำให้เชิญผู้เชียวชาญจากบริษัทเฉพาะทางนั้นจริง ๆ 

    เพื่อที่ว่าจะไม่มีปัญหาในระยะยาว

    Sample-COAXIAL

    สาย CCTV (COAXIAL)

    หรือที่คนรู้จักกันว่าเป็นสาย CCTV ลักษณะเป็นสายเคเบิลทองแดงชนิดหนึ่งใช้โดยผู้ให้บริการ เคเบิลทีวีระหว่างสถานีส่งกับผู้ใช้ตามบ้าน ซึ่งบางครั้งก็ถูกใช้โดยบริษัทโทรศัพท์จากสำนักงานไปยังตู้โทรศัพท์ใกล้ผู้ใช้ (Hi-Speed Internet หลายเจ้าก็เริ่มเปลี่ยนมาใช้สายนี้แล้ว) และนอกจากนี้ก็ยังมีการใช้อย่างกว้างขวางในงานอื่น ๆ เช่น กล้องวงจรปิด (CCTV)

    จากรูปด้านล่าง จะเห็นว่า เป็นการติดตั้งใช้งานกล้องวงจรปิด (CCTV) ซึ่งเราจะเห็นว่า สาย CCTV มีการติดตั้งที่หลากหลายมาก เช่น ติดตั้งในอาคาร, ในลิฟต์, แขวนไปกับเสาไฟฟ้า และแบบที่มาสายไฟฟ้าในตัว

    COAXIAL-Network

    ทำไมต้องเลือกของคุณภาพ? เพราะสายนี้ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพเนื่องจากการส่งไม่ได้เป็นข้อมูลแบบดิจิตอล ดังนั้นภาพที่เราได้จากกล้องวงจรปิดจะชัดหรือจะเบลอก็ขึ้นอยู่กับสายเป็นปัจจัยหลัก (ลองนึกถึงสมัยดูโทรทัศน์ด้วยหนวดกุ้ง ถ้าคุณภาพไม่ดีก็จะเป็นประมาณนั้นเลย) สำหรับสายของ LINK นอกจากจะเน้นที่คุณภาพแล้วยังมีตัวเลือกค่อนข้างหลากหลาย

    • สำหรับใช้งานนอกอาคาร (แน่นอนว่าต้องทนแดดทนฝนหน่อย)

    • สำหรับใช้งานในอาคาร (มีสีขาวและดำให้กลมกลืนกับในอาคาร)

    • สำหรับแขวนเสา (ต้องมีแกนสำหรับรับน้ำหนักและแขวน)

    • พร้อมสายไฟ (เดินเพียงเส้นเดียวสะดวกมากยิ่งขึ้น)

    • แบบหุ้มฉนวน 96% (สำหรับสถานที่มีสัญญาณรบกวนเยอะ)

    • แบบหุ้มฉนวน 60% (สำหรับสถานที่มีสัญญาณรบกวนน้อย)

    • สำหรับใช้ในลิฟต์ (ต้องทนต่อการม้วนแล้วคลายให้ได้มากกว่าปกติ มีความยืดหยุ่นสูง)

    จะเห็นได้ว่าจากด้านบนหลากหลายความต้องการก็แตกต่างกันออกไป สายชนิดนี้ค่อนข้างจะมีผลต่อคุณภาพโดยตรงจะใช้งานมั่ว ๆ ไม่ได้ และสายของ LINK ก็ผลิตจากโรงงานคุณภาพตามสเปคที่ระบุไว้ไม่มีเล่นลิ้นแบบฉนวนครึ่งเดียว (บางยี่ห้อเป็น) รวมถึงมาตรฐานเรื่องความปลอดภัยอันนี้ LINK ซีเรียสค่อนข้างมาก

    Fire-Cable

    มาตรฐานสำคัญอย่างไร?

    สายของ LINK ได้มาตรฐาน UL (สหรัฐอเมริกา), สถาบัน INTERTEK (สหรัฐอเมริกา) และได้มาตรฐาน RoHS จากที่ได้รับฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมา

    พวกเหตุการณ์เวลาเกิดเพลิงไหม้เนี่ยส่วนใหญ่คนเราจะเสียชีวิตกันเพราะ “ควัน” ครับ ไม่ใช่เพราะความร้อนดังนั้นจึงมีมาตรฐานออกมาเกี่ยวกับอุปกรณ์พวกนี้ เช่น พวกสายสัญญาณต้องไม่ติดไฟ หรือติดไฟแล้วต้องไม่ลามไปสู่ห้องอื่น ฯลฯ ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างเยอะและส่วนใหญ่เราจะมองข้ามไป ผมมองว่ามาตรฐาน UL นี้สำคัญนะอย่าได้มองข้าม

    สรุป

    จากที่กล่าวมาข้างต้นหลายคนคงพอเข้าใจกันบ้างแล้ว เกี่ยวกับประเภทของสายหรือลักษณะการใช้งาน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเล็กเลยทีเดียว หากคิดจะเริ่มวางแผนสร้างอาคารหรือสำนักงาน ลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญดูก่อนว่าเราจะวางระบบสายเคเบิ้ลอย่างไร เพราะงานพวกนี้แก้ทีหลังเป็นอะไรที่ลำบากมาก หากไม่รู้จะเริ่มหรือจะปรึกษาใครลองนึกถึงเราดูสิครับ ENCOM พร้อมให้คำปรึกษาทุกสถานการณ์ เพราะเราเป็นบริษัทฯ ที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้จริง ๆ แถมยังมีบุคลากรที่ชำนาญการและเครื่องมือที่ทันสมัยรองรับ

    หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial

    ข้อมูลจาก www.ireview.in.th

     

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 05:00:55 +0000
    <![CDATA[Internet ช้าปัญหาเกิดจากอะไรกันนะ?]]> https://encom.co.th/blog/CA2003004-01/ Internet ช้าเป็นปัญหาโลกแตกที่ทุกคนทุกชาติต้องเผชิญ หากคุณลองค้นหาเป็นภาษาต่าง ๆ จะพบว่าทุกคนบนโลกมีปัญหาไม่ต่างจากคุณ แต่อะไรล่ะที่เป็นสาเหตุหลัก หากได้รู้ต้นเหตุที่แท้จริงแล้วคุณอาจต้องอึ้ง! เพราะส่วนหนึ่งที่ Internet ช้าเกิดจากสายที่ไม่ได้คุณภาพ

     

    LAN-UTP

    Internet ช้าเกิดจากสาย

    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่า “สาย” จะเป็นอะไรที่สำคัญขนาดนั้น จริงอยู่ที่ว่าปัจจัยของอินเตอร์เน็ตช้ามีหลายประการ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่เกี่ยวข้องกันเลย … ทีนี้เราจะมาดูกัน ว่าสายที่เราคิดว่าเหมือนกันนั้น มันต่างกันอย่างไร

     

    สำหรับคนใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตอาจคิดว่าสายยังไงก็ไม่เกี่ยวข้อง แต่แท้จริงแล้วไม่ว่าคุณจะใช้ระบบไร้สายอย่างไร ก็ต้องมีเรื่องของสายมาเกี่ยวข้องอยู่ดี (ตามตัวอย่างภาพด้านบน) บางครั้ง 3G/4G ช้าก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากสัญญาณไม่ดีเสมอไป เคยเป็นไหมครับ? บางครั้งสัญญาณเต็มทุกขีดอยู่ในย่านชานเมืองแท้ ๆ แต่ทำไมเน็ตถึงช้าเป็นเต่า

    แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ให้บริการ เราเองคงไปทำอะไรไม่ได้ (แต่รู้ไว้ก็ใช่ว่า) ต่อไปเรามาดูองค์ประกอบของเน็ตช้ากัน ว่ามันจะเกิดจากอะไรได้บ้าง?

    Speed Test

    สาเหตุของ Internet ช้า

    เมื่อเราเล่นอินเทอร์เน็ตแล้วรู้สึกว่ามันช้าหรืออืด เรามักจะไปทดสอบความเร็วกันที่ Speedtest.net เพื่อดูว่ามันช้าแค่ไหน สำหรับสาเหตุหลักก็จะมีอยู่เพียงแค่นี้

    1. Cable ใช้ของอะไรอยู่ มีมาตรฐานรองรับน่าเชื่อถือแค่ไหน ฯลฯ

    2. Service Provider ผู้ให้บริการอาจเป็นตัวเซิร์ฟเวอร์ที่เราเข้า ฯลฯ อันนี้ทำอะไรมากไม่ได้เช่นกัน

    3. Technician เกิดจากปัญหาทางเทคนิค เลือกใช้อุปกรณ์ผิด การติดตั้งโดยช่างที่ไม่ชำนาญการ ฯลฯ

    สำหรับปัญหาเรื่อง Technician ก็สำคัญไม่แพ้กัน บางบริษัทใช้อุปกรณ์ดี วางระบบคำนวณเผื่ออนาคตมาเป็นอย่างดี เลือกผู้ให้บริการเบอร์หนึ่ง แต่มาตายน้ำตื้นตรงที่ “ช่างไม่ได้มาตรฐาน”

    ซึ่งทาง Interlink เองก็มีโครงการ Cablingcontest ในการประกวดพัฒนาฝีมือช่างติดตั้ง อีกทั้งยังเป็นผู้สนับสนุนหลักในการแข่งขัน ทักษะฝีมือแรงงานระดับอาเซียน (World Skill Asean) อีกด้วย

    Lay Out Plan

    สำหรับใครที่มีแผนจะสร้างบ้าน, อาคาร, โรงงานใหม่ การวางระบบเครือข่ายไปพร้อมกับแปลนก่อสร้างเลยก็สำคัญไม่แพ้กัน (เช่น LAN, Fiber Optic, CCTV) เพราะเดี๋ยวนี้คงไม่มีบ้านไหนมีแค่สายไฟแล้วจบ การวางระบบมาตั้งแต่ต้นเลยจะง่ายและประหยัดกว่าการมาเพิ่มภายหลัง

    LAN Cable

    LAN (UTP)

    หากว่ากันที่เทคโนโลยีก็มีทั้ง CAT 5E, CAT 6, CAT 6A (รายละเอียดไม่ขอเล่าเพราะมันค่อนข้างเยอะ) แต่คุณรู้หรือไม่ว่าสายที่เห็นว่าเหมือนกันนั้น หลายแบรนด์ไม่ได้ผลิตตามมาตรฐาน ANSI TIA 568 ซึ่งเป็นมาตรฐานของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยต้องผ่านการรับรองจากสถาบัน UL , intertek , 3P ,Delta และ RoHS ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับสิ่งแวดล้อม

    Fiber Optic

    Fiber Optic

    ส่วนใหญ่เราเรียกติดปากว่า “เส้นใยแก้วนำแสง” ถึงแม้ว่าจะไม่มีทองแดงเป็นส่วนประกอบ และไม่มีปัญหาเรื่องสัญญาณรบกวน แต่สาย Fiber Optic ก็แบ่งออกเป็นหลายประเภทเช่นกันสเปคมีทั้ง Outdoor (ใช้ภายนอก), Indoor (ใช้ภายใน) และสายชนิดพิเศษ Outdoor/Indoor ที่สามารถใช้ติดตั้งภายนอกและต่อเนื่องเข้ามาถึงภายในอาคาร  ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับการติดตั้งของช่างในประเทศไทยและอาเซียน

    CCTV

    CCTV (Coaxial)

    ส่วนใหญ่เรามักรู้จักกันในนามสายกล้องวงจรปิด แต่อันที่จริงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหลายรายเริ่มหันมาใช้กันแล้ว ซึ่งเราจะเห็นว่าสาย CCTV มีการติดตั้งที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งในอาคาร, กล้องในลิฟต์ซึ่งจะใช้สายที่มีความยืดหยุ่นสูง, แขวนไปกับเสาไฟฟ้า, หรือแม้กระทั่งแบบที่มีสายไฟฟ้าในตัว

    ***มาตรฐานอเมริกา คำว่ามาตรฐานไม่ได้บ่งบอกแค่คุณภาพของสายอย่างเดียว แต่ยังบ่งบอกกระทั่งความปลอดภัยของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสถาบัน UL (สหรัฐอเมริกา), สถาบัน Intertek (สหรัฐอเมริกา) และได้มาตรฐาน RoHS ยกตัวอย่างเช่นเวลาเกิดเพลิงไหม้ ตัวสายเองต้องไม่ลามไฟหรือก่อให้เกิดควันพิษจนเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิต เป็นต้น

    สรุป  ตัวสายแต่ละประเภทมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ แต่คิดว่าทุกท่านคงได้ทราบกันดีแล้วว่า “มันแตกต่าง” อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เลือกวางระบบทั้งที อย่าลืมใช้บริการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญและลงทุนกับอุปกรณ์สายสัญญาณอินเทอร์เน็ต เชื่อผมเถอะว่าเวลาเน็ตช้าหรือเครือข่ายล่มน่ะ … มันไม่สนุกหรอก

    ทั้งนี้หากคุณไม่รู้จะปรึกษาใคร ก็ลองติดต่อหาเราดูสิครับ ENCOM พร้อมให้คำปรึกษาทุกสถานการณ์ 

     

    หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial

    ข้อมูลจาก www.ireview.in.th

     

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 04:59:06 +0000
    <![CDATA[การอยู่ร่วมกันของสายทองแดงและไฟเบอร์]]> https://encom.co.th/blog/CA2003003-06/  

     

    โลกเทคโนโลยีกำลังเข้าสู่ยุคไร้สายกันเข้าเรื่อยๆ นะครับ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในบ้านก็ไร้สาย หลายๆ บริษัทก็ให้พนักงานเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับเครือข่ายของบริษัทผ่านระบบเครือข่ายไร้สาย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยปัจจัยด้านความน่าเชื่อถือ และแบนด์วิธของข้อมูล สายเคเบิ้ลก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ เพียงแต่อาจจะเปลี่ยนสถานะไปเป็นพระเอกที่อยู่เบื้องหลังของระบบเครือข่ายแทนนั่นแหละ

     

    การอยู่ร่วมกันของระบบเครือข่ายไร้สาย และระบบเครือข่ายใช้สาย

     

    เพื่อให้อ่านแล้วคล้องจองชวนสับสน ผมขอเรียก Wireless network ว่า ระบบเครือข่ายไร้สาย หรือ Wireless ส่วน Wired network ก็ขอเรียกว่า ระบบเครือข่ายใช้สาย หรือ Wiring ก็แล้วกันนะครับ ... ปกติแล้ว ในบ้านที่คนในบ้านเลือกใช้อุปกรณ์จำพวกสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือโน้ตบุ๊ก ก็มักจะเลือกใช้ระบบเครือข่ายไร้สาย เพราะอุปกรณ์พวกนี้มักจะมีตัวรับสัญญาณแบบไร้สายมาด้วย และสะดวกในการใช้งาน

     

    แต่ในกรณีของบ้านใหญ่ๆ (จำพวก กงสี หรือ บ้านที่ประกอบไปด้วยครอบครัวย่อยๆ ญาติพี่น้องอาศัยอยู่รวมกัน) อพาร์ทเม้นต์ คอนโด หรือพวกบริษัทต่างๆ ... เวลาพูดถึงระบบเครือข่ายแล้ว เราต้องนึกถึง การอยู่ร่วมกันของระบบเครือข่ายไร้สายและระบบเครือข่ายใช้สายครับ ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีเรื่องของประสิทธิภาพ และความสะดวกเข้ามาร่วมด้วยนั่นเอง

     

    ระบบเครือข่ายไร้สายสะดวกสบาย แต่มีข้อจำกัดอยู่เยอะ ที่ผู้ใช้งานทั่วไปไม่ทันได้นึกถึงครับ เช่น แบนด์วิธที่จำกัด (ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการใช้งานบางประเภท), ค่าใช้จ่ายในส่วนของอุปกรณ์ต่อจุดที่สูง อะไรแบบนี้เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้เราต้องวางแผนเลือกใช้ให้เหมาะสม ซึ่งปกติแล้ว มันมักจะมาในรูปแบบประมาณนี้ครับ

     

    ใช้สายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) ในการเดินสายจาก ISP มาที่ตัวอาคาร ต่อเข้ากับ Switch ตัวหลัก เพื่อให้ได้แบนด์วิธสูงสุดในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต (ที่เหลือก็อยู่ที่ว่ามีปัญญาจ่ายค่าเน็ตมากน้อยแค่ไหน)

    จาก Switch ตัวหลัก ใช้สายเคเบิ้ลทองแดง (สาย LAN นั่นแหละ) แบบ Cat 6 เดินจาก Switch ตัวหลัก ไปตามจุดต่างๆภายในอาคาร เพื่อใช้สำหรับระบบ Internet ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากภายในอาคาร และใช้สาย Coaxial (ส่วนใหญ่ก็ใช้สาย RG6) ในการเดินภายในอาคารสำหรับกล้องวงจรปิด

    สาย Cat 6 ที่เดินจาก Switch หลัก ไปต่อกับ Switch ย่อยอื่นๆ เพื่อแยกย้ายไปเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ พวก IP Phone และพวก Wireless access point ต่างๆ เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ผ่านเครือข่ายไร้สาย

    ก็ประมาณนี้ครับ ... สำหรับหลายๆ ออฟฟิศ สายเคเบิ้ลยังมีความจำเป็นอยู่มาก โดยเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องทำงานกับไฟล์ขนาดใหญ่ๆ เช่น Workstation สำหรับตัดต่อวิดีโอ และพวกไฟล์มัลติมีเดียต่างๆ โดยต้องการแบนด์วิธสูงๆ เอาไว้สำหรับเรียกใช้และจัดเก็บ ไฟล์งานขนาดหลายๆ กิกะไบต์นี่แหละ

     

    คำถามคือ แล้วเลือกสาย Cat 5e หรือ Cat 6 ดีล่ะเนี่ย?!?

     

    ที่นี้พอนึกถึงสาย LAN เราอาจนึกไม่ถึงว่า มันต้องเลือกอีกนะ ... เมื่อหลายปีก่อน เรามีตัวเลือกหลักๆ คือ สาย Cat 5e เพราะรองรับความเร็วในการส่งสัญญาณสูงถึง 1Gbps แต่เดี๋ยวนี้เรามีตัวเลือกเพิ่มอีกคือ Cat 6 ครับ ที่รองรับความเร็วสูงสุดถึง 10Gbps (ที่ระยะ 55 เมตร) ไหนจะมี Cat 6A อีกด้วยนะ คำถามเลยมีอยู่ว่า แล้วจะเลือกแบบไหนดี?



    Cat 6A บอกตรงๆ ว่า เป็นอะไรที่ยังไม่จำเป็นขนาดนั้นสำหรับออฟฟิศทั่วๆ ไป หรือแม้แต่ในอพาร์ทเม้นต์เองก็เหอะ ... และถ้าใครมองที่งบประมาณเป็นหลัก อารมณ์ว่ายิ่งถูกยิ่งโอเค อาจจะมองไปที่ Cat 5e ครับ เพราะรองรับความเร็วระดับ 1Gbps เนี่ย สำหรับหลายๆ คนก็ถือว่ามากพอแล้วสำหรับการทำงานต่างๆ ... ยิ่งพิจารณาเฉพาะแค่การใช้อินเทอร์เน็ต ยิ่งไม่ใช่ประเด็นเลย เพราะปัจจุบัน เน็ตที่ใช้กัน อย่างเก่งก็ 30Mbps หรือใครยอมจ่ายโหดๆ หน่อย ก็อาจจะได้ 100Mbps ถึง 250Mbps อย่างมาก

     

    แต่มองในระยะยาว พวกคอนเท้นต์ต่างๆ พวกไฟล์ต่างๆ มีแนวโน้มที่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น ต่อให้เป็นภายใน LAN ที่บ้านหรือในออฟฟิศเองก็เหอะ ภายใน 5 ปี ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าความเร็วแค่ระดับ 1Gbps เองก็อาจจะไม่พอแล้ว ซึ่งตรงนี้ Cat 6 จะรองรับความเร็วเผื่อไว้มากกว่า คือ 10Gbps (ที่ระยะ 55 เมตร) ... แน่นอนว่าราคาของสาย Cat 6 นั้นต้องแพงกว่า Cat 5e อยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันไม่ได้แพงกว่าจนเวอร์วัง ต้องมาคิดหนักว่าจะเลือกอะไร

     

    พิจารณาจากตารางด้านบน ที่ผมแอบไถบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เป็นผู้นำด้านระบบสายสัญญาณ ซึ่งผมขอข้อมูลไปว่า หากเทียบระหว่างสายสองประเภทนี้แล้ว ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมันแตกต่างกันมากไหม ผมก็พบว่า ที่ระยะประมาณ 500 เมตร ซึ่งก็เพียงพอสำหรับออฟฟิศขนาดย่อมๆ แล้ว ค่าใช้จ่ายมันแตกต่างกันแค่ประมาณ 5% เท่านั้นเอง และเมื่อเทียบต่อ 1 หน่วย (1 เมตร) ก็ยังต่างกันเพียง 5 % เท่านั้นเช่นกัน

     

    คือ บางครั้งเราไปพิจารณาแต่แค่ความแตกต่างของราคาสายเคเบิ้ล ซึ่งหากพิจารณาแบบนั้น สาย Cat 6 ที่ราคา 15.38 บาท/เมตร ก็จะแพงกว่า Cat 5e ที่ราคา 11.15 บาท/เมตร อยู่ประมาณ 38% ซึ่งดูแพงอักโขมากทีเดียว ... แต่จริงๆ แล้ว หากมองในภาพรวม ราคาของสายเคเบิ้ลมันแค่ส่วนหนึ่ง (ประมาณ 1/3) ของค่าใช้จ่ายในการติดตั้งทั้งหมดนะครับ และที่เราได้มาเพิ่มก็คือ ความพร้อมของแบนด์วิธ สำหรับการใช้งานในอนาคตนั่นแหละ

     

    FTTx ... Fiber to the What???

     

    อีกเทคโนโลยีนึงที่เดี๋ยวนี้เข้ามามีบทบาทมากก็คือเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงครับ เพราะมันมีข้อดีเหนือกว่าพวกสายสัญญาณที่เป็นทองแดงอยู่หลายข้อเลย เช่น

     

    แบนด์วิธเยอะกว่า (มาก) ทำให้รับส่งข้อมูลได้ไวกว่า

    โครงสร้างมีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบากว่าสายเคเบิ้ลที่เป็นทองแดงเยอะ

    การรับส่งข้อมูลทำด้วยแสง จึงไม่ถูกรบกวนด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใดๆ

    ตัวสายสัญญาณเป็นแก้ว มีคุณสมบัติเป็นฉนวน ไม่นำไฟฟ้า แม้จะไปสัมผัสกับสายเปลือยก็ไม่โดนไฟดูด

    แทบจะดักสัญญาณข้อมูลไม่ได้เลย (ในขณะที่สายทองแดงนั้น สามารถดักสัญญาณได้ด้วยการเอาสายสัญญาณอีกเส้นไปต่อพ่วง)

    สามารถเดินสายสัญญาณเป็นระยะไกลๆ ได้แบบหลายสิบกิโลเมตร (มาตรฐาน 10GBASE-ER เดินสาย 40 กิโลเมตร ความเร็ว 10Gbps หรือมาตรฐาน 100GBASE-ER4 เดินสาย 40 กิโลเมตร ความเร็ว 100Gbps) ในขณะที่สายสัญญาณที่เป็นทองแดงอย่างเก่งก็ไปได้แค่ 100 เมตร (ไกลกว่านั้นสัญญาณอ่อน ความเร็วตก)

     

    ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่จะมีการใช้สายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงนี้ กับการเชื่อมต่อระหว่าง Site ครับ ไม่ว่าจะเป็น FTTH (Fiber to the Home) เพื่อบริการอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วระดับกิกะบิต หรือ FTTC (Fiber to the Curb) หรือ FTTO (Fiber to the Office) ซึ่งให้ประโยชน์ในการใช้งานที่มากกว่าแค่อินเทอร์เน็ต เช่น การทำ Video conference แบบเห็นหน้า หรือแม้แต่ IP Phone (ใช้มาก โดยเฉพาะกับองค์กรระดับนานาชาติที่ต้องมีการโทรศัพท์คุยงานกันข้ามประเทศบ่อยๆ เพราะหากไปใช้โทรศัพท์ปกติ ค่าโทรบานตายชัก)

     

    อย่างไรก็ดี สายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงมันก็มีข้อจำกัดในการใช้งานครับ

     

    สายมันเปราะ แตกหักได้ง่าย (ก็มันเป็นแก้วนิ)

    มีข้อจำกัดในการโค้งงอ จึงเกิดนวัตกรรมในการผลิตสายใยแก้วนำแสงทำให้มีความยืดหยุ่นสูง เพื่อใช้ในการติดตั้งภายในอาคารเท่านั้น



    สุดท้ายแล้ว คือการอยู่ร่วมกันระหว่างสายทองแดงและสายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสง

     

    ด้วยข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไประหว่างสายเคเบิ้ลที่เป็นทองแดง และสายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสง มันเลยทำให้เมื่อนำมาใช้งาน ทั้งสองสามารถเสริมกันและกันได้ดีกว่าที่จะไปเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งครับ

     

    สำหรับการใช้งานภายนอกอาคารที่อาจจะโดนสัญญาณรบกวนสูง และมีความจำเป็นต้องเดินสายเป็นระยะไกลๆ ทำให้โอกาสที่จะมีใครไปตัดสาย ไปทำสายงอ สายหัก น้อยมาก หรือแม้แต่การเป็น Backbone ภายในอาคารเอง สายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงก็เลยกลายเป็นทางเลือกที่ดี เพียงแต่อาจจะต้องเลือก "ประเภท" ของสายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงที่เหมาะสมด้วย (เช่น สาย LSZH - Low Smoke Zero Halogen ที่เป็นสายไม่ลามไฟ เอาไว้ใช้ภายในอาคาร หรือสาย Drop wire ที่เอาไว้สำหรับเดินเกาะไปตามแนวสายไฟ)

     

    แต่พอมาเป็นภายในอาคาร ที่การเดินสายไม่ได้ยาวมาก สาย Cat 6 ก็จะมามีบทบาทมากกว่า เพราะรองรับความเร็วที่สูง ภายในระยะทางที่เหมาะสม และอุปกรณ์ต่างๆ ก็รองรับอยู่แล้ว (ใช้หัว RJ-45 หรือหัว LAN แบบทั่วๆ ไป) และจะเดินสายโค้งงอให้เหมาะสมกับการเดินสายไปเชื่อมต่อ

     

    มันก็ประมาณนี้แหละครับ

     

    ข้อมูลจาก www.kafaak.com

     

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 04:51:15 +0000
    <![CDATA[เทคโนโลยี 5G เกี่ยวข้องกับสายสัญญาณได้อย่างไร]]> https://encom.co.th/blog/CA2003003-05/ หลังจากประเทศไทยได้ทำกันประมูล 4G หรือ คลื่นความถี่ 1,800 MHz จบไปได้ไม่นาน ซึ่งผู้ชนะคือ True และ AIS และในต่างประเทศเองก็กำลังเร่งพัฒนาระบบ 5G เพื่อรองรับความต้องการในอนาคต แต่ในเมื่อเป็นการให้บริการไร้สายบนโทรศัพท์มือถือ แล้วงานนี้จะมาเกี่ยวข้องกับสายสัญญาณได้อย่างไร?

     

     

    5G คืออะไร

     

    สำหรับเทคโนโลยี 5G นั้นเป็นมากกว่าอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ไม่เพียงแค่เราจะดาวน์โหลดหรืออัปโหลดไว้ขึ้น แต่ยังก่อให้เกิดบริการใหม่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Smart Car, eHealth, Connected House, Smart Grids หรืออื่น ๆ อีกสารพัด โดยจากการคาดการณ์ในปี 2025 จะมีความต้องการอินเตอร์เน็ตสูงกว่าปี 2010 ถังพันเท่า!

     

    เพื่อต้อนรับการเข้าสู่ยุค Internet of Things (IOTs) หรือ Connected World อย่างสมบูรณ์แบบ จึงจำเป็นต้องเพิ่มความเร็วสูงสุดของเทคโนโลยี 5G (ปัจจุบัน 4G ประมาณ 100 Mbps) ให้สามารถเพิ่มได้สูงสุดถึง 10 Gbps โดยอาจโอนถ่ายข้อมูลโดยเฉลี่ยที่ 100 Mbps ไปยังอุปกรณ์กว่าล้านชิ้นในเวลาเดียวกันภายใต้รัศมี 1 กิโลเมตรได้เลยทีเดียว

     

    และถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดและมาตรฐาน 5G ได้ผ่านการยอมรับของสมาชิก ITU ทั้ง 193 ประเทศ เราอาจได้เห็นการทดสอบอย่างเป็นทางการในช่วงปี 2018 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Pyeongchang นั่นเองครับ

     

    ความเกี่ยวข้องของ 5G (อันที่จริงรวมถึง 3G/4G ก็ด้วย) ถึงแม้ว่ามันจะไร้สายแต่ในฐานะผู้ให้บริการ (Services Provider) ก็จำเป็นที่จะต้องมีสายอยู่ดี ดังตัวอย่างของภาพด้านบนที่ใช้ส่งข้อมูลระหว่างฐาน และคิดว่าหลายคนคงเคยเจอกันที่ว่าบางครั้งสัญญาณเต็ม แต่อินเตอร์เน็ตกลับช้าเหมือนเต่า

     

    ดังนั้นก็จึงมาเกี่ยวเนื่องกับสายสัญญาณนั่นเอง โดยแบ่งออกเป็น LAN (UTP), Fiber Optic, CCTV (Coaxial) ตามลักษณะงานที่ใช้ (รวมถึงงบประมาณและอุปกรณ์ต่อพ่วง) และแน่นอนว่าคุณภาพของสายเองก็มีผลโดยตรงต่อคุณภาพการใช้งาน

     

    สำหรับตัวอย่างด้านบนเป็นภาพของสาย CAT5e เส้นเล็กที่เรารู้จักกัน เปรียบเทียบกับ CAT8 ที่จะมาเป็นหนึ่งในมาตรฐานของอนาคต ซึ่งจะใช้แบรนด์วิดท์ 2,000 MHz โอนถ่ายข้อมูลได้ความเร็วสูงสุด 25GBaste-T/40GBaste-T (Class I/Class II) แต่มีระยะทางสูงสุดเพียง 30 เมตร

     

    แต่ถ้าหากคุณมองว่า CAT8 มันเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป ลองมาดูกับสาย CAT6 ซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบันมากกว่า โดยมีจุดเด่นอยู่ตรงที่ Cross Filler และทำความเร็วได้สูงสุด 10 Gbps ที่ระยะทาง 55 เมตร หากใครต้องการวางระบบในบ้านหรือออฟฟิศแนะนำให้เริ่มต้นที่ตัวนี้เลยครับ ดีกว่าเริ่มต้นที่ CAT5e

     

    จากตารางด้านบนเมื่อเปรียบเทียบต้นทุนของ CAT5e กับ CAT6 แล้วจะพบว่ามีความแตกต่างกันแค่ 5% เท่านั้นเอง แลกกับมาตรฐานที่สูงกว่าและความเร็วที่มากกว่า ส่วนเรื่องสาย CAT8 ที่กำลังจะเป็นอนาคตคาดว่าจะเป็นที่นิยมในปี 2020 หรือช่วงเวลาเดียวกับ 5G ที่เคยได้กล่าวในตอนแรกนั่นเอง

     

    และไม่เพียงแต่สาย LAN สำหรับ Fiber Optic เองก็มาแรงไม่แพ้กันเนื่องจาก

     

    เล็กและมีน้ำหนักเบา

    เหมาะกับการใช้งานเป็น Back Bone สำหรับ Riser

    บรรจุข้อมูลได้จำนวนมหาศาล

    ไร้สัญญาณรบกวน

    ส่วนข้อเสียก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการบำรุงรักษาที่ยาก (กรณีขาดหรือแตกหัก) รวมทั้งมีความแข็งแรงต่ำกว่า และไม่สามารถโค้งงอได้เหมือนกับสายที่เป็นทองแดงทั่วไป โดยหากต้องการใช้งานในอาคารที่ต้องการการโค้งงอของสายมาก ก็สามารถใช้สาย Fiber Optic ชนิดที่ใช้ในอาคารได้ ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง

     

    FTTx หรือ FTTH (Fiber-to-the-home) เทคโนโลยีที่ว่ากันว่าจะมาฆ่า ADSL ในบ้านเรานั้น ตอนนี้ทาง TOT ก็เป็นลูกค้าหลักของ Interlink เช่นเดียวกัน และเทคโนโลยีนี้เป็นที่นิยมมากขึ้นด้วย Bandwidth ที่สูงในระดับหลายร้อย Mbps ทั้งในความเร็วในฝั่งดาวโหลดและฝั่งอัพโหลด และผู้ใช้งานตามบ้านหรือออฟฟิศยังสามารถใช้ประโยชน์ได้ผ่าน

     

    High Speed INTERNET Gbps

    IPTV

    IP Phone

    VDO Conference

    SMART Building/Home Solutions

     

    ซึ่งเราก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าผู้ให้บริการ จะสามารถทำค่าบริการให้ถูกจนจูงใจ หรือขยายพื้นที่ให้บริการจนสามารถฆ่าอินเตอร์เน็ตแบบสายทองแดงได้หรือไม่? เนื่องจากในอนาคตความต้องการใช้ปริมาณข้อมูล ย่อมสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวไม่ต่างจาก 3G > 4G > 5G นั่นเอง



    ข้อมูลจาก www.ireview.in.th

     

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 04:10:01 +0000
    <![CDATA[Skype ปล่อยฟีเจอร์ Meet Now ประชุมได้ทันทีไม่ต้องสมัครสมาชิกและติดตั้งแอปแข่งกับ Zoom]]> https://encom.co.th/blog/2004007-10/

     

    ในระหว่างที่ COVID-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลกได้มีมาตรการ Social Distancing ให้ทุกคนห่างกันซักพักคงจะดีเสียกว่าการแพร่ไวรัสไปสู่กันและกัน บริษัทและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ให้พนักงานทำงานอยู่ที่บ้านโดยจะประชุมวิดีโอทางไกลเมื่อต้องการปรึกษาหารือกัน ส่วนโรงเรียนก็มีนโยบายให้เรียนจากที่บ้านผ่านระบบห้องเรียนวิดีโอออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันเครื่องมือที่ตอบโจทย์และนิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลายนั่นก็คือ Zoom

    แล้วเหตุใดผู้ใช้จึงมองข้าม Skype แอปการสื่อสารด้วยวิดีโอแชต โทรด้วยเสียง ส่งข้อความและสนับสนุนการประชุมวิดีโอทางไกลจากค่าย Microsoft ซึ่งเป็นที่รู้จักและใช้งานกันมาตั้งแต่ไม่มีสมาร์ตโฟนด้วยซ้ำไป นั่นเพราะว่า Zoom สามารถให้คนเข้าร่วมประชุมและแบ่งปันซอฟต์แวร์ที่จำเป็นได้อย่างง่าย ง่ายเสียจนมีข้อกังวลเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ซึ่งเมื่อวานนี้ Zoom ก็ได้ปรับปรุงในบางส่วนและทุ่มเทแก้ไขอย่างจริงจัง

    ล่าสุด Skype แอปเก่าในตำนานก็ได้ฮึดสู้โดยการปล่อยฟีเจอร์ Meet Now ให้คุณสามารถประชุมได้ทันทีโดยผู้จัดการประชุมสามารถสร้างและแชร์การประชุมไปยังผู้ที่ต้องการให้เข้าร่วมได้ฟรีด้วยการคลิกใน 3 ขั้นตอนโดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งแอป Skype เพราะเปิดใช้งานผ่านเว็บได้เลย จากนั้นก็สร้างลิงก์ส่งคำเชิญไปยังผู้เข้าร่วมการประชุมผ่านอีเมล ผ่านแชตส่วนตัวหรือแชตกลุ่ม สุดท้ายผู้ถูกเชิญเข้าร่วมการประชุมสามารถคลิกที่ลิงก์แล้วเข้าร่วมประชุมผ่านแอป Skype ที่ติดตั้งไว้ในเครื่องหรือผ่านเบราว์เซอร์ Chrome หรือ Edge ก็ได้



    สร้างการประชุมวิดีโอทางไกลด้วย Skype ใน 3 ขั้นตอน

    สร้างการประชุมวิดีโอทางไกลด้วย Skype ใน 3 ขั้นตอน

    นอกจากนี้คุณยังสามารถบันทึกการสนทนาเพื่อเอาไว้ตรวจสอบในภายหลังซึ่งระบบจะจัดเก็บไว้ให้นานได้ถึง 30 วัน และมีการเบลอฉากหลังในระหว่างการเตรียมตัวหรือไม่ต้องการให้เห็นสภาพแวดล้อมที่คุณอยู่ในตอนนั้น รวมทั้งสามารถแชร์หน้าจอการพรีเซนต์ให้กับบุคคลอื่นที่ต้องการนำเสนองานได้อีกด้วย เมื่อ Skype ปรับปรุงเครื่องมือให้รองรับกับผู้ใช้งานได้ง่ายขนาดนี้ ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า Skype จะได้รับความนิยมอีกครั้งหรือไม่

    ที่มา : engadget

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 04:02:03 +0000
    <![CDATA[หัวเว่ย เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์จากขุมพลัง Cascade Lake Refresh Processors ใหม่ล่าสุดของค่ายอินเทล มอบศักยภาพการประมวลผลที่เหนือกว่า]]> https://encom.co.th/blog/2004007-9/ อินเทล (Intel) เปิดตัวหน่วยประมวลผล Cascade Lake Refresh Processor สมาชิกใหม่ล่าสุดในตระกูล Cascade Lake Processor ที่ถูกพัฒนามาให้มีประสิทธิภาพเหนือกว่าผลิตภัณฑ์รุ่นก่อน ๆ ถึง 36%

    เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับอินเทล หัวเว่ย (Huawei) จึงได้นำ Cascade Lake Refresh Processor ที่เปิดตัวออกมาล่าสุดนี้ มาใช้งานในเซิร์ฟเวอร์ซีรีส์ FusionServer Pro ตั้งแต่เดือนก.พ. ที่ผ่านมา หลังจากที่บริษัทได้ดำเนินการทดสอบการใช้งาน และเปิดตัวออกมาพร้อมผลิตภัณฑ์หลัก ๆ รวมถึงแร็คเซิร์ฟเวอร์ 1288H V5, 2288H V5, 2298 V5 และ 5288 V5 ตลอดจน High-Density Server X6000 V5 และ Blade Server E9000

    FusionServer Pro 1288H V5 และ 2288H V5 เป็นแร็คเซิร์ฟเวอร์สำหรับการใช้งานทั่วไปของหัวเว่ยที่มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพการใช้งานที่แข็งแกร่ง, สามารถปรับตั้งค่าได้อย่างยืดหยุ่น, ประหยัดพลังงาน และมีการบริหารจัดการที่อัจฉริยะ โดยที่ FusionServer Pro 2288H V5 นั้นเป็นแร็คเซิร์ฟเวอร์แบบ 2U 2-socket ที่สามารถใช้งานได้ในหลากหลายสถานการณ์ รวมถึง การใช้งานกับระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง, ระบบฐานข้อมูล และบิ๊กดาต้า มาพร้อมช่องเสียบหน่วยความจำ DDR4 DIMM 24 สล็อต และสล็อตขยาย PCIe 10 สล็อต อีกทั้งยังรองรับการใช้งานกับอุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบ 28 x NVMe SSDs, 20 x 3.5-inch drives หรือ 31 x 2.5-inch drives สำหรับการจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่อง นอกจากนี้ อุปกรณ์ดังกล่าวยังรวบรวมเทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะไว้ในตัวทั้งเทคโนโลยี Dynamic Energy Management Technology (DEMT) และ Fault Diagnosis & Management (FDM) ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) และเพิ่มผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ให้มากขึ้นด้วย

    FusionServer Pro 2298 V5 เป็นแร็คเซิร์ฟเวอร์แบบ 2U 2-socket ที่ใช้สถาปัตยกรรมหน่วยเก็บข้อมูลแบบไฮบริดสำหรับการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นลำดับขั้น รองรับการใช้งานกับอุปกรณ์เก็บข้อมูลทั้งในแบบ 24 x 3.5-inch drives และ 4 x NVMe SSDs เพื่อตอบสนองความต้องการ เช่น การเก็บข้อมูลทั้งที่เป็นข้อมูลประเภท hot data, warm data และ cold data หรือแม้แต่การเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ในอดีตเอาไว้ ด้วยการออกแบบที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ 2298 V5 มอบศักยภาพการประมวลผลขั้นสูงสุดด้วยความยืดหยุ่นในการปรับขยายและพื้นที่จัดเก็บที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการจัดเก็บข้อมูลให้ถูกลง

    ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระดับโลกของอินเทล หัวเว่ยยึดมั่นในแนวทางที่ถือลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และมีความแน่วแน่ที่จะเข้าไปช่วยสร้างความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลของลูกค้าทุกราย ซึ่งศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะถือเป็นหัวใจสำคัญของภารกิจนี้ หัวเว่ยจึงผนึกกำลังกับอินเทลเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันประสิทธิภาพสูงที่มีความปลอดภัย, ประหยัดพลังงาน และเชื่อถือได้

    เกี่ยวกับ หัวเว่ย

    หัวเว่ย เป็นผู้นำของโลกด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และอุปกรณ์อัจฉริยะ ด้วยโซลูชันครบวงจรที่ครอบคลุม 4 ขอบข่ายหลัก ได้แก่ เครือข่ายโทรคมนาคม ไอที อุปกรณ์อัจฉริยะ และบริการคลาวด์ เรามุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสู่ทุกคน ทุกบ้าน และทุกองค์กร เพื่อสร้างโลกอัจฉริยะที่มีการเชื่อมต่อถึงกันอย่างแท้จริง

    หัวเว่ย ให้บริการครบวงจรทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์ โซลูชัน และบริการ โดยมาพร้อมศักยภาพอันโดดเด่นและความปลอดภัย เราทำงานร่วมกันอย่างเปิดกว้างกับพันธมิตรในระบบนิเวศ เพื่อสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนสำหรับลูกค้า สร้างพลังให้กับผู้คน เพิ่มคุณค่าให้ชีวิตในบ้าน ตลอดจนสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมในองค์กรทุกขนาดและทุกรูปแบบ

    นวัตกรรมของหัวเว่ยมุ่งเน้นไปที่ความต้องการของลูกค้า เราลงทุนมหาศาลในการวิจัยพื้นฐาน และมุ่งมั่นกับการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่จะขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้า เรามีพนักงานกว่า 188,000 คน ณ สิ้นปี 2561 และดำเนินงานในกว่า 170 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก หัวเว่ยเป็นบริษัทเอกชนที่ก่อตั้งขึ้นในพ.ศ. 2530 และพนักงานทุกคนเป็นเจ้าของบริษัทร่วมกันอย่างแท้จริง ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวเว่ยได้ที่ www.huawei.com

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 04:01:03 +0000
    <![CDATA[ประกาศแล้ว! สตรีมฯ ได้รับการรับรองจากกรมสรรพากรให้เป็น “Service Provider” ให้บริการจัดทำ นำส่ง และเก็บรักษาเอกสารภาษีอิเล็กทรอนิกส์ครบวงจร พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ!]]> https://encom.co.th/blog/2004007-8/ เมื่อวันที่ (31 มีนาคม 2563) บริษัท สตรีม ไอ.ที. คอนซัลติ้ง จำกัด บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจและให้บริการด้านดิจิทัลซึ่งให้บริการมากว่า 20 ปี ได้รับการประกาศชื่อรับรองจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ให้เป็น “ผู้ให้บริการนำส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” หรือ “Service Provider” เสมือนเป็นตัวแทนรับข้อมูลเอกสารภาษี อาทิ ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) จากผู้ประกอบการ องค์กรต่างๆ แล้วส่งข้อมูลต่อให้กับกรมสรรพากร ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ลดความยุ่งยาก และเวลาในการบริหารจัดการ

    คุณพงษ์ศักดิ์ หนุนชู รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สตรีม ไอ.ที. คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวเกี่ยวกับบริการนี้ว่า “ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว สตรีมฯ มีแนวคิดในการลดปริมาณการใช้กระดาษในองค์กรลง เราจึงเริ่มจากแผนกบัญชีซึ่งมีกระดาษเอกสารอยู่มาก ในช่วงนั้นทางภาครัฐก็กำลังส่งเสริมให้จัดทำเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เราจึงจัดทำและนำส่งข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ของบริษัทเข้าระบบของกรมสรรพากรเป็นรายแรกในประเทศไทย และออกแบบพัฒนาระบบแพลตฟอร์มชื่อ “TaxOne” ให้ลูกค้าองค์กรที่ต้องการจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์

    คุณพงษ์ศักดิ์ ได้กล่าวต่อไปว่า “จากเดิมที่องค์กรธุรกิจจะต้องจัดเก็บเอกสารบัญชีเป็นกระดาษ เก็บเข้าแฟ้มเข้าตู้ เป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี ตามที่กรมสรรพากรกำหนด และเวลาที่ถูกเรียกตรวจ แผนกบัญชีก็จะรื้อค้นเอกสารมายืนยัน หากมาใช้ระบบ TaxOne แล้ว จะจัดเก็บและค้นหาได้ง่าย เพราะเอกสารอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และสตรีมฯ ยังมีบริการแบบ Software as a Service (SaaS) ที่ครบทุกขั้นตอน ตามมาตรฐานระเบียบกรมสรรพากร เรามีประสบการณ์ติดตั้งระบบให้กับธุรกิจทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดย่อมหลายแห่ง ให้เหมาะกับเอกสารทางบัญชีแต่ละแห่ง

    ทางสตรีมฯ ได้สุ่มสอบถามลูกค้าแผนกบัญชีแห่งหนึ่งที่ใช้บริการระบบ TaxOne ของเราอยู่ พบว่าปัญหาแรกเริ่มคือแผนกมีปริมาณการออกเอกสารใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีมากขึ้น ทำให้ต้องเสียเวลาในส่วนนี้มาก จึงมองหาระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่จะมาช่วยลดขั้นตอนการทำงาน หลังจากที่ใช้ TaxOne ทางแผนกลดค่าใช้จ่าย เช่น ค่ากระดาษ หมึกพิมพ์ ค่าจัดส่งไปรษณีย์ ในระดับที่พอใจ ที่สำคัญคือลดงานบัญชีในการเก็บเอกสารและพิมพ์เอกสารได้อย่างที่คาดหวัง

    นอกจากนี้ เราก็ได้พูดคุยกับผู้ประกอบการเจ้าของธุรกิจแห่งหนึ่ง ถึงการตัดสินใจเลือกให้สตรีมฯ เป็นผู้ดูแลด้านการจัดทำและจัดเก็บใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ เหตุผลคือ ในตลาดตอนนั้นยังมีผู้ให้บริการในจุดนี้อยู่ไม่กี่ราย จากที่ได้หาข้อมูลอย่างหนัก ทางบริษัทพบว่า ผู้ให้บริการที่ตอบสนองความต้องการและรู้จริง พร้อมทั้งมีองค์ประกอบทางด้าน IT พร้อมให้บริการนั้นมีเพียงสตรีมฯ เท่านั้น

    ล่าสุด สตรีมฯ ได้รับการคัดเลือกจากกรมสรรพากรให้เป็น Service Provider ผู้ให้บริการนำส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ขององค์กรธุรกิจเข้าสู่ระบบของกรมสรรพากรโดยตรง ไม่ว่าเอกสารจะมีมากเท่าไหร่ ทางสตรีมฯ ก็มีระบบที่เสถียรคอยรองรับ และทำให้บริการของเราครบวงจรมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ออกแบบ วางแผน ดำเนินการด้านระบบ และดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทีมงานของเราพร้อมบริการคุณ

    ที่สำคัญ ระบบ TaxOne มุ่งเน้นเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำ Digital Signature, Private Key, ระบบจัดเก็บข้อมูล ฯลฯ เราใช้เทคโนโลยีมาตรฐานระดับสากลและได้รับการรับรอง ISO9001:2015, ISO27001, PMO และ ITIL

    องค์กรที่สนใจทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ สามารถติดต่อขอคำปรึกษาเพื่อให้ระบบตรงกับความต้องการใช้งานตามประเภทเอกสาร และรับข้อเสนอสุดพิเศษ ที่ฝ่ายการตลาด บริษัท สตรีม ไอ.ที. คอนซัลติ้ง อีเมล [email protected] หรือโทร. 088-548-8945

    เกี่ยวกับบริษัท สตรีม ไอ.ที. คอนซัลติ้ง จำกัด

    สตรีมฯ ก่อตั้งมากว่า 20 ปี โดยกลุ่มที่ปรึกษาด้านไอที วันนี้เราเติบโตขึ้นด้วยทีมงานกว่า 280 คน เราขับเคลื่อนองค์กรด้วยวัฒนธรรมแบบ agile เพื่อแสดงศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ นำทัพโดยคนรุ่นใหม่ ขณะที่ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก เราจับมือกับคู่ค้าชั้นนำระดับโลกเพื่อนำเสนอซอฟต์แวร์โซลูชั่นทางด้านดิจิทัลที่หลากหลาย มีลักษณะเฉพาะสำหรับแต่ละธุรกิจ ทำให้สตรีมฯ มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านที่ปรึกษาธุรกิจแถวหน้าของประเทศไทย

    ติดตามเราได้ที่ Website: www.stream.co.th | Facebook: www.fb.com/streamitconsulting

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 03:59:25 +0000
    <![CDATA[Intel Core H-ซีรีส์ เจนเนอเรชั่น 10 เปิดตัวโมบายล์โปรเซสเซอร์ที่เร็วที่สุดในโลกที่ระดับ 5.3 GHz]]> https://encom.co.th/blog/2004007-7/ มีอะไรใหม่: วันนี้ Intel พร้อมประกาศเปิดตัวโมบายล์โปรเซสเซอร์ Intel® Core™ H-ซีรีส์ เจนเนอเรชั่น 10 สำหรับการใช้งานในแล็ปท็อปด้วยความแรงทะลุกว่า 5GHz โดยโปรเซสเซอร์ H-ซีรีส์นี้มีประสิทธิภาพระดับเด็สก์ท็อป เหมาะสำหรับการเล่นเกมและการสร้างคอนเทนต์โดยเฉพาะ ทั้งนี้จะมี Intel Core เจนเนอเรชั่น 10 รุ่น i9-10980HK เป็นรุ่นไฮไลต์ของซีรีส์นี้

    คำแถลงจากผู้บริหาร: “การเปิดตัวโมบายล์แพลตฟอร์ม Intel Core™ H-ซีรีส์ เจนเนอเรชั่น 10 ในวันนี้ ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดเกมของ Intel ซึ่งโปรเซสเซอร์นี้จะช่วยเสริมประสิทธิภาพระดับเด็สก์ท็อปให้กับฟอร์มแฟคเตอร์แบบโมบายล์ ด้วยแล็ปท็อปดีไซน์อีกกว่า 100 แบบที่จะเปิดตัวในปีนี้ รวมถึงพีซีแบบบางและเบาให้เลือกมากกว่า 30 แบรนด์ แพลตฟอร์มใหม่นี้เหมาะสำหรับบรรดาผู้ที่ชื่นชอบเกมและนักสร้างสรรค์ตัวยง แพลตฟอร์มใหม่นี้มอบความถี่ที่เร็วที่สุดในตลาดด้วย 5GHz เหนือกว่าผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ ซึ่งมอบประสบการณ์การเล่นเกมอันน่าทึ่งและการสร้างสรรค์งานได้อย่างเต็มที่” – นายเฟรดริก แฮมเบอร์เกอร์ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มแล็ปท็อประดับพรีเมียมและแล็ปท็อปสำหรับเล่นเกม บริษัท Intel กล่าว

    ทำไมจึงมีความสำคัญ: บรรดาเกมเมอร์กำลังเปลี่ยนไปใช้ระบบโมบายล์กันมากขึ้น และเริ่มสนใจการเล่นเกมที่สามารถเล่นได้ทุกที่ทุกเวลาที่พวกเขาต้องการแม้ขณะเดินทาง โดยที่ยังคงประสิทธิภาพไว้ตามเดิม ซึ่งความเร็วนั้นถือเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่สำคัญที่สุดสามอันดับแรกของหน่วยประมวลผล โปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 10 สำหรับแล็ปท็อปให้ประสิทธิภาพที่รวดเร็วขึ้น ประมวลผลด้วยความเร็วกว่า 5.3 GHz เทอร์โบ 8 คอร์ และ 16 เธรด ช่วยให้ดื่มด่ำไปกับประสบการณ์การเล่นเกมพร้อมการตอบสนองอันน่ามหัศจรรย์ ประสิทธิภาพในการเล่นเกมที่คงเส้นคงวา เกมและแอปพลิเคชันยังคงต้องอาศัยคอร์ที่มีความถี่สูง จึงทำให้ Intel กระตุ้นคลื่นความถี่ (Frequency Envelope) เพื่อให้ได้มาซึ่งประสบการณ์การเล่นเกมบนแล็ปท็อปที่ดีที่สุด

    เพิ่มเติมเกี่ยวกับโมบายล์โปรเซสเซอร์ที่เร็วที่สุด : Intel® Core™ i9-10980HK เจนเนอเรชั่น 10 ถือเป็นโปรเซสเซอร์รุ่นท็อป ที่มอบประสิทธิภาพการทำงานที่ไม่มีใครเทียบได้ โดยให้ความเร็วสูงสุดที่ 5.3 GHz เทอร์โบ 8 คอร์ 16 เธรด และ Intel® Smart Cache แคชภายในซีพียูช่วยเก็บชุดคำสั่งต่างๆ ได้ถึง 16 MB โปรเซสเซอร์ Intel® Core™ i9-10980HK เจนเนอเรชั่น 10 แบบปลดล็อคนี้ช่วยเพิ่มขุมพลังการทำงานให้กับแล็ปท็อปสำหรับการเล่นเกมและการสร้างคอนเทนต์ นอกจากนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยน ปรับแต่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพซีพียูให้ได้ตามความเหมาะสมเองอีกด้วย

    ประสิทธิภาพของรุ่น i9-10980HK เมื่อเทียบกับโปรเซสเซอร์เก่าที่มีอายุสามปี:

    • อัตราเฟรมต่อวินาทีในการเล่นเกมเพิ่มขึ้นสูงสุด 54% เพื่อความสามารถในการเล่นเกมชื่อดังต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

    • ประสิทธิภาพโดยรวมที่ดีขึ้นสูงสุด 44% เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รู้สึกถึงประสิทธิผลที่เร็วขึ้นและตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น

    • เรนเดอร์ และเอ็กซ์พอร์ต วิดีโอระดับ 4K ได้เร็วขึ้นสูงสุด 2 เท่า สามารถสร้างสรรค์และแชร์งานได้รวดเร็วและง่ายขึ้น

    โปรเซสเซอร์ Intel Core i7-10750H มาพร้อมความเร็วสูงสุด 5.0GHzError! Bookmark not defined. เทอร์โบ ที่ตอบโจทย์เกมเมอร์และนักสร้างคอนเทนต์ตัวยงที่ต้องการประสิทธิภาพในระดับที่ดีที่สุด ประสิทธิภาพของรุ่น i7-10750H เมื่อเทียบกับโปรเซสเซอร์เก่าที่มีอายุสามปี:

    • อัตราเฟรมต่อวินาทีในการเล่นเกมเพิ่มขึ้นสูงสุด 44%

    • ประสิทธิภาพโดยรวมที่ดีขึ้นสูงสุด 33%

    • เอ็กซ์พอร์ตวิดีโอระดับ 4K ได้เร็วขึ้นสูงสุด 70%

    นอกจากนี้ ในการเปิดตัวเจนเนอเรชั่น 10 ยังรวมถึงโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ i7-10875H รุ่นใหม่ที่มีความเร็วสูงสุด 5.1GHz เทอร์โบ 8 คอร์ และ 16 เธรด เหมาะสำหรับกลุ่มนักสร้างเนื้อหาที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เกมเมอร์ ผู้รักในการเล่นเกมและสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ  รวมถึงผู้ที่ต้องการใช้งานแบบมัลติทาสก์อีกด้วย

    โปรเซสเซอร์นี้จะพาคุณไปพบกับประสบการณ์การเล่นเกมอันเยี่ยมยอดได้อย่างไร: ในความร่วมมือการผลิตร่วมกับแบรนด์พีซีชั้นนำ Intel มีพีซีแบบบางและเบามีความหนาไม่เกิน 20 มม. ให้เลือกมากกว่า 30 แบรนด์ และดีไซน์อีก 100 แบบ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของผู้บริโภคทั่วไป เชิงพาณิชย์ และเวิร์คสเตชันที่จะมีการเปิดตัวในปีนี้ นอกจากนี้ Intel ยังสร้างสรรค์แล็ปท็อปที่เหมาะสมที่สุดโดยร่วมมือกับแบรนด์พีซีต่าง ๆ เพื่อช่วยพัฒนาด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย อันประกอบไปด้วย:

    • Integrated Intel® Wi-Fi 6 AX201 (Gig+) รองรับการดาวน์โหลด ที่เร็วขึ้นเกือบ 3 เท่า เพื่อประสิทธิภาพระบบไร้สายความเร็วสูง แต่ค่า Latency ระดับต่ำ

    • Intel® Turbo Boost Max Technology 3.0

    • Intel® Adaptix™ Dynamic Tuning Technology และ Intel® Extreme Tuning Utility สำหรับการปรับค่าประสิทธิภาพอันชาญฉลาด

    • Intel® Speed Optimizer เพียงคลิกเดียวก็โอเวอร์คล็อกได้1

    • Thunderbolt™ 3 รองรับด้วยแบนด์วิธที่มากถึง 4 เท่ากว่า USB 3.1 เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนมีเดียคอนเทนต์ที่มีความจุแน่น และเชื่อมต่อกับจอภาพที่มีความละเอียด 4K ทั้งสองได้อย่างง่ายดาย

    • Intel® Optane™ memory ช่วยในการเร่งการเปิดและโหลดเกมให้เร็วขึ้น

    ตาราง SKU สำหรับ โมบายล์โปรเซสเซอร์ Intel® Core™ H-ซีรี่ส์ เจนเนอเรชั่น 10


    เนื้อหาเพิ่มเติม:

    โปรเซสเซอร์ Intel® Core™ H-ซีรี่ส์ เจนเนอเรชั่น 10

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 03:45:38 +0000
    <![CDATA[IBM FlashSystem: เร็ว แร็ง เข้ารหัสข้อมูลได้อย่างง่ายดาย เริ่มต้นใช้ได้ในราคาหลักแสนบาท]]> https://encom.co.th/blog/2004007-6/

    สำหรับธุรกิจองค์กรในทุกวันนี้ การเลือกใช้งาน Storage นั้นนอกจากการเลือกใช้ All Flash Storage ที่มีประสิทธิภาพสูงแล้ว การมองหาความสามารถในการทำ Data Encryption นั้นก็เริ่มได้รับความสำคัญมากขึ้นจากความต้องการในการปกป้องข้อมูลให้มีความมั่นคงปลอดภัยสูงสุด ให้ตอบรับต่อข้อกฎหมายและการปกป้องข้อมูลสำคัญทางธุรกิจและข้อมูลของลูกค้า IBM FlashSystem คือหนึ่งใน All Flash Storage สำหรับองค์กรที่สามารถตอบโจทย์นี้ได้อย่างครบถ้วน และบทความนี้เราจะพาไปรู้จักกับจุดเด่นของ IBM FlashSystem พร้อมโปรโมชันราคาดีๆ จากทาง Metro Connect กันครับ

    6 จุดเด่นของ IBM FlashSystem


    Credit: IBM

    หากพูดถึง All Flash Storage แล้วหนึ่งในชื่อที่หลายคนคงต้องนึกถึงนั้นก็คงหนีไม่พ้น IBM FlashSystem ที่นอกจากจะเป็นเจ้าแรกๆ ที่ทำการเปิดตัวในตลาดแล้ว IBM FlashSystem ก็ยังเป็นหนึ่งใน All Flash Storage ที่มีราคาเอื้อมถึงได้สำหรับธุรกิจองค์กร พร้อมความสามารถโดดเด่นที่น่าสนใจดังนี้

    1. Data Availability

    IBM FlashSystem นี้นอกจากจะออกแบบให้มีความมั่นคงทนทานสูงถึงระดับ 99.9999% ภายในตัวพร้อมความสามารถในการถอดเปลี่ยน Hardware ได้แบบ Hot-Swap แล้ว ก็ยังมีความสามารถในการสำรองข้อมูลร่วมกันได้ถึง 3 สาขาพร้อมๆ กันเพื่อตอบรับความต้องการด้านการทำ Disaster Recovery และ Remote Backup ได้ อีกทั้งยังมีการออกแบบความสามารถสำหรับรับมือกับ Ransomware โดยเฉพาะอย่าง Airgap Snapshot ที่จะช่วยให้ถึงแม้ข้อมูลหลักบนระบบจะถูกเข้ารหัสโจมตีโดย Ransomware แต่ข้อมูลสำรองจากการทำ Snapshot เอาไว้นั้นจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ และกู้คืนข้อมูลกลับมาได้ในที่สุด

    2. Integration & Automation

    IBM FlashSystem นี้สามารถทำ Automation ผ่าน API เพื่อทำงานร่วมกับระบบอื่นๆ ได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็น Virtualization, Container หรือ Hybrid Cloud ทำให้สามารถเป็นระบบ Storage เอนกประสงค์ที่รองรับทุก Workload ของธุรกิจองค์กรได้เป็นอย่างดี ทั้งจากประสิทธิภาพที่สูง และความสามารถในการเชื่อมต่อทำงานร่วมกับระบบอื่นๆ ได้หลากหลาย

    3. Data Encryption

    ในอดีตนั้นการเข้ารหัสข้อมูลนั้นเคยเป็นงานที่ยากและมีความซับซ้อนสูง แต่สำหรับ IBM FlashSystem นี้การเข้ารหัสข้อมูลสามารถทำได้ผ่านหน้าจอบริหารจัดการแบบ GUI ทำให้ง่ายกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไม่ต้องอาศัยโซลูชันจากผู้ผลิตรายอื่นเพื่อทำการเข้ารหัสข้อมูลอีกด้วย

    4. AIOps

    ในการบริหารจัดการ IBM FlashSystem นี้ ทาง IBM ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี Storage Insight ซึ่งเป็นระบบ AI สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งาน IBM FlashSystem ในเชิงลึก สำหรับทำการตรวจสอบและทำนายปัญหาต่างๆ ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นล่วงหน้า พร้อมแนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาหรือปรับแต่งระบบให้ทำงานได้อย่างเหมาะสมที่สุดกับ Workload ของระบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน

    5. Software-Defined Storage

    ความสามารถหนึ่งที่ทำให้ IBM FlashSystem มีความโดดเด่นสูงกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ก็คือการนำความสามารถของ IBM Spectrum Virtualize ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการ Storage แบบรวมศูนย์และช่วย Integrate ระบบ Storage ทั้งของ IBM และผู้ผลิตรายอื่นๆ ให้สามารถทำงานร่วมกันได้ ทำให้การจัดการข้อมูล, การย้ายข้อมูล, การเริ่มต้นใช้ Cloud และการบริหารจัดการระบบ Storage ทั่วไปนั้นสามารถทำได้อย่างง่ายดาย ผู้ดูแลระบบไม่ต้องวุ่นวายกับหน้าจอบริหารจัดการที่หลากหลายอีกต่อไป

    6. Data Deduction

    สุดท้ายคือความสามารถในการลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลด้วยเทคนิคที่หลากหลาย ทั้งการทำ Inline Compression, การทำ Deduplication และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อประหยัดพื้นที่ของ IBM FlashSystem ลง อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งาน Flash Media ภายในระบบด้วยการลดปริมาณข้อมูลที่ต้องมีการเขียนลงนั่นเอง ทั้งนี้ IBM เองก็ยังมีโครงการด้านการรับประกันการลดพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่าระบบ IBM FlashSystem ที่ใช้งานอยู่นั้นจะมีความจุเพียงพอกับที่ต้องการ

     

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 03:44:45 +0000
    <![CDATA[Array Networks เปิดให้ใช้งาน Virtual Secure Access Gateway ฟรี 30 วัน]]> https://encom.co.th/blog/2004007-5/  

    Array Networks ผู้ผลิตและพัฒนาโซลูชัน Secure Access Gateway สำหรับตอบโจทย์การเชื่อมต่อ, เข้ารหัส และทำงานจากระยะไกล เปิดให้ผู้สนใจสามารถใช้งาน Virtual Secure Access Gateway (vxAG) และ DesktopDirect ฟรีพร้อมสิทธิ์การใช้งาน 30 วัน ช่วยให้องค์กรสามารถ Setup ระบบ VPN เพื่อรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างทันท่วงที


    ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ในขณะนี้ ทำให้หลายๆองค์กรเริ่มออกมาตรการ Work from home สำหรับพนักงานเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของไวรัส ซึ่งในการ Work from home นั้น แต่ละองค์กรเองจำเป็นจะต้องมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลภายในองค์กร ทำให้โซลูชั่น VPN เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องติดตั้งและพร้อมใช้งานให้เร็วที่สุดเพื่ออำนวยความสะดวกในแก่พนักงานรวมถึงการตอบโจทย์ทางด้านความปลอดภัยในเวลาเดียวกัน

    จุดเด่นของ Virtual Secure Access Gateway (vxAG) มีดังนี้

    • สามารถใช้งานแบบ Web Access (Clientless) เพื่อเข้าถึง Web Application หรือ File Sharing ขององค์กรได้

    • มี On-Demand Client สำหรับทำ VPN จาก Windows และ MacOS

    • มี Mobile Application สำหรับทำ VPN จาก iOS และ Android

    • สามารถติดตั้งลงบน Hypervisor เช่น VMware, XenServer, KVM และ OpenXen ได้

    • สำหรับสิทธิ์การใช้งานฟรีจะสามารถรองรับผู้ใช้งานสูงสุด 100 คน

    • สามารถเชื่อมต่อ Directory Services ได้หลากหลาย เช่น Microsoft Active Directory, LDAP, RADIUS หรือ Local Database

    • รองรับการทำ Multi-factor Authentication

    สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่น Secure Access Gateway ของ Array Networks ได้ ที่นี่

    ส่วนโซลูชัน DesktopDirect จะมาช่วยตอบโจทย์ในกรณีที่องค์กรไม่สามารถให้พนักงานนำอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ขององค์กรกลับไปทำงานที่บ้าน รวมถึงไม่ต้องการให้ข้อมูลการทำงานขององค์กรรั่วไหลออกไปยังอุปกรณ์ส่วนตัวของพนักงาน โดย DesktopDirect จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเข้าถึงอุปกรณ์ที่อยู่ในองค์กรอย่างปลอดภัย ผ่านทาง Remote Desktop Service พร้อมเข้ารหัส RDP session ทำให้ผู้ใช้งานสามารถ Remote Access เข้าไปใช้งานอุปกรณ์ PC ของตนเองที่ตั้งอยู่ในองค์กรได้อย่างปลอดภัยเสมือนกับว่าได้ทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

    ผู้ที่สนใจใช้งาน Virtual Secure Access Gateway และ DesktopDirect สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำจากทีมงาน Throughwave Thailand ตัวแทนจำหน่ายของ Array Networks ในประเทศไทยได้ทันทีที่ 02-2100969 หรือ [email protected]

    เกี่ยวกับ Throughwave Thailand

    Throughwave Thailand เป็นตัวแทนจำหน่าย (Distributor) สำหรับผลิตภัณฑ์ Enterprise IT ครบวงจรทั้ง Server, Storage, Network และ Security พร้อมโซลูชัน VMware และ Microsoft ที่มีลูกค้าเป็นองค์กรชั้นนำระดับหลายหมื่นผู้ใช้งานมากมาย โดยทีมงาน Throughwave Thailand ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าจากทีมงาน Engineer มากประสบการณ์ ที่คอยสนับสนุนการใช้งานของลูกค้าตลอด 24×7 ร่วมกับ Partner ต่างๆ ทั่วประเทศไทย https://www.throughwave.co.th

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 03:43:23 +0000
    <![CDATA[Facebook ปล่อย Messenger เวอร์ชัน Desktop แล้ว]]> https://encom.co.th/blog/2004007-4/ Facebook ได้ประกาศออก Messenger เวอร์ชัน Desktop ซึ่งรองรับได้บน macOS และ Windows แล้ว


    credit : Facebook

    จริงๆ แล้ว Facebook เองก็เตรียมพร้อมที่จะออกแอปข้อความของตัวเองบน Desktop มาระยะใหญ่แล้ว ซึ่งถ้าดูจากสถิติพบว่ามีการใช้งาน Messenger บนคอมพิวเตอร์โตขึ้นกว่า 100% แต่อย่างที่เรารู้คือจะต้องเปิด Tab ดูเพิ่มบนบราวน์เซอร์

    โดย Facebook ชี้ว่าการมีแอปบน Desktop จะทำให้ประสบการณ์การใช้งานดีขึ้น หน้าจอใหญ่ขึ้น มีการ Pop-up แชทเตือนขึ้นมาได้ง่ายระหว่างที่ทำงานอยู่อื่นแต่ผู้ใช้งานก็สามารถควบคุมลักษณะการเตือนได้ พร้อม Dark mode และ GiF เหมือนเดิม อย่างไรก็ตามการปรากฏขึ้นของ Messenger Desktop อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่มีการต่อยอดการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ในอนาคตของ Facebook Messenger เท่านั้น..

    ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ที่ Microsoft Store และ App Store

    ที่มา  https://techcrunch.com/2020/04/02/facebook-messenger-desktop-app-2/ และ  https://about.fb.com/news/2020/04/messenger-desktop-app/

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 03:42:12 +0000
    <![CDATA[IBM Cloud Bare Metal เลือกใช้ 2nd Gen AMD EPYC เป็นขุมพลังการประมวลผล]]> https://encom.co.th/blog/2004007-3/ ขุมพลัง 2nd Gen AMD EPYC รุ่นใหม่ล่าสุดได้ถูกนำไปใช้ใน IBM Cloud Bare metal แล้ว เพื่อตอบโจทย์การทำงานด้าน Data Analytics, Electronic Design Automation, AI, Virtualize และ Container Workload เป็นต้น


    Credit: AMD

    2nd Gen AMD EPYC รุ่นล่าสุดที่ถูกนำไปใช้ในการให้บริการคลาวด์ของ IBM คือ AMD EPYC 7642 ซึ่งเครื่อง Bare Metal จะใช้เป็น Dual Socket CPU โดยให้ประสิทธิภาพดังนี้

    • 96 Core ใน 1 เครื่อง

    • Clock Speed ที่ 2.3 GHz และเร่งได้สูงสุดที่ 3.3 GHz

    • รองรับแรมได้สูงสุด 4TB

    • รองรับแรมได้ถึง 8 ช่องต่อ Socket

    • ใส่ไดร์ฟได้สูงสุด 24 ลูก

    • จ่ายรายเดือน

    • เปิดใช้งานได้ผ่าน IBM Cloud Catalogue, API หรือ CLI

    ปัจจุบันบริการ IBM Cloud Bare Metal พร้อมให้บริการกับ Region ใน North America, Europe และ Asia Pacific ผู้สนใจสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ IBM Bare Metal Server

    ที่มา :  https://ir.amd.com/news-releases/news-release-details/2nd-gen-amd-epyctm-processors-power-new-ibm-cloud-bare-metal

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 03:40:45 +0000
    <![CDATA[Google Cloud เปิดบริการ Managed Memcached Service]]> https://encom.co.th/blog/2004007-2/ Google Cloud ได้เปิดตัวบริการ Memorystore for Memcached ให้ลองทดสอบกันได้แล้ว

    credit : https://memcached.org/

    Memorystore เป็นบริการจาก Google ที่จะช่วยผู้ใช้งานบริหารจัดการ in-memory data store หรือการจัดเก็บข้อมูลบนหน่วยความจำ ซึ่งก่อนหน้านี้ Memorystore ได้รองรับ Redis ที่เป็น Data Structure Store แบบโอเพ่นซอร์สจาก BSD ได้ (สามารถใช้เป็น Database, Cache หรือ Message Broker) 

    ล่าสุด Memorystore จาก Google ก็สามารถรองรับ Memcached หรือเครื่องมือนักพัฒนามักใช้เพื่อขยายขนาด Cache ให้รองรับโหลดของเว็บได้มากขึ้นสูงสุดถึง 5 TB สามารถติดตามได้จากรูปด้านบน ดังนั้นหมายความว่านักพัฒนาที่ใช้ Memcached อยู่แล้วสามารถย้ายมาบน Google ได้เลย โดย Google จะคอยติดตามและแพตช์การใช้งานให้รวมถึงเปิด Metric ให้นักพัฒนาสามารถ Customize การใช้งานได้ ปัจจุบัน Memorystore for Memcached จะสามารถรองรับแอปใน Compute Engine, GKE, App Engine Flex, App Engine Standard และ Cloud Function ได้แล้ว

    ที่มา :   https://techcrunch.com/2020/04/02/google-cloud-launches-a-managed-memcached-service/

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 03:29:31 +0000
    <![CDATA[ออฟฟิศอัจฉริยะ ด้วย Aruba Solutions]]> https://encom.co.th/blog/2004007-1/ จากการทำงานร่วมกันระหว่าง Aruba Networking และ Location Technologies สร้างความทันสมัยให้กับออฟฟิศคุณ รวมถึงการออกแบบที่ตรงใจ และการใช้งานได้จริง ด้วย Aruba Solutions เราสร้างออฟฟิศให้เป็น Digital Modern Workplace โดยแท้จริง

    #ITGreen #ไอทีกรีน #HPE #Aruba #HPEAruba #ArubaNetwork #ArubaTH #NetworkManagement #ออฟฟิศอัจฉริยะ


    Website : www.aruba-thai-partner.com

    ]]>
    Tue, 07 Apr 2020 03:10:30 +0000
    <![CDATA[สังเกตสักนิด จะได้ไม่หงุดหงิดกับสายสัญญาณปลอม]]> https://encom.co.th/blog/CA2003003-04/ เอาเข้าจริงสายสัญญาณปลอม เราเชื่อว่าไม่น่าจะมีหรอก ยกเว้นก็แต่สายสัญญาณที่ไม่มีคุณภาพ แบบนั้นน่ะ มีแน่ๆ 

    บทความนี้ LINK อยากจะขอแนะนำ ข้อสังเกตง่ายๆ เกี่ยวกับสินค้าสายสัญญาณแบรนด์ LINK เอาไว้ให้ตรวจสอบกัน เพื่อเลือกซื้อครั้งต่อไปจะได้มั่นใจ ไม่ต้องกลัวของปลอม 

     

    - เริ่มด้วยกล่องบรรจุภัณฑ์ สังเกตง่ายๆ ด้วยเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบจาก UL (Underwriter Laboratories Inc.) องค์กรจากประเทศสหรัฐอเมริกา (ก่อตั้งปี ค.ศ. 1894) ที่ดำเนินการให้การรับรองผลิตภัณฑ์ ทดสอบผลิตภัณฑ์ และจัดทำมาตรฐานด้านความปลอดภัย ประเมินผลิตภัณฑ์ ชิ้นส่วน อุปกรณ์ และระบบ โดยมีมาตรฐานรองรับไม่น้อยกว่า 1,200 มาตรฐาน เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบเฉพาะตามข้อกำหนดสากล

     

    - เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบจาก Intertek องค์กรที่ให้บริการทั้งการตรวจประเมินและรับรองระบบ ISO โดยหน่วยรับรองระดับโลก เพื่อสร้างความมั่นใจในระบบการจัดการที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

     

    - เครื่องหมายสินค้า "American Standard" สินค้ามาตรฐานอเมริกา

     

    - เครื่องหมายรับรองมาตรฐานสิ่งแวดล้อม RoHs ที่ซื้อขายในสหภาพยุโรป ว่าด้วยเรื่องการใช้สารที่เป็นอันตรายในผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 

     

    - ระบุความยาวของสายสัญญาณชัดเจน ทั้ง 1,000 ฟุต (305 เมตร) หรือ 100 เมตร (Easy Box)

     

    - “Product Warranty 30 years” รับประกันคุณภาพสินค้า 30 ปี และสติ๊กเกอร์ระบุ Description Part number

     

    - ตรวจเช็ค Marking ของสาย โดยจะระบุ Brand, Description Part number, มาตรฐาน, วันที่ผลิตพร้อมระยะสาย เช่น LINK ULTRA CAT6 CABLE P/N US-9106 ---E197771-162 23AWG 4PR 75ºC CMR (UL) --- VERIFIED ETL TIA-568-C.2 RoHS COMPLIANT 0918 0742FT

     

    - Conductor หรือตัวนำสายสัญญาณต้องเป็นทองแดงแท้ครบทั้ง 8 เส้น (4 คู่) ซึ่งของปลอมมักจะใช้เศษโลหะเคลือบทองแดงหรือทองแดงรีไซเคิล

     

    - Insulation หรือฉนวนหุ้มทองแดงต้องทำโค้ดสีตามมาตรฐานสากล

     

    * บางผลิตภัณฑ์อาจมีเครื่องหมายมาตรฐานหรือสถาบันรับรองอื่นๆ เพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับรุ่นของผลิตภัณฑ์

     

     

    ]]>
    Mon, 23 Mar 2020 03:08:33 +0000
    <![CDATA[NEW CAT 6A ดาวน์โหลดปื๊ดป๊าด อัพโหลดมันส์กระจาย]]> https://encom.co.th/blog/CA2003003-03/ หากใครได้ติดตามข่าวสารไอที ก็น่าจะพอทราบข่าวคราวการมาถึงของ Wi-fi 6 หรือ IEEE 802.11ax  ในปีนี้ซึ่งสามารถรับ-ส่งข้อมูลที่ความเร็วสูงสุดได้ถึง 10Gbps กันเลยทีเดียว อีกทั้งอุปกรณ์ไอทีที่ทยอยเปิดตัวในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ โน๊ตบุ๊ค เราเตอร์ หรือแม้กระทั้ง Access Point ก็รองรับ Wi-fi 6 กันแล้วด้วย เรียกได้ว่าหากเราซื้ออุปกรณ์ไอทีใหม่ๆ มาใช้งาน ก็จะสามารถดาวน์โหลด อัพโหลดกันได้มันส์กระจาย 

     

         เห็นได้ว่า ณ ปัจจุบันอุปกรณ์ต่างๆ ได้ก้าวมาถึงระดับความเร็ว 10Gbps แล้ว ดังนั้นสายสัญญาณที่เปรียบเสมือนถนนเชื่อมโยงข้อมูลมายังอุปกรณ์เหล่านั้น ก็ต้องรองรับความเร็วในระดับ 10Gbps ได้เช่นกัน ในอนาคตอันใกล้นี้จึงถึงเวลาของการเลือกใช้สายแลนระดับ CAT 6A กันแล้ว โดยเมื่อก่อนคนมักมองว่าการเลือกใช้สายระดับ CAT 6A เป็นสายที่ราคาค่อนข้างสูง และสเป็คเกินความต้องการ เหมาะสำหรับงานในห้อง Server หรือ Data Center เท่านั้น ส่วนสายระดับผู้ใช้งานทั่วไป ก็เลือกใช้ประเภท CAT 6 หรือ CAT 5E ก็เพียงพอ ซึ่งนั่นก็ถูกต้อง เพียงแต่ปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาไปไวมากตามการใช้งานของผู้บริโภค ที่มีความต้องการใช้ความเร็วสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังจะเห็นได้ว่าอุปกรณ์ระดับผู้ใช้งานทั่วไปที่ยกมาข้างต้นนั้น ได้ถูกออกแบบมารองรับความเร็ว 10Gbps กันแล้ว

     

         ดังนั้นในความเป็นจริงแล้ว การออกแบบดีไซน์อาคารสำนักงาน โรงแรม หรือแม้แต่บ้านพักอาศัยในปัจจุบันนี้ ควรเริ่มแนะนำให้ใช้สาย CAT 6A กันได้แล้ว แม้เราจะมองว่า ณ ปัจจุบันการใช้งานของเราไม่ถึงระดับ 10 Gbps แต่อย่าลืมว่าเมื่อติดตั้งสายพวกนี้ไปแล้ว เราไม่ได้ใช้งานกันแค่ 2–3 ปี แต่เราจะอยู่กับมันไปอีกถึง 10-20 ปี ดังนั้นตัวสายควรสามารถรองรับความเร็วในอนาคตได้ ซึ่ง CAT 6 และ CAT 5E ในปัจจุบันคงไม่เพียงพอแล้ว นอกเหนือจากนี้ราคาของสาย ก็ลดลงมามาก เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าถึงได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

     

    ]]>
    Mon, 23 Mar 2020 03:06:23 +0000
    <![CDATA[สายสัญญาณที่มีคุณภาพและผ่านมาตรฐาน ต้องดูอะไรบ้าง]]> https://encom.co.th/blog/CA2003003-02/      การเลือกซื้อสายสัญญาณเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับผู้ใช้งาน (end user) เพราะสายสัญญาณเป็นสิ่งที่จะต้องอยู่กับสำนักงานและอาคารถึง 10-20 ปี เป็นอย่างน้อย ดังนั้นหากเราเลือกสายสัญญาณที่ไม่ได้คุณภาพมาใช้งาน ก็จะส่งผลกระทบในอนาคต เช่น ไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ, ติดตั้งได้ระยะทางที่สั้นกว่ามาตรฐาน, ไม่รองรับ PoE, ทดสอบไม่ผ่าน ส่งงานไม่ได้  เป็นต้น

     

         ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักจะมาทราบตอนที่เราได้ติดตั้งผ่านไปแล้ว หรือหลังจากใช้งานผ่านไป 1-2 ปี ทำให้ต้องมาแก้ไขปัญหาโดยการรื้อสายเก่าออกแล้วติดตั้งสายใหม่ ซึ่งการทำแบบนี้ยิ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว

     

    ดังนั้นวันนี้เรามาดูกันค่ะ ว่าการเลือกซื้อสายสัญญาณควรจะดูอะไรเป็นสิ่งสำคัญ ก่อนการตัดสินใจซื้อและนำไปใช้งาน

     

    1.สายสัญญาณต้องผ่านการรับรองจากสถาบัน Underwriters' Laboratories Inc. หรือ UL ทั้งด้านความปลอดภัยและด้านประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล ANSI/TIA-568 และ ISO/IEC11801 ซึ่งแน่นอนว่าสายสัญญาณของ LINK ผ่านการรับรองทั้ง 2 ด้าน











    2. สายสัญญาณต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน INTERTEK ETL และ 3P Testing ตามมาตรฐานสากล ANSI/TIA-568 และ ISO/IEC11801  ซึ่งก็อีกเช่นกันว่า LINK ผ่านการรับรองทั้ง 2 สถาบัน

     

    *Multinational Inspection Product testing and certification COMPANY : (INTERTEK)

     

    *Third Party Testing Laboratory EUROPE : (3P Testing)

     

         เมื่อเราพิจารณาตามมาตรฐานและหนังสือรับรองดังกล่าวนี้แล้ว สิ่งที่เราต้องพิจารณาอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่ต่างกัน คือ การให้บริการหลังการขาย โดยต้องมีตัวแทนจำหน่ายในประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ และมีทีม Engineer Support เพื่อให้การสนับสนุนและให้คำปรึกษาด้านเทคนิค, ด้านการออกแบบ, การติดตั้งและการทดสอบ ที่ถูกต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล เรียกได้ว่าคอยให้การสนับสนุนตั้งแต่ก่อนการซื้อขายจนถึงกระบวนการส่งมอบงานกันเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ บริษัทฯ ยึดถือและให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกเลยทีเดียว

     

         สุดท้าย สินค้าสายสัญญาณต้องมีการรับประกันจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณภาพที่ดีจริง โดยผลิตภัณฑ์ LINK มีการรับประกันถึง 30 ปี เพื่อให้ผู้ใช้งานมั่นใจในประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์และการเชื่อมต่อ ที่จะรองรับ Application  ในอนาคตอีกด้วย

     

    ]]>
    Mon, 23 Mar 2020 02:57:32 +0000
    <![CDATA[สาย LAN (UTP) คืออะไร / มีกี่ประเภท ]]> https://encom.co.th/blog/CA2003003-01/ สาย LAN (UTP) คืออะไร

     

    สาย LAN หรือที่รู้จักกันในชื่อทางการว่า สาย UTP (Unshielded Twisted Pair) เป็นสายนำสัญญาณชนิดหนึ่ง ที่มีตัวนำสัญญาณเป็นทองแดงบิดตีเกลียวกันเป็นคู่ (Twisted Pairs) โดยทั่วไปใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในการรับ-ส่งข้อมูล หรือเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายกลาง เช่น Network Switch, Hub, รวมไปถึง Router ก็ได้เช่นกัน ในส่วนของหัวที่ใช้เชื่อมต่อสาย LAN นั้น เราเรียกว่า RJ45  

     

    * การบิดตีเกลียว (Twisted) ของสายทองแดง ช่วยลดสัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้นในการส่งข้อมูล ทำให้สามารถส่งสัญญาณได้ดีกว่าสายชนิดไม่ตีเกลียว



    สาย LAN (UTP) มีกี่ประเภท

    สาย LAN (UTP) สามารถแบ่งได้หลายประเภทขึ้นอยู่กับลักษณะการจำแนก เช่น

     

    แบ่งตามลักษณะการติดตั้ง

     

    1. ชนิดติดตั้งภายในอาคาร (Indoor Cable)

     

    สายสัญญาณสำหรับติดตั้งภายในอาคารนั้น เปลือกนอกมักนิยมทำจากวัสดุ PVC เนื่องจากมีความยืดหยุ่นและสามารถป้องกันการลามไฟได้ นอกจากนี้ได้มีข้อกำหนดหรือมาตรฐานป้องกันทางด้านอัคคีภัย จึงต้องมีการใส่สารพิเศษเข้าไป ทำให้สามารถแบ่งชนิดของสายภายในอาคารที่ใช้กันแพร่หลาย 4 ชนิดด้วยกัน

     

    - CM (Communication Metallic)

    เป็นสายที่สามารถป้องกันการลามไฟได้ในแนวราบ เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่นการติดตั้งสายแนวราบภายในชั้นเดียวกัน (Horizontal Wiring)

     

    - CMR (Communication Metallic Riser)

    สายชนิดนี้สามารถป้องกันการลามไฟทั้งแนวราบและแนวดิ่ง มักใช้ในการเดินสายสัญญาณระหว่างชั้นในอาคารโดยผ่านช่องเดินสายของตัวอาคาร (Vertical Shaft)

     

    - CMP (Communication Metallic Plenum)

    เป็นสายที่เหมาะสำหรับการติดตั้งเดินสายบนฝ้าเพดาน หรือบริเวณช่องว่างเหนือฝ้าที่มีอากาศไหลเวียน (Plenum Space) แต่ไม่สามารถป้องกันการลามไฟในแนวดิ่งได้

     

    - LSZH (Low Smoke Zero Halogen)

    สามารถป้องกันการลามไฟได้ทั้งในแนวราบและแนวดิ่งเหมือน CMR แต่มีคุณสมบัติเพิ่มเติมคือเมื่อเกิดอัคคีภัย สายชนิดนี้จะมีควันน้อยและไม่ก่อให้เกิดสารพิษ




    2. ชนิดติดตั้งภายนอกอาคาร (Outdoor Cable)

     

    สายสัญญาณสำหรับติดตั้งภายนอกอาคารนั้น จะมีเปลือกนอกทำจากวัสดุ PE (Polyethylene) ซึ่งมีคุณสมบัติทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอก ไม่สึกกร่อน แต่จะไม่สามารถป้องกันการลามไฟได้ ดังนั้นเราควรเลือกสายให้ถูกต้องตามชนิดของการใช้งาน

     



    แบ่งตามลักษณะการป้องกันสัญญาณรบกวน

     

    1. ชนิดไม่มีฉนวนป้องกันสัญญาณรบกวน : Unshielded Twisted Pair (UTP) 

    เป็นสายทองแดงคู่ บิดตีเกลียวแบบไม่มีชิลด์ป้องกันสัญญาณรบกวน โดยตัวนำสัญญาณจะมี 8 เส้น (4คู่) เป็นทองแดงแท้ นิยมใช้กับงานระบบคอมพิวเตอร์ทั่วๆ ไป

     

    2. ชนิดมีฉนวนป้องกันสัญญาณรบกวน : Foil Twisted Pair (UTP)

    เป็นสายทองแดงคู่ บิดตีเกลียวแบบมีชิลด์ป้องกันสัญญาณรบกวน นิยมใช้งานในพื้นที่ ที่มีสัญญาณรบกวนสูง เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ติดตั้งผ่านเครื่องจักรขนาดใหญ่ ไฟฟ้าแรงสูง ปลั๊กไฟ ฯลฯ

     




    แบ่งตาม Bandwidth ที่รองรับได้

     

    1. Category 5E (CAT 5E)

    เป็นสาย LAN (UTP) ทองแดงที่มีความเร็วต่ำ พัฒนามาจากสาย CAT 5 เดิม ออกแบบมาเพื่อรองรับ Bandwidth อยู่ที่ 100-200 MHz ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 1 Gbps ในระยะทางไม่เกิน 100 เมตร

     

    2. Category 6 (CAT 6)

    เป็นสาย LAN (UTP) ทองแดงที่มีความเร็ว ถูกผลิตขึ้นมาตามมาตรฐานของ Gigabit Ethernet ออกแบบมาเพื่อรองรับ Bandwidth อยู่ที่ 250 MHz ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 10 Gbps ในระยะทางไม่เกิน 55 เมตร

     

    3. Category 6A (CAT 6A)

    เป็นสาย LAN (UTP) ทองแดงที่มีความเร็ว ออกแบบมาเพื่อรองรับ Bandwidth อยู่ที่ 500 MHz ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 10 Gbps ในระยะทางไม่เกิน 100 เมตร

     

    4. Category 8 (CAT 8)

    เป็นสาย LAN (UTP) ทองแดงที่มีความเร็ว ออกแบบมาเพื่อรองรับ Bandwidth อยู่ที่ 2GHz ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 25/40 Gbps ในระยะทางไม่เกิน 30 เมตร

     



    *สายสัญญาณของ LINK ถูกออกแบบมาพิเศษ โดยมีคุณสมบัติสูงกว่าสายสัญญาณแบรนด์อื่นๆ 

     

    - LINK CAT 5E ออกแบบมาให้รองรับ Bandwidth อยู่ที่ 350 MHz

     

    - LINK CAT 6 ออกแบบมาให้รองรับ Bandwidth อยู่ที่ 600 MHz

     

    - LINK CAT 6A ออกแบบมาให้รองรับ Bandwidth อยู่ที่ 750 MHz



    * Patch Cord

     

    ประเภทสุดท้ายคือสาย LAN สำเร็จรูปแบบแกนฝอย โค้งงอและยือหยุ่นได้ดี เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการหัก งอ ม้วน ของสาย โดยปกติสาย Patch Cord จะมีความยาวประมาณ 1-20 เมตร มักผลิตหลายสีเพื่อให้แยกแยะสายได้ง่าย ใช้สำหรับเชื่อมต่อจาก Patch Panel ไปยัง Network Switch หรือ เชื่อมต่อจาก Box Outlet RJ-45 ตัวเมีย ไปยังคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ

     

    ]]>
    Mon, 23 Mar 2020 02:55:15 +0000
    <![CDATA[พัดลมสำหรับตู้ Rack Server มีลักษณะและการทำงานอย่างไร]]> https://encom.co.th/blog/CA2002025-02/ สำหรับพัดลมระบายอากาศตู้ Rack Server นั้น จะใช้แรงดันไฟฟ้าอยู่ที่ Volt 220/240 VAC 50/60 HZ หรือ 48VDC. มีขนาดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของใบพัดอยู่ที่ 4 นิ้ว ความเร็ว 2,550 รอบ/นาที อัตราการไหลของอากาศ 2.3 ลูกบาศก์เมตร/นาที ทำงานในสภาวะปกติที่อุณหภูมิ +25 ถึง +72 องศาเซลเซียส และโครงผลิตจากอลูมิเนียม มีตระแกรงผลิตจากเหล็กและชุบโครมเมียมมาตรฐานความปลอดภัย UL/CSA สายไฟยาว 1.5 เมตร พร้อมปลั๊ก 2 ขา ทำหน้าที่ระบายความร้อนภายในตู้ โดยการดูดอากาศใหม่เข้าไปในตู้และดันอากาศเก่าที่มีความร้อนภายในตู้ออกสู่ด้านนอก จึงทำให้อากาศภายในตู้มีการหมุนเวียนตลอดเวลา  ทำให้อุปกรณ์ที่อยู่ภายในตู้ไม่ร้อนเกินไป จึงทำให้สามารถเปิดใช้งานอุปกรณ์ได้ต่อเนื่อง แต่หากท่านต้องการเปิดพัดลมไว้ตลอด 24 ชม. แนะนำให้ใช้งานคู่กับตัวควบคุมอุณหภมูิ (Thermostat) เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการการควบคุมอุณหภูมิความร้อน

    ]]>
    Mon, 23 Mar 2020 02:52:21 +0000
    <![CDATA[Google เพิ่มความสามารถ Malware Protection ให้ Advance Protection Program]]> https://encom.co.th/blog/2003023-5/ Google ได้เพิ่มฟีเจอร์สำหรับการปกป้องมัลแวร์ให้แก่ผู้ใช้บริการบัญชี Google ที่อยู่ใน Advance Protection Program

    Advance Protection Program เป็นมาตรการทาง Security แบบพิเศษสำหรับปกป้องผู้ใช้บัญชี Google ที่เป็นคนดังเช่น นักข่าว นักเคลื่อนไหว นักการเมือง หรือนักธุรกิจ ที่คิดว่าตัวเองตกอยู่ในกลุ่มเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจงตัวบุคคล ทั้งนี้จะมีกระบวนการในการป้องกันด้าน Security เพิ่มขึ้นมากว่าคนอื่น เช่น จำกัดการเข้าถึงข้อมูล บล็อกการเข้าถึงบัญชี หรือใช้งาน Security Key แบบ Physical และอื่นๆ

    โดยวันนี้ Google ได้เพิ่มความสามารถใหม่อย่าง Malware Protection หรือก็คือความสามารถด้าน Machine Learning การสแกนค้นหามัลแวร์แบบเดียวกับที่ Google ใช้เพื่อสแกนหาแอปอันตรายใน Google Play นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมใน Advance Protection จะไม่สามารถดาวน์โหลดแอปนอก Play Store ได้ ยกเว้นในกรณีที่ติดตั้งมาจากโรงงานแล้วหรือมาทางเครื่องมือของนักพัฒนาอย่าง Android Debug Bridge

    แม้ว่าผู้ใช้งาน G Suite จะไม่ได้รับผลประโยชน์ครั้งนี้เลย แต่ปัจจุบันสามารถใช้ Endpoint Management ไปก่อน

    ที่มา :  https://techcrunch.com/2020/03/18/googles-advanced-protection-program-for-high-risk-users-now-includes-malware-protection/

    ]]>
    Mon, 23 Mar 2020 02:47:03 +0000
    <![CDATA[Synology® ขอแนะนำ DiskStation DS220j การสำรองข้อมูลและการสตรีมมัลติมีเดียที่ง่ายดาย]]> https://encom.co.th/blog/2003023-4/ ไทเป ไต้หวัน—12 มีนาคม 2020—วันนี้ Synology Inc. ได้เปิดตัว DiskStation DS220j ที่เก็บข้อมูลที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย (NAS) ระดับเริ่มต้นขนาด 2 Bay ซึ่งสร้างมาเพื่อการรวบรวมและการจัดการข้อมูล

    เริ่มต้นการสำรองข้อมูลของคุณ

    เปิดใช้งานการสำรองข้อมูลอัตโนมัติบนอุปกรณ์มือถือของคุณเพื่อการจัดการเนื้อหาที่ง่ายดาย โซลูชันการจัดการภาพถ่ายส่วนบุคคล Synology Moments จะช่วยให้คุณดูคอลเลกชันภาพถ่ายและวิดีโอทั้งหมดได้ในระหว่างการเดินทาง พร้อมเพิ่มพื้นที่ว่างอันมีค่าบนอุปกรณ์มือถือของคุณ

    สร้างคลาวด์ส่วนตัวของคุณด้วย Synology Drive สำหรับการสำรองข้อมูลไฟล์บนคอมพิวเตอร์ของคุณแบบหลายเวอร์ชัน แชร์และซิงโครไนซ์ไฟล์กับผู้อื่นและข้ามอุปกรณ์ได้อย่างง่ายดาย

    ขับเคลื่อนโดย Synology DiskStation Manager

    DS220j รันบน DiskStation Manager แพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งสำหรับการจัดการข้อมูล ซึ่งโดดเด่นด้วยการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและประสิทธิภาพการทำงาน Synology ได้รับรางวัลจากสื่อหลายค่าย ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งของหมวดหมู่ NAS ระดับกลางในการสำรวจโซลูชันการจัดเก็บข้อมูลของ TechTarget และชนะรางวัล PCMag Business Choice เป็นครั้งที่หก

    สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ DS220j โปรดไปที่ https://www.synology.com/en-global/products/DS220j

    ทำความรู้จักกับ Synology

    Synology เป็นบริษัทแถวหน้าด้านการจัดการข้อมูล มีนวัตกรรมและปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีต่างๆ ที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา และนำเสนอความเป็นไปได้ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะโซลูชันที่จัดเก็บข้อมูลและการสำรองข้อมูล การทำงานร่วมกันในไฟล์ การจัดการวิดีโอ และโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับการออกแบบด้วยเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือการนำเสนอแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์เพื่อช่วยให้การดูแลระบบ IT เป็นเรื่องง่ายดาย พร้อมกับช่วยให้ธุรกิจทั่วโลกสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิตอล

     

    ]]>
    Mon, 23 Mar 2020 02:44:26 +0000
    <![CDATA[IBM Summit Supercomputer ที่เร็วที่สุดในโลกกำลังถูกใช้เพื่อรับมือกับ COVID-19]]> https://encom.co.th/blog/2003023-3/ กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ประกาศ เตรียมใช้ IBM Summit Supercomputer ที่เร็วที่สุดในโลกเพื่อค้นวิธีรักษาหรือบำบัดโรค COVID-19

    IBM Summit เป็น Supercomputer ขนาด 10,096kW ประกอบด้วยหน่วยประมวลผลมากถึง 4,608 Nodes โดยแต่ละจะมี Power9 CPU ความเร็ว 3.07 GHz 2 ตัวและ Nvidia Volta V100 GPU อีก 6 ตัว ทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดถึง 200 PetaFLOPS

    Oak Ridge National Laboratory ระบุใน Blog ว่า การที่จะเข้าใจส่วนประกอบเชิงชีววิทยาอย่างไวรัสนั้น นักวิจัยจะต้องเพาะเชื้อจุลินทรีย์และดูการตอบสนองต่อส่วนประกอบใหม่ ซึ่งกระบวนการนี้อาจต้องใช้เวลานานมากถ้าไม่ใช้คอมพิวเตอร์ที่สามารถทำการจำลองเชิงดิจิทัลเพื่อบีบช่วงตัวแปรที่เป็นไปได้ให้แคบลง หรือแม้ว่าจะใช้คอมพิวเตอร์แล้ว ก็ยังคงเป็นงานที่มีความท้าทายอย่างมาก การจำลองทางคอมพิวเตอร์สามารถตรวจสอบว่าตัวแปรที่แตกต่างกันจะตอบสนองต่อไวรัสที่แตกต่างกันได้อย่างไร แต่เมื่อตัวแปรสามารถประกอบด้วยเศษชิ้นส่วนของข้อมูลที่แตกต่างกันมากถึงหลักล้านหรือพันล้านชิ้น และจำเป็นต้องรันการจำลองหลายครั้งเมื่อนำข้อมูลมาประกอบกัน การใช้ฮาร์ดแวร์ที่หาได้ทั่วไปจึงกินเวลาที่ใช้ประมวลผลมหาศาล

    ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงหันมาใช้ Summit Supercomputer จาก IBM ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถตรวจสอบส่วนประกอบ 8,000 รายการได้ภายในเวลาไม่กี่กัน และสามารถระบุส่วนประกอบโมเลกุลขนาดเล็กที่เป็นไปได้ว่ามีประโยชน์ในการยับยั้งเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ที่ก่อให้เกิดโรค COVID-19

    <iframe width="620" height="349" src="https://www.youtube.com/embed/IRtBKUeAly4" frameborder="0" allow="accelerometer; autoplay; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture" allowfullscreen></iframe>

    “Summit เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ได้ผลลัพธ์การจำลองอย่างรวดเร็วแบบที่เราต้องการ เราใช้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองวัน [ในการทำให้ได้ผลลัพธ์] ในขณะที่ต้องใช้เวลานานหลายเดือนเมื่อใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป” — Jeremy Smith ผู้อำนวยการศูนย์ UT/ORNL Center for Molecular Biophysics และหัวหน้าทีมวิจัย COVID-19 ของมหาวิทยาลัย University of Tennessee กล่าว

    ทีมนักวิจัยยังเน้นย้ำอีกว่า ทุกชิ้นงานของพวกเขาจำเป็นต้องผ่านการทดลองเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งตอนนี้พวกเขาพบแล้วว่าระบบคอมพิวเตอร์สามารถเข้ามาสนับสนุนการคำนวณบางอย่างได้ จนถึงตอนนี้ นักวิจัยเริ่มค้นพบยาตัวใหม่ที่ใช้รักษาโรคผ่านการใช้เทคโนโลยี Machine Learning แล้ว

    ที่มา: https://www.extremetech.com/computing/307381-the-fastest-supercomputer-on-earth-is-being-deployed-against-coronavirus

    ]]>
    Mon, 23 Mar 2020 02:43:47 +0000
    <![CDATA[IBM “แจกเก่ง” IBM Systems ร่วมแจกฟรีเครื่องมือดูแลระบบ Storage ของคุณ ด้วย AI-based storage management]]> https://encom.co.th/blog/2003023-2/ IBM “แจกเก่ง” IBM Systems ร่วมแจกฟรีเครื่องมือดูแลระบบ Storage ของคุณ ช่วง Work from Home ด้วย AI-based storage management สามารถดูแลได้ทั้ง IBM และ Non-IBM อย่าง Dell-EMC (Unity, VMAX family, VNX, VNXe), Hitachi(VSP), NetApp – ONTAP 9 สำหรับแผนก IT ที่ต้องคอยดูแลทั้งระบบและต้องดูแลตัวเอง สามารถ download และใช้งานได้ฟรีกันไปเลย

    สามารถ download และติดตั้งได้ฟรี ติดตั้งง่าย ๆ ตามขั้นตอนด้านล่าง และช่วงเริ่มต้นใช้งาน สามารถใช้งานได้เต็มรูปแบบของการ Monitoring กับ ฟังก์ชั่นของ IBM Storage Insights Pro ที่เพิ่มส่วนของการใช้งาน Analytics, Generate Report, Troubleshooting และสามารถเปิด Service Claim ได้ฟรีไปเลย 60วัน!

    6 STEPs ช่วยให้ขั้นตอนการติดตั้งและเริ่มต้นการใช้งานได้เร็วขึ้น:

    1.) Sign Up

    • ขั้นตอนการเข้าสู่ระบบจำเป็นต้องใช้ IBM ID สามารถลงทะเบียนง่ายๆ ได้ที่ https://ibm.biz/BdHtLT
      *** หากมี IBM ID อยู่แล้วสามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปยังขั้นตอนลงทะเบียนได้

    • ลงทะเบียนเพื่อรับ welcome email ที่ลิ้งค์ https://ibm.biz/insightsreg. หลังจากลงทะเบียนจะได้รับ Welcome email ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ภายใน Email จะมี Direct Link เพื่อเข้าสู่หน้า IBM Storage Insights Initial Setup Guide Dashboard

    2.) Deploy a data collector

    ใช้เวลาเตรียมความพร้อมเพื่อใช้งานระบบประมาณ 10 นาที

    • เมื่อเข้าสู่ระบบ IBM Storage Insights ได้แล้วจาก “ข้อ 1” เข้าสู่การ Deployment จะมีรายละเอียด Requirement specification ของเครื่องที่ใช้ลง และข้อมูลเพิ่มเติมที่จำเป็นต้องใช้ เช่น Firewall port outbound traffic, Security, Proxy หรือ Best practices

    VM Server หรือ Physical Server : 1 GB RAM • 1 GB disk space • Windows, AIX, or Linux (x86-64 systems only)

    • เข้าไปที่ Data Collector page >>> เลือก download the data collector สำหรับ OS ที่ต้องการลงโปรแกรม เช่น Windows, Linux หรือ AIX

    • หลังจาก download สำเร็จ ทำการ Extract file บน virtual machine หรือ physical server ที่เตรียมไว้

      • For Windows, run ‘installDataCollectorService.bat‘.

      • For Linux or AIX, run ‘installDataCollectorService.sh‘.

    • เมื่อการเชื่อมต่อเสร็จสมบูรณ์ ระบบของคุณก็พร้อมที่จะเริ่มใช้งานแล้ว

    Learn more: https://ibm.biz/insightsdatacollector

    3.) Add Storage Systems

    ขั้นตอนนี้เป็นการเชื่อมต่อ IBM Storage Insights กับระบบ Storage ที่ต้องการ Monitor ใช้เวลาประมาณ 1 นาทีดังนี้

    • เข้าไปยัง Login dashboard ของ IBM Storage Insights >>> ไปยัง Tap “add storage systems” ดูแลได้ทั้ง IBM และ Non-IBM อย่าง Dell-EMC (Unity,VMAX family, VNX, VNXe), Hitachi(VSP), NetApp – ONTAP 9.

    • Click Add Storage Systems และทำตามขั้นตอนจนสำเร็จ หากคุณต้องการเพิ่มก็สามารถทำภายหลังได้อีก

    Read more storage monitoring supported: https://www.ibm.com/support/knowledgecenter/SSQRB8/com.ibm.spectrum.si.doc/prd_supported_storage_resources.html

    4.) Dashboard

    หลังจากเพิ่ม Storage เรียบร้อย ภายในหน้า dashboard จะแสดงผลเชิงลึกของระบบของคุณทั้งหมดที่ได้ทำการเพิ่มเข้าไป สามารถดูระบบโดยรวมของทั้งระบบได้จากที่เดียว เหมือนกับระบบ NOC systems และจะทำการตรวจสอบ monitor event ต่างๆที่เกิดขึ้น และแจ้งเตือน (notifications) ให้แก่ผู้ดูแลระบบ

    • Key capacity metrics: เพื่อให้คุณทราบว่ามีความจุเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่

    • Key performance metrics: เพื่อให้คุณรู้ว่า ประสิทธิภาพของ storage ของคุณ มีประสิทธิภาพรับ workload เป็นไปตามที่ใช้งาน ณ ปัจจุบันหรือไม่

    ช่วงเริ่มต้นระบบ สามารถใช้งาน IBM Storage Insights Pro ได้ฟรี! มีฟังก์ชั่นเพิ่มขึ้น Analytics, Generate Report, Troubleshooting และสามารถเปิด Service Claim ได้ฟรีไปเลย 60วัน !

    5.) Enable Call Home

    ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ต่อ storage system

    • ด้วย Call Home ของ IBM จะช่วยคุณดูแลระบบให้คุณ คุณจะสามารถดู event ,diagnostic วิเคราะห์เหตุการณ์และจะได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับ health และ status ต่างๆ เพื่อคุณจะได้รับทราบข้อมูลเพื่อให้คุณสามารถดำเนินการแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ก่อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อระบบจัดเก็บข้อมูล storage

    6.) Add users to your dashboard (Optional)

    หากคุณต้องการเพิ่ม Admin ในการตรวจสอบหรือดูแลระบบเพิ่ม ก็สามารถเพิ่ม user เข้าไปได้ง่ายใช้เวลาประมาณ 1 นาทีต่อ user

    • In IBM Storage Insights, มุมบนขวาของ dashboard ให้ click user name

    • Click Manage Users.

    • บนหน้า MYIBM page, ตรวจสอบว่าจะต้องทำการเลือก IBM Storage Insights

    • Click Add new user.

    เพียง 6 ขั้นตอน IBM จะช่วยให้คุณดูและระบบ storage ของคุณได้ง่ายๆ แบบฟรีๆ ไม่ต้องกังวลว่าระบบของคุณจะเสียหายระหว่างการ Work from home

    Download เอกสารการติดตั้งได้เพิ่มเติม ที่นี่เลย >>> https://www.ibm.com/support/knowledgecenter/SSQRB8/com.ibm.spectrum.si.pdfs/IBM_Storage_Insights_Getting_Started_Guide.pdf?view=kc

    ]]>
    Mon, 23 Mar 2020 02:42:51 +0000
    <![CDATA[Netflix ลดคุณภาพวิดีโอเหลือ SD ในยุโรป เปิดทางให้การทำงานนอกสถานที่และเรียนออนไลน์]]> https://encom.co.th/blog/2003023-1/ Netflix ประกาศลดคุณภาพวิดีโอสตรีมมิ่ง จาก HD ไปสู่ SD ในภูมิภาคยุโรปเป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่ดลดปริมาณการบริโภคทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอันเนื่องมาจากการที่ผู้คนอยู่บ้านมากขึ้น เปิดทางให้การทำงานจากภายนอกสถานที่ การเรียนและสื่อบันเทิงออนไลน์ต่างๆ มีพื้นที่ใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น

    หลังจากที่หลายประเทศในแถบยุโรปประกาศปิดประเทศ บังคับใช้เคอร์ฟิว และขอความร่วมมือให้ประชาชนแยกตัวห่างทางสังคม (Social Isolation) ในช่วงที่เชื้อ COVID-19 กำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก ทำให้คณะกรรมการสหภาพยุโรปเป็นกังวลว่า ประชาชนที่อยู่แต่ในบ้านจะดูวิดีโอสตรีมมิ่งมากขึ้น จนทำให้เกิดการบริโภคแบนด์วิดท์อินเทอร์เน็ตมหาศาล Thierry Breton คณะกรรมการจากรมการค้าภายในจึงตัดสินใจเรียกตัวผู้ให้บริการสตรีมมิ่งเพื่อขอความร่วมมือในการปรับลดคุณภาพของวิดีโอลงจาก HD ไปสู่ SD แทน เพื่อลดแบนด์วิดท์ที่จำเป็นต้องใช้งาน

    ด้วยเหตุนี้ Netflix จึงตัดสินใจลดปริมาณ Bit Rate ของวิดีโอสตรีมมิ่งในภูมิภาคยุโรปเป็นระยะเวลา 30 วัน ซึ่งคาดว่าจะช่วยลลดปริมาณทราฟฟิกของ Netflix บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตลงได้ราว 25%

    ที่มา: https://www.bleepingcomputer.com/news/technology/netflix-reduces-video-quality-in-europe-by-25-percent-to-lower-load/

    ]]>
    Mon, 23 Mar 2020 02:37:59 +0000
    <![CDATA[แนะนำ UPS รุ่น Bright , Dynamic แบบ Tower และ Rack แบบไหนที่เหมาะกับคุณ?]]> https://encom.co.th/blog/review_energys_ups/ แนะนำเครื่องสำรองไฟ Energys Series Bright และ Dynamic ทั้งแบบ Tower และแบบ Rack ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน



    เครื่องสำรองไฟ Energys รุ่น Bright

    • เป็น UPS ชนิด Line Interactive With Stabilizer Design
    • ขนาด 2000VA (2kVA) / 1200W (1.2kW) : แบตเตอรี่ภายในเครื่อง 2 ก้อน - ควบคุมการทำงานอย่างแม่นยำด้วยไมโครโปรเซสเซอร
    • มีStabilizer สำหรับปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ ป้องกันไฟตก ไฟเกิน ได้ดีทั่วประเทศ
    • แรงดันไฟฟ้าขาเข้า 220 Vac +/- 25% (165-275 Vac)
    • แรงดันไฟฟ้าขาออก 220 Vac +/- 10% (โหมดปรับแรงดันไฟฟ้า) และ 220 Vac +/- 5% (โหมดจ่ายไฟสำรอง)
    • สำรองไฟฟ้าได้ประมาณ 10-30 นาที (ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์)
    • สามารถประจุแบตเตอรี่ให้พร้อมใช้งานได้เร็วขึ้นกว่าปกติ
    • สามารถแสดงค่าแรงดันไฟฟ้าขาเข้าและขาออก ผ่านหน้าจอแสดงผล LCD - LCD แสดงสถานะของ UPS ได้ครบถ้วน เช่น Line Mode,Battery Mode, Low Battery และ Fault
    • สามารถแสดงระดับประจุของแบตเตอรี่ได้ (Battery Level)
    • สามารถแสดงระดับปริมาณอุปกรณ์ต่อพ่วงได้ (Load Level)
    • มี Universal Outlet ป้องกัน Surge
    • มี USB PORT พร้อม Software สำหรับตรวจสอบและควบคุมการทำงานของ UPS
    • ตัวถังผลิตด้วยพลาสติกคุณภาพสูงปราศจากไฟดูด หรือไฟรั่ว 100%
    • ผลิตภัณฑ์มาตรฐาน ISO 9001, ISO 14001 และ มอก. 1291-2545

    เครื่องสำรองไฟ Energys รุ่น Dynamic

    • เป็น UPS ชนิด True On-line Double Conversion ให้กระแสไฟฟ้าที่คงที่และต่อเนื่องตลอดเวลา
    • ขนาด 3000VA (3kVA) / 2700W (2.7kW) : แบตเตอรี่ภายในเครื่อง 6 ก้อน
    • ไมโครโปรเซสเซอร์ควบคุมการทำงานทั้งหมด เพื่อความเที่ยงตรงของไฟฟ้าขาออก
    • แรงดันไฟฟ้าขาเข้า 220 / 230 / 240 Vac
    • แรงดันไฟฟ้าขาออก 200 / 208 / 220 / 230 / 240 Vac +/- 1% (สามารถเลือกแรงดันไฟขาออกได้)
    • สัญญาณไฟฟ้าขาออกของภาค Inverter เป็น Pure Sine Wave
    • สำรองไฟฟ้าได้ประมาณ 10-30 นาที (ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์)
    • สามารถเพิ่มระยะเวลาการสำรองไฟฟ้าด้วยการพ่วงแบตเตอรี่ได้ (Options)
    • สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่อง และสามารถเปิดเครื่องได้โดยไม่ต้องมีไฟ AC INPUT (DC Power On)
    • มีสัญญาณไฟ LCD เตือนบอกสภาวะการทำงาน : UPS On, On-line, battery mode, bypass mode & alarm
    • มีสวิตฉุกเฉินสำหรับปิดการทำงานของเครื่องสำรองไฟฟ้า (Emergency power off)
    • สามารถควบคุมการเปิดปิดปลั๊กไฟขาออกเป็นชุดๆ ได้เพื่อประโยชน์ในการเพิ่มระยะเวลาสำรองไฟฟ้า
    • สามารถเลือกให้เครื่องสำรองไฟฟ้าทำงานในโหมดประหยัดพลังงานได้ (High efficiency mode)
    • รองรับการใช้งานผ่านพอร์ตสัญญาณ RS232, USB PORT สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านโปรแกรม สำหรับตรวจสอบและควบคุมการทำงานของเครื่องสำรองไฟฟ้า (UPS)
    • รองรับการใช้งานร่วมกับ SNMP Card เพื่อความสะดวกในการควบคุมการทำงานของ UPS ผ่านระบบ Network
    • ผลิตภัณฑ์มาตรฐาน ISO 9001, ISO 14001 และ มอก. 1291-2545

    ]]>
    Thu, 19 Mar 2020 04:37:18 +0000
    <![CDATA[สามารถเปลี่ยนประตูให้เปิดอีกทางได้ไหม]]> https://encom.co.th/blog/CF2003003-02/ โดยปกติตู้ Ecom Wall Rack จะเปิดประตูจากด้านซ้ายไปด้านขวา ส่วนตู้ Ecom Close Rack จะเปิดประตูจากด้านขวาไปด้านซ้าย แต่สามารถสลับการติดตั้งประตูให้เปิด-ปิด ได้ทั้งซ้าย-ขาว ตามความต้องการของลูกค้า

     

    ]]>
    Wed, 18 Mar 2020 04:56:40 +0000
    <![CDATA[ตู้ Ecom Rack กันฝุ่นได้ไหม]]> https://encom.co.th/blog/CF2003003-01/ ตู้ Ecom Rack สามารถกันฝุ่นได้เกือบ 100% เนื่องจากมียางกันฝุ่นโดยรอบขอบประตูทุกบาน ทำให้ประตูปิดสนิทฝุ่นจึงไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ ทั้งนี้ไม่รวมรุ่นประตูเจาะรูระบายอากาศ

    ]]>
    Wed, 18 Mar 2020 04:53:45 +0000
    <![CDATA[ตู้ Ecom Close Rack มีกุญแจล็อกไหม]]> https://encom.co.th/blog/CF2003002-06/ ตู้ Ecom Close Rack เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลและอุปกรณ์จึงมีกุญแจล็อกทั้ง 4 ด้าน


    ]]>
    Wed, 18 Mar 2020 04:51:02 +0000
    <![CDATA[ตู้ Ecom Close Rack ถอดฝาข้างออกได้ไหม]]> https://encom.co.th/blog/CF2003002-05/ ตู้ Ecom Close Rack ฝาข้างมีกุญแจแบบ Turn Lock 2 ตัว เพื่อความปลอดภัย สามารถถอดเข้า-ออกได้ ซึ่งสะดวกสบายต่อการบำรุงรักษา 




    ]]>
    Wed, 18 Mar 2020 04:43:47 +0000
    <![CDATA[ตู้ Ecom Rack มีช่องร้อยสายกี่ช่อง และมีขนาดเท่าไหร่บ้าง]]> https://encom.co.th/blog/CF2003002-04/ ตู้ Ecom Wall Rack มีช่องร้อยสาย 3 ช่อง

    - ช่องด้านบน ขนาด 3*9 ซม.

    - ช่องด้านล่าง ขนาด 9*9 ซม.

    - ช่องด้านข้างฝั่งขวา ขนาด 4*9 ซม.

     

    ตู้ Ecom Close Rack มีช่องร้อยสาย 2 ช่อง

    - ช่องด้านล่างปกติมี ขนาด 4*37 ซม. แต่สามารถปรับขนาดได้ถึง 37*37 ซม. ตามความต้องการ



    - ช่องด้านบน ขนาด 14.5*40 ซม. ปกติมีไว้สำหรับติดตั้งพัดลมแต่สามารถเปลี่ยนเป็นช่องร้อยสายได้เช่นกัน

    ]]>
    Wed, 18 Mar 2020 04:01:55 +0000
    <![CDATA[10 คำแนะนำการทำงานที่บ้านให้ “มั่นคงปลอดภัย”]]> https://encom.co.th/blog/2003018-5/ ในช่วงที่ไวรัส COVID-19 กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ หลายองค์กรและบริษัทเริ่มออกนโยบายให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนโดยไม่จำเป็น Sophos ผู้ให้บริการโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยชั้นนำจากสหราชอาณาจักรจึงออกคำแนะนำ 10 ประการเพื่อให้พนักงานทุกคนสามารถทำงานจากที่บ้านได้อย่าง “มั่นคงปลอดภัย” ดังนี้

     

    1. ทำให้พนักงานเริ่มทำงานจากที่บ้านได้ง่ายๆ

    การทำงานจากที่บ้านอาจจำเป็นต้องตั้งค่าอุปกรณ์และการเชื่อมต่อบนบริการต่างๆ เช่น อีเมล หรือ Salesforce เพิ่มเติม การมีโซลูชัน Self Service Portal (SSP) ที่ช่วยให้พนักงานสามารถตั้งค่าทุกอย่างได้ด้วยตนเองจะช่วยเพิ่มความรวดเร็วและความง่ายในการเริ่มต้นการทำงานจากที่บ้าน ในขณะที่ลดภาระของฝ่าย IT ลง

    2. ทำให้มั่นใจว่าอุปกรณ์และระบบทั้งหมดได้รับการปกป้อง

    ควรอัปเดตอุปกรณ์ ระบบปฏิบัติการ และซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันต่างๆ ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด รวมไปถึงแพตช์ด้านความมั่นคงปลอดภัย เพื่อป้องกันไม่ให้แฮ็กเกอร์ใช้จังหวะนี้ในการลอบส่งมัลแวร์เข้ามายังอุปกรณ์เพื่อแพร่ไปยังระบบขององค์กรต่อ

    3. เข้ารหัสอุปกรณ์ทุกที่ที่เป็นไปได้

    การทำงานนอกออฟฟิสมีความเสี่ยงที่อุปกรณ์จะสูญหายหรือถูกขโมย เช่น ลืมโทรศัพท์ไว้ในร้านกาแฟ หรือโน๊ตบุ๊กถูกขโมยจากในรถ อุปกรณ์ส่วนใหญ่มาพร้อมกับเครื่องมือสำหรับเข้ารหัสข้อมูลอย่าง BitLocker หรือ FileVault อยู่แล้ว แนะนำให้เปิดใช้งานเสมอ

    4. สร้างการเชื่อมต่อที่มั่นคงปลอดภัยกลับมายังออฟฟิส

    ใช้ Virtual Private Network (VPN) เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลทั้งหมดที่รับส่งระหว่างพนักงานที่ทำงานที่บ้านและเครือข่ายภายในออฟฟิสจะถูกเข้ารหัสและได้รับการปกป้อง นอกจากนี้ VPN ยังช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

    5. ยกระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยบนอีเมล

    การทำงานที่บ้านทำให้การรับส่งอีเมลกลายเป็นช่องทางสื่อสารหลัก เนื่องจากพนักงานไม่สามารถพูดคุยกันต่อหน้าได้ แฮ็กเกอร์จึงเริ่มใช้ Phishing Email ในการโจมตีพนักงานมากขึ้น แนะนำให้องค์กรและบริษัทยกระดับการป้องกันภัยคุกคามผ่านทางอีเมลและฝึกฝนให้พนักงานตระหนักถึงการโจมตีรูปแบบดังกล่าว

    6. เปิดใช้งาน Web Filtering

    บังคับใช้ Web Filtering บนอุปกรณ์ของพนักงานที่ทำงานที่บ้าน เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานสามารถเข้าถึง Content ที่เกี่ยวข้องกับ “งาน” ได้เท่านั้น รวมไปถึงป้องกันพนักงานจากการเข้าถึงเว็บไซต์ที่มีความสุ่มเสี่ยง

    7. ใช้ Cloud Storage ในการเก็บไฟล์และข้อมูล

    Cloud Storage ช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลของตนได้ตลอดเวลา แม้จะเกิดปัญหาไม่สามารถเชื่อมต่อกลับเข้ามาที่ออฟฟิสได้ก็ตาม อย่างไรก็ดี อย่าปล่อยให้ไฟล์และข้อมูลถูกจัดเก็บบน Cloud โดยที่ไม่มีการป้องกัน หรือเปิดให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ อย่างน้อยพนักงานจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวตนก่อน การมีระบบ 2-Factor Authentication ก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยยกระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้สูงยิ่งขึ้น

    8. จัดการกับการใช้ USB และอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ

    การทำงานที่บ้านอาจเพิ่มความเสี่ยงที่พนักงานจะนำอุปกรณ์ที่ไม่มั่นคงปลอดภัยมาเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของออฟฟิส เช่น การถ่ายโอนไฟล์สู่อุปกรณ์ USB ซึ่งเสี่ยงต่อการที่ข้อมูลจะรั่วไหลสู่ภายนอกหรือติดมัลแวร์ที่มาจาก USB ได้ แนะนำให้เปิดใช้งาน Device Control บนระบบ Endpoint Protection เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวลง

    9. ควบคุมการใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่

    สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตมีโอกาสหายหรือถูกขโมยสูง องค์กรและบริษัทจำเป็นต้องสามารถสั่งล็อกหรือลบข้อมูลทั้งหมดบนอุปกรณ์เมื่อเกิดเหตุได้ โซลูชัน Unified Endpoint Management หรือ Mobile Device Management เข้ามาช่วยตอบโจทย์ตรงจุดนี้ได้

    10. เปิดช่องทางในการรายงานปัญหาด้านความมั่นคงปลอดภัย

    การทำงานที่บ้านทำให้พนักงานไม่สามารถติดต่อฝ่าย IT เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นได้ จึงควรหาช่องทางที่ช่วยให้พนักงานสามารถถรายงานปัญหาด้านความมั่นคงปลอดภัยได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เช่น ผ่านทางอีเมลที่จดจำได้ง่าย เป็นต้น

    ที่มา: https://news.sophos.com/en-us/2020/03/12/coronavirus-and-remote-working-what-you-need-to-know/

    ]]>
    Wed, 18 Mar 2020 02:55:59 +0000
    <![CDATA[Microsoft Bing ออกเว็บไซต์ติดตามผู้ติดเชื้อ Covid-19 รอบโลก]]> https://encom.co.th/blog/2003018-4/ ทีมงานจาก Microsoft Bing ได้เปิดอัปเดตจุดของผู้ติดเชื้อรอบโลกผ่านทางหน้าเว็บ


    credit : bing.com

    หน้าเว็บที่กล่าวถึงก็คือ bing.com/covid โดยทีมงานได้รวบรวมข้อมูลอัปเดตผู้ติดเชื้อ Covid-19 จากองค์การอนามัยโลก (WHO) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อจากสหรัฐฯและยุโรป (CDC) เพื่อแสดงเป็นแผนที่ให้เห็นภาพสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อทั่วโลก พร้อมคลิกดูข้อมูลในแต่ละประเทศได้ด้วย (ตามรูปประกอบ)

    ที่มา :  https://www.zdnet.com/article/microsoft-bing-team-launches-covid-19-tracker/

    ]]>
    Wed, 18 Mar 2020 02:52:24 +0000
    <![CDATA[พบช่องโหว่บน WordPress Plugin คาดกระทบผู้ใช้กว่าแสนเว็บไซต์ แนะเร่งอัปเดต]]> https://encom.co.th/blog/2003018-3/ Defiant ผู้เชี่ยวชาญด้าน WordPress Security ได้ออกเตือนถึง 2 ช่องโหว่ที่เกิดขึ้นบน Plugin ที่ชื่อ Popup Builder โดยคาดว่ามีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 1 แสนเว็บไซต์ จึงแนะนำให้ผู้ใช้งานเร่งอัปเดต

    Credit:alexmillos/ShutterStock

    Popup Builder เป็น Plugin ที่ออกแบบมาสำหรับช่วย สร้าง Deploy และจัดการ Popup เพื่อการโฆษณา ซึ่งมีความสามารถในการรันโค้ด JavaScript หรือ HTML

    ประเด็นก็คือมีการค้นพบช่องโหว่หมายเลข CVE-2020-10196 ที่เกิดขึ้นเพราะว่า Plugin ได้มีการ Register AJAX Hook เพื่อทำการ Auto-saving Draft ของ Popup เอาไว้แต่กลับถูกใช้ได้จากผู้โจมตีที่ไม่ได้มีสิทธิ์ โดยคนร้ายสามารถส่ง Post Request ไปยัง wp-admin/admin-ajax.php พร้อมกับ JavaScript Payload อันตรายให้บันทึกไว้ก่อนแล้วค่อยไป Execute เมื่อแสดง Popup ทั้งนี้อาจใช้ Redirect ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์อันตรายได้หรือเข้ายึดไซต์หากเหยื่อมีการล็อกอินระดับผู้ดูแลอยู่

    อีกช่องโหว่คือ CVE-2020-10195 สามารถทำให้คนร้ายในสิทธิ์ระดับต่ำสามารถ Export รายชื่อของ Subscriber ใน newsletter และรายละเอียดการตั้งค่าของระบบหรือเข้าถึงฟีเจอร์ของ Plugin ทั้งนี้ช่องโหว่ทั้งสองถูกแพตช์แล้วในเวอร์ชัน 3.64.1 จึงแนะนำให้ผู้ใช้งานเร่งอัปเดตครับ ปัจจุบันมีการอัปเดตจากผู้ใช้งานเพียง 33,000 เว็บไซต์คาดว่ายังเหลือเหยื่ออีกมากกว่า 60,000 แห่ง

    ที่มา :  https://www.securityweek.com/flaws-popup-builder-plugin-impacted-over-100000-wordpress-sites และ  https://www.bleepingcomputer.com/news/security/wordpress-plugin-bug-allows-malicious-code-injection-on-100k-sites/ 

    ]]>
    Wed, 18 Mar 2020 02:47:42 +0000
    <![CDATA[แนะนำ 6 บริการ Data Protection จาก UIH ตอบโจทย์ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562]]> https://encom.co.th/blog/2003018-2/

    สำหรับบริษัทและองค์กรที่กำลังเป็นกังวลว่าจะเตรียมบุคลากร กระบวนการ และเทคโนโลยีอย่างไรให้พร้อมรองรับการบังคับใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ในเดือนพฤษภาคมนี้ UIH ผู้นำธุรกิจโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมและโซลูชันดิจิทัลของไทยได้เปิดให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญแบบครบวงจร พร้อมนำเสนอ 6 เทคโนโลยี Data Protection Services ที่แนะนำให้ไปประยุกต์ใช้เพื่อปกป้องข้อมูลพนักงานและลูกค้า

    พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เริ่มบังคับใช้พฤษภาคมนี้

    พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act: PDPA) เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างมาตรฐานด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้เทียบเท่ากับข้อบังคับสากลและกฎหมายของต่างประเทศ เช่น GDPR โดย พ.ร.บ. ฉบับนี้จะบังคับใช้กับทุกหน่วยงาน ทุกผู้ประกอบการ เพื่อปกป้องความเป็นส่วนบุคคลของประชาชนทั่วไป

    พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าว เป็นกฎหมายเพื่อใช้บังคับแก่การเก็บรวบรวม การใช้ และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรไทย ไม่ว่าการกระทำนั้นได้กระทำในหรือนอกราชอาณาจักรก็ตาม ประกอบด้วยหลักปฏิบัติสำคัญ 5 ประการ ได้แก่

    1. Personal Data Discovery – สำรวจข้อมูลส่วนบุคคลที่องค์กรจัดเก็บรวบรวม ประมวลผล เผยแพร่ หรือมีการส่งข้อมูลออกนอกประเทศ พร้อมจัดหมวดหมู่และกำหนดสิทธิ์การใช้งานของผู้ที่เกี่ยวข้อง

    2. Rights of Data Subject – รักษาสิทธิ์ของเจ้าของข้อมูลโดยกำหนดให้มีวิธีการและขั้นตอนในการร้องข้อจากเจ้าของข้อมูล เช่น การเข้าถึงข้อมูลของตน การลบหรือทำลาย และการแก้ไขข้อมูล เป็นต้น

    3. Data Security – วางมาตรการควบคุมในการดูแลรักษาข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การกำหนดสิทธิ์ของผู้ใช้งานข้อมูล หรือการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลสู่ภายนอก เป็นต้น

    4. Data Breach Notification – กำหนดให้มีการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และบันทึกการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล รวมไปถึงมีมาตรการแจ้งเตือนเจ้าของข้อมูลและคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อเกิดเหตุข้อมูลรั่วไหลสู่ภายนอก

    5. Data Transfer – วางมาตรการควบคุมการส่งข้อมูลออกไปประมวลผลภายนอกองค์กร อาทิ การส่งข้อมูลไป Public Cloud หรือส่งข้อมูลไปให้บริษัทคู่ค้า เป็นต้น

    พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ถูกประกาศผ่านราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2019 โดยแต่ละองค์กร/บริษัทจะมีเวลาเตรียมตัว 1 ปีก่อนที่ พ.ร.บ.ฯ จะมีผลบังคับใช้จริงในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ ระหว่างนี้ องค์กร/บริษัทจำเป็นต้องกำหนดนโยบายและวางมาตรการควบคุมเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทั้งของลูกค้าและพนักงาน ผู้ที่ฝ่าฝืนจะมีทั้งโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 1 ปีและปรับตั้งแต่ 500,000 – 5,000,000 บาท

    Credit: ETDA

    UIH ให้คำปรึกษาและบริการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลตาม พ.ร.บ.ฯ แบบครบวงจร

    เพื่อให้องค์กรและบริษัท ทั้งภาครัฐและเอกชน จัดเตรียมบุคลากร กระบวนการ และเครื่องมือในการดำเนินการสอดคล้องกับ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 UIH จึงเปิดให้คำปรึกษาและบริการปกป้องข้อมูลตาม พ.ร.บ.ฯ แบบครบวงจร โดยในส่วนของเครื่องมือการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลนั้น UIH มีบริการ Data Protection Services ที่ครอบคลุมทั้งการสำรวจและจำแนกประเภทของข้อมูล, การบริหารจัดการสิทธิ์ในการเข้าถึง, การคุ้มครองข้อมูลผ่านระบบ Encryption, Tokenization และ Key Management, การป้องกันข้อมูลรั่วไหลสู่ภายนอก รวมไปถึงการแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุ Data Breach ไม่ว่าข้อมูลจะเก็บอยู่ในระบบแบบ On-premises หรือระบบ Cloud ก็ตาม

    Data Protection Services ของ UIH ประกอบด้วย 6 บริการหลัก ได้แก่

    • Data Discovery

    • Data Masking

    • Database Encryption

    • Data Loss Prevention

    • Database Firewall

    • Information Rights Management

    1. Data Discovery

    บริการค้นหาข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกจัดเก็บไว้ในไฟล์เอกสาร รูปภาพ ฐานข้อมูล อีเมล และในระบบ File System ไม่ว่าจะเป็น ชื่อนามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล วันเกิด เลขบัตรประชาชน เลขบัตรเครดิต หรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ พร้อมทำการจัดเก็บและจำแนกประเภทของข้อมูลเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขององค์กร นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าปกปิดหรือแทนที่ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นๆ ในไฟล์บางประเภทเพื่อไม่ให้อ่านหรือเห็นได้ตามปกติอีกด้วย บริการนี้รองรับการทำงานทั้งบนระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, Linux, FreeBSD, AIX, HPUX และ Solaris

    เรียนรู้เพิ่มเติมที่: https://www.uih.co.th/en/security-services/data-protection-services/data-discovery

    2. Data Masking

    บริการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลสำคัญขณะนำออกมาแสดงผล โดยจะทำการแทนที่ข้อมูลที่แสดงผลด้วยข้อมูลหลอกหรือนามแฝงเพื่อปกปิดหรือปิดบังข้อมูลที่แท้จริง ซึ่งสามารถเลือกวิธีปิดบังได้หลากหลายแบบ เช่น การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption), การสวมข้อมูลอื่นเข้าไปแทน (Masking), การแทนที่ด้วยข้อมูลหรืออักษรอื่น (Substitution), การแทนที่ด้วยค่า NULL (Nulling) หรือการสลับข้อมูล (Shuffling) การปกป้องข้อมูลด้วยวิธีเหล่านี้จะปิดบังเฉพาะข้อมูลที่นำออกมาแสดงผลบนหน้าจอเท่านั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อข้อมูลต้นฉบับ บางครั้งอาจเรียกกระบวนการนี้ว่า Pseudonymize Data หรือ Anonymize Sensitive Data

    เรียนรู้เพิ่มเติมที่: https://www.uih.co.th/en/security-services/data-protection-services/data-masking

    3. Database Encryption

    บริการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลสำคัญขององค์กรด้วยการเข้ารหัสฐานข้อมูล เฉพาะผู้ที่มีสิทธิ์เท่านั้นจึงจะสามารถถอดรหัสเพื่อเข้าถึงข้อมูลได้ ลดความเสี่ยงเมื่อเกิดเหตุข้อมูลรั่วไหลโดยไม่ได้ตั้งใจหรือถูกขโมย นอกจากนี้ UIH ยังให้บริการ Key Management สำหรับบริหารจัดการกุญแจที่ใช้เข้ารหัสข้อมูลแบบรวมศูนย์ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและข้อบังคับต่างๆ บริการนี้รองรับการเข้ารหัสฐานข้อมูลหลายประเภท เช่น Oracle, IBM DB2, Microsoft SQL Server, MySQL, Sybase และ NoSQL

    เรียนรู้เพิ่มเติมที่: https://www.uih.co.th/en/security-services/data-protection-services/database-encryption

    4. Data Loss Prevention

    บริการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลการเงิน ข้อมูลลูกค้า เอกสารสัญญา ไม่ให้รั่วไหลออกสู่ภายนอกองค์กร โดยเริ่มต้นจากการคัดแยกประเภทของข้อมูล จัดลำดับความสำคัญ กำหนดนโยบายการป้องกันข้อมูลรั่วไหลของข้อมูลแต่ละประเภท ไปจนถึงสกัดกั้นการกระทำที่อาจก่อให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลสู่ภายนอก พร้อมแจ้งเตือนให้ผู้ดูแลระบบขององค์กรทราบ

    เรียนรู้เพิ่มเติมที่: https://www.uih.co.th/en/security-services/data-protection-services/data-loss-prevention

    5. Database Firewall

    บริการสำหรับติดตามและป้องกันการเข้าถึงฐานข้อมูลโดยมิชอบ สามารถติดตามและตรวจสอบการกระทำที่เกิดขึ้นบนฐานข้อมูลทั้งหมด รวมไปถึงจัดเก็บในรูปของ Audit Log เพื่อดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย้อนหลังได้ นอกจากนี้ยังสามารถบริหารจัดการสิทธิ์ในการเข้าถึงฐานข้อมูล ติดตามการใช้สิทธิ์ในระดับสูง และมีการแจ้งเตือนแบบ Rule-Based หรือ Heuristic-Based เมื่อมีการละเมิดนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยของฐานข้อมูลตามที่องค์กรกำหนดได้

    เรียนรู้เพิ่มเติมที่: https://www.uih.co.th/en/security-services/data-protection-services/database-firewall

    6. Information Rights Management (IRM)

    ปกป้องข้อมูลที่อยู่ในรูปของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น DOCX, XLXS, PPTX, PDF) ที่มีความสำคัญต่อองค์กร รวมไปถึงข้อมูลส่วนบุคคล เมื่อจำเป็นต้องส่งข้อมูลเหล่านั้นออกสู่ภายนอกองค์กร เช่น ส่งให้บริษัทคู่ค้า หรืออัปโหลดขึ้น Public Cloud ซึ่ง IRM นี้ช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดนโยบายการปกป้องข้อมูลผูกติดไปกับเอกสารได้ เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์เปิดดูแก้ไข คัดลอก หรือสั่งพิมพ์เอกสารดังกล่าว ในกรณีที่มีบุคคลอื่นพยายามเข้าถึงเอกสาร จะมีการแจ้งเตือนกลับมายังผู้ดูแลระบบขององค์กรซึ่งสามารถสั่งลบไฟล์แบบรีโมตได้ทันที

    เรียนรู้เพิ่มเติมที่: https://www.uih.co.th/en/security-services/data-protection-services/information-rights-management-irm

    โดยสรุปแล้ว 6 บริการ Data Protection Services ของ UIH ครอบคลุม 5 หลักปฏิบัติสำคัญของ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ดังแสดงตารางด้านล่าง

    บริษัทและองค์กรที่ต้องการดำเนินการปกป้องข้อมูลพนักงานและลูกค้าให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 สามารถขอรับคำปรึกษาและใช้บริการ Data Protection Services ทั้งหมดของ UIH แบบครบวงจรได้ หรือเลือกใช้เฉพาะบางบริการที่บริษัทตนเองยังขาดอยู่ได้ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://cybersecurity.uih.co.th/

    แนะนำบริการ UIH Smart Collaboration สู้ภัย COVID-19

    สำหรับช่วงที่ฝุ่น PM2.5 และไวรัส COVID-19 เป็นความเสี่ยงในการเดินทางและการนัดพบกันอย่างในขณะนี้ UIH ได้นำเสนอบริการ Smart Collaboration ซึ่งช่วยให้ทั้งพนักงานในองค์กรและลูกค้าสามารถประชุมออนไลน์ระยะไกล ไม่ว่าจากสถานที่ เวลา หรืออุปกรณ์ใดก็ได้ ที่สำคัญคือบริการดังกล่าวตั้งอยู่บนโครงข่ายสื่อสารความเร็วระดับเทราบิตของ UIH จึงมั่นใจในความรวดเร็วของการรับส่งภาพ เสียง วิดีโอ และไฟล์ข้อมูลในการติดต่อสื่อสาร

    Smart Collaboration ของ UIH ประกอบด้วยบริการ 3 รูปแบบ ได้แก่

    • Video Conference – ระบบการประชุมทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ช่วยให้ผู้ใช้งานที่อยู่ต่างสถานที่กันสามารถประชุมเสมือนอยู่ในสถานที่เดียวกัน โต้ตอบกันได้แบบเรียลไทม์ รองรับการประชุมทั้งภาพ เสียง รับส่งไฟล์ และแสดง Presentation ได้ ใช้งานสะดวก คุ้มค่า

    • Web Conference – บริการระบบประชุมทางไกลออนไลน์ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจาก UIH เพื่อให้การสื่อสารระยะไกลเป็นเรื่องง่าย สะดวก ประหยัดค่าใช้จ่าย และลดอันตรายจากการเดินทาง รองรับผู้เข้าร่วมประชุมพร้อมกันได้มากถึง 1,000 คน สามารถนัดหมายล่วงหน้า และบันทึกการประชุมเพื่อดูย้อนหลังได้

    • Virtual PBX – บริการเครือข่ายโทรศัพท์สำหรับองค์กรผ่านโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว โดยที่คุณไม่ต้องลงทุนติดตั้งตัวอุปกรณ์ตู้สาขา รองรับการเชื่อมต่อแบบ SIP Trunk จากผู้ให้บริการเลขหมาย และทำการประชุมสายได้ ใช้งานง่ายเหมือนโทรศัพท์ทั่วไป

    เรียนรู้เพิ่มเติมที่: https://www.uih.co.th/th/news-promotions/uih-smart-collaboration

    ผู้ที่สนใจใช้บริการ Data Protection Services และ Smart Collaboration ของ UIH สามารถติดต่อฝ่ายขายที่ดูแลคุณหรือฝ่ายการตลาดได้ที่เบอร์ 0-2016-5000 หรืออีเมล [email protected]

    ]]>
    Wed, 18 Mar 2020 02:35:40 +0000
    <![CDATA[หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ แนะวิธีใช้งาน VPN อย่างมั่นคงปลอดภัย]]> https://encom.co.th/blog/2003018-1/ สำหรับในสถานการณ์การทำงานจากที่บ้านนี้ VPN คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นหน่วยงานด้าน Cybersecurity ของสหรัฐฯ หรือ CISA จึงได้ออกคำแนะนำเพื่อให้องค์กรได้นำไปปฏิบัติตามกันครับ

    ในวิกฤตก็ย่อมนำมาซึ่งวิกฤตจากแฮ็กเกอร์ด้วยเช่นกัน โดยคนร้ายเองก็จ้องโจมตีกลุ่มผู้ใช้งานแบบรีโมต เช่นเจาะช่องโหว่เซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ได้แพตช์หรือหลอกขโมย Credential ของพนักงานไปดื้อๆ ทั้งนี้ทาง CISA ได้แนะนำวิธีการป้องกันตัวขององค์กรเบื้องต้นไว้ดังนี้

    • รักษาโครงข่ายให้มั่นคงปลอดภัยด้วยการหมั่นอัปเดตอุปกรณ์ระบบเครือข่ายและอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานจากทางไกล

    • เตือนพนักงานให้ทราบถึงความเสี่ยงและรูปแบบของ Phishing ในสถานการณ์โรคระบาด

    • เจ้าหน้าที่ไอทีเองต้องคอยรีวิว Log และตรวจสอบหาภัยคุกคาม รวมถึงพร้อมรับกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดและสามารถกู้คืนระบบได้

    • เปิดใช้ Multi-factors Authentication กับการเชื่อมต่อ VPN และบังคับให้พนักงานใช้รหัสผ่านที่แข็งแรง

    • ทดสอบการจำกัดการเข้าถึงของ VPN โดยวางมาตรการการเข้าถึงด้านสิทธิ์และการใช้ทรัพยากรต่างๆ 

    ก่อนหน้านี้ก็มีการแจ้งเตือนช่องโหว่บนเซิร์ฟเวอร์ VPN ของ Vendor หลายเจ้า (ข่าวเก่าของ TechTalkThai) ดังนั้นองค์กรก็ควรเร่งอัปเดตด้วยครับ

    ที่มา :  https://www.bleepingcomputer.com/news/security/us-govt-shares-tips-on-securing-vpns-used-by-remote-workers/

    ]]>
    Wed, 18 Mar 2020 02:33:38 +0000
    <![CDATA[ประตูตู้ Ecom Rack เป็นกระจกหรืออะคลีลิค]]> https://encom.co.th/blog/CF2003002-03/ เป็นอะคลีลิคใสสีชาหนา 5 mm.

    ]]>
    Mon, 09 Mar 2020 06:02:50 +0000
    <![CDATA[ตู้ 19" Ecom Close Rack ตั้งพื้นแบบปิดมีขนาดเล็กสุดเท่าไหร่]]> https://encom.co.th/blog/CF2003002-02/ ตู้ 19" Ecom Close Rack ตั้งพื้นแบบปิดขนาดเล็กสุดจะมีขนาด 15U ลึก 60 รุ่น CR-6615

     


    Close Rack Dimensions

    Width Over all W = 60.00 cm./(Effective w =45.15 cm.)



    U
    1U=4.445cm

    High (cm.)

    Order NO. of Different Depth (Overall D)/(Effective d) (cm.)

    all

    Eff.

    Depth 60 cm.

    Depth 80 cm.

    Depth 90 cm.

    Depth 100 cm.

    Depth 110 cm.

    H(cm)

    h(cm)
    D=65/
    (d=60)
    D=85/
    (d=80)
    D=95/
    (d=90)
    D=105/
    (d=100)
    D=115/
    (d=110)

    15U

    85

    67

    CR-6615

    CR-6815

    CR-6915

    CR-6015

    CR-6115

    27U

    139

    120

    CR-6627

    CR-6827

    CR-6927

    CR-6027

    CR-6127

    36U

    179

    160

    CR-6636

    CR-6836

    CR-6936

    CR-6036

    CR-6136

    39U

    191.5

    173.5

    CR-6639

    CR-6839

    CR-6939

    CR-6039

    CR-6139

    42U

    205

    187

    CR-6642

    CR-6842

    CR-6942

    CR-6042

    CR-6142

    45U

    218.5

    200

    CR-6645

    CR-6845

    CR-6945

    CR-6045

    CR-6145


    Note : width 800 mm. also available



    ตู้ Close Rack 19”
     เป็น ตู้ RACK คุณภาพสูง เพียบ พร้อมด้วยความปลอดภัย และ ความสะดวกสบายในการใช้งาน โดยมีกุญแจล็อก ประตูด้านหน้า ,ด้านข้าง และด้านหลัง ได้รับการออกแบบโดยวิศวกร ผู้มีความรู้และความชำนาญ โดยใช้บานพับ อลูมิเนียม ขนาดใหญ่เพื่อความแข้งแรงในการใช้งาน และ ยังมีคุณสมบัติดังนี้
    • ออกแบบและผลิตระบบ Knock down system สะดวกและง่ายสำหรับประกอบและเคลื่อนย้าย
    • ผลิตจาก Electro Galvanized Sheet หนา 1.5 mm. เสา โครงและฐาน หนา 2.0 mm. เพื่อความแข็งแรง ฐานล้อ หนา 3.0 mm. ป้องกัน สนิม 100 %
    • ด้านบนของตู้ สามารถติดตั้งพัดลมได้ 1 ถึง 6 ตัว(1x4”, 2x4 ”,3x4”)
    • ภายในตู้สามารถ ติดตั้งหลอด PL.7 W. และ Limit switch ด้านหลังตู้ หลอดไฟจะปิด–เปิด อัตโนมัติเมื่อประตูถูกปิด-เปิด (กรณีสั่งทำพิเศษ)
    • ประตูหน้า บริเวณส่วนกลางเป็น Plastic Acrylic สีชาหนา 5.0 mm. น้ำหนักเบาพร้อมยางกันฝุ่นรอบขอบประตู สามารถกลับด้าน เปลี่ยนแปลงการเปิด ปิด ได้ทั้งซ้าย หรือขวา ด้วยบานพับอลูมิเนียมที่แข็งแรงพร้อมกุญแจล็อค (Turn lock) เพื่อความปลอดภัย
    • ประตูหลังบริเวณส่วนล่างมีช่องระบายอากาศและแผนกันฝุ่น ( Dust – proof filter )พร้อม ยางกันฝุ่นรอบขอบประตู สามารถกลับประตูเปลี่ยนแปลงการ เปิด-ปิด ได้ทั้งซ้าย หรือขวา ด้วยบานพับอลูมิเนียมที่แข็งแรง พร้อมกุญแจล็อค ( Push lock ) เพื่อความปลอดภัย
    • ด้านล่างมีช่องสำหรับเข้าสายพร้อมแผ่นปิดสามารถปรับระยะได้สำหรับป้องกันสัตว์และแมลง 
    • ฝาข้างพร้อมกุญแจล็อค 2 ตัว (Turn lock) ติดตั้ง เข้า- ออก ได้ สะดวกง่ายต่อการบำรุงรักษาอุปกรณ์ภายใน
    • เสาสำหรับติดตั้งอุปกรณ์ผลิตจากเหล็ก Electro Galvanized Sheet Steel หนา 2 mm. มีความแข็งแรง และสามารถปรับระยะได้ตามความลึกของอุปกรณ์
    • บานพับทั้งประตูหน้าหลัง ผลิตจาก Aluminum ขนาดใหญ่ แข็งแรง รับน้ำหนักประตูได้มากเป็นพิเศษ และป้องกันสนิม 100%
    • ขาปรับระดับได้ทั้ง 4มุม แข็งแรงติดตั้งง่าย และล้อ 4ล้อ หมุนได้ 360 องศา เพื่อความสะดวกขณะเคลื่อนย้าย รับน้ำหนักได้ ล้อละ 100 กิโลกรัม
    • ทุกรุ่นของตู้ RACK สมบูรณ์แบบด้วยระบบ Grounding มีสาย Ground เชื่อมบานประตูและฝาข้างทั้งหมด ด้วย Cable Earth Kit
    • จัดเตรียมน๊อต M 6 และ Cage nuts ให้พร้อมกับตู้
    • สีของตู้ทำด้วยระบบ Electro Static สีฝุ่นหนาและทนทาน (Power epoxy coating two –tone with gray and back by Electro-static system for drying to enhance strength)
    • เทียบเท่ามาตรฐาน ANIS/EIA-310D-1992 (Rev.EIA-310-C) ,IEC 60297-1, IEC 60297-2, BS 5954: PART 2, DIN 41494
    • ผลิตจากโรงงานที่ได้การรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2000
    • รับประกันสินค้า 15 ปี (สีและสนิม)

    สั่งซื้อที่นี่ https://www.encom.co.th/close-rack-15u-cr-6615.html

    ]]>
    Mon, 09 Mar 2020 04:40:21 +0000
    <![CDATA[ตู้ 19" Ecom Wall Rack แบบแขวนผนังมีขนาดเล็กสุดเท่าไหร่]]> https://encom.co.th/blog/CF2003002-01/ ตู้ 19” Ecom Wall Rack ขนาดเล็กสุดจะมีขนาด 6U ลึก 40 รุ่น WR-6406

     


    Wall Mount Rack Dimensions

    Width Over all W = 60.00 cm./(Effective w =45.15 cm.)


    U
    1U=4.445cm

    High (cm.)

    Order NO. of Different Depth (Overall D)/(Effective d) (cm.)

    all

    Eff.

    Depth 40.00 cm.

    Depth 50.00 cm.

    Depth 60.00 cm.

    H(cm)

    h(cm)

    D=40.0/(d=37.5)

    D=50.0/(d=47.5)

    D=60.0/(d=57.5)

    6U

    35

    31

    WR-6406

    WR-6506

    WR-6606

    9U

    48.5

    44.5

    WR-6409

    WR-6509

    WR-6609

    12U

    62

    58

    WR-6412

    WR-6512

    WR-6612


    Wall 
    Mount Rack 19 Specification

    ตู้ 
    Wall Mount Rack 19” เป็น ตู้ RACK สำหรับยึดติดผนัง ติดตั้งง่าย สะดวกสบายในการใช้งาน โดยมีกุญแจล็อก ประตูด้านหน้า และด้านข้าง ได้รับการออกแบบโดยวิศวกร ผู้มีความรู้และความชำนาญ มีคุณสมบัติดังนี้

    • ออกแบบและผลิตแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนหน้า กลางและหลัง สะดวกต่อการบำรุงรักษา
    • ผลิตจากเหล็ก Electro Galvanized Sheet Steel หนา1.2 mm. แข็งแรงและกันสนิมได้ 100%
    • เสาสำหรับติดตั้งอุปกรณ์ ผลิตจากเหล็ก Electro Galvanized Sheet Steel หนา 2.0 mm. มีความแข็งแรงและป้องกันสนิมได้ 100%
    • หลังคาติดตั้งพัดลมระบายอากาศได้มากสุดถึง 2 ตัว และมีช่องร้อยสาย Cable ขนาด 9x3 cm. พร้อม Plate ปิด
    • ฝาหน้าบริเวณส่วนกลางเป็น Plastic Acrylic สีชาหนา 5.0 mm. น้ำหนักเบาพร้อมยางกันฝุ่นรอบขอบ ประตู พร้อมบานพับอลูมิเนียมที่แข็งแรงพร้อมกุญแจล็อค(Turn lock)
    • ด้านข้างเจาะรูระบายอากาศโดยรอบ (Perforated slot) พร้อมกุญแจล็อค (Turn lock) และมีช่องร้อยสาย Cable ขนาด 9x3.5 cm. พร้อม Plate ปิด
    • ด้านล่างมีช่องขนาด 10cm.x10cm. พร้อม Plate ปิด หรือติดตั้งพัดลมเพิ่มเติม (กรณีสั่งพิเศษ)
    • Ground system ทุกชิ้น ส่วนเชื่อมต่อถึงกันด้วย Cable Earth Kit
    • จัดเตรียมน๊อต M6 และ Cage nuts ให้พร้อมกับตู้
    • สีของตู้ทำด้วยระบบ Electro Static สีฝุ่นหนาและทนทาน (Power epoxy coating two–tone with gray and back by Electro-static system for drying to enhance strength)
    • เทียบเท่ามาตรฐาน ANIS/EIA-310D-1992(Rev.EIA-310-C),IEC 60297-1,IEC 60297-2, BS 5954: PART 2, DIN 41494
    • ผลิตจากโรงงานที่ได้การรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2000
    • รับประกันสินค้า 15 ปี (สีและสนิม)

    สั่งซื้อที่นี่ https://www.encom.co.th/rack-mount-6u-wr-6406.html

    ]]>
    Mon, 09 Mar 2020 04:24:58 +0000
    <![CDATA[ ตู้ Close Rack Ecom มีกี่รุ่น และมีลักษณะต่างกันอย่างไร]]> https://encom.co.th/blog/CF2002025-06/ มีทั้งหมด 6 รุ่น โดย 5 รุ่นต่อไปนี้ CR-xxxx, CRT-xxxx, CRH-xxxx, FR-xxxx, FRH-xxxx จะมีโครงสร้างภายในและสีเหมือนกันหมด (ตัวตู้เป็นสีครีมขาว ขอบประตูเป็นสีเทาดำ) แตกต่างกันที่ประตูหน้า-ประตูหลังเท่านั้น โดยแต่ละรุ่นมีลักษณะดังนี้

    1. รุ่น CR-xxxx ลักษณะประตูหน้าเป็นเหล็กเจาะฝังแผ่น Acrylic ใสสีชา มีกุญแจแบบ Key Turn Lock  ส่วนประตูหลังเป็นตู้แบบทึบ ด้านล่างมีช่องระบายอากาศและแผ่นกันฝุ่น มีกุญแจแบบ Key Push Lock รุ่นนี้สามารถป้องกันฝุ่นได้เกือบ 100% และระบายอากาศได้ดีในระดับปานกลาง เหมาะสำหรับติดตั้งในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือในห้องที่มีการเปิดแอร์ในขณะที่อุปกรณ์ทำงาน แต่หากจะนำไปติดตั้งในห้องที่ไม่มีการติดแอร์หรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวกนั้น แนะนำให้ติดตั้งพัดลมระบายอากาศและตัววัดอุณหภูมิเพิ่มเติ่ม เพื่อให้อากาศภายในตู้มีการหมุนเวียนตลอดเวลา ช่วยป้องกันไม่ให้อุปกรณ์เสียหายจากการเกิดความร้อน

    2. รุ่น CRT-xxxx ลักษณะประตูหน้าเป็นเหล็กเจาะฝังแผ่น Acrylic ใสสีชา มีรูระบายอกาศแบบ Capsule ด้านข้างทั้ง 2 ข้างของขอบประตูแนวตั้ง มีกุญแจแบบ Key Turn Lock  ส่วนประตูหลังออกแบบให้มีรูระบายอกาศแบบ Capsule ทั้งบาน มีกุญแจแบบ Key Push Lock รุ่นนี้จะระบายอากาศได้ดี เพราะมีรูระบายอากาศ ทำให้อากาศภายในตู้ถ่ายเทได้สะดวก ทำให้อุณหภูมิภายในตู้ไม่ร้อนเกินไป แต่มีข้อเสียที่ไม่สามารถป้องกันฝุ่นได้ ตู้นี้จึงเหมาะสำหรับการติดตั้งในห้อง Server หรือห้องที่มีประตูปิดมิดชิดสามารถป้องกันฝุ่นได้

    3. รุ่น CRH-xxxx ลักษณะประตูหน้าเป็นเหล็กเจาะฝังแผ่น Acrylic ใสสีชา มีรูระบายอกาศแบบ Capsule ด้านข้างทั้ง 2 ข้างของขอบประตูแนวตั้ง มีกุญแจแบบ Key Handle Lock  ส่วนประตูหลังออกแบบให้มีรูระบายอกาศแบบ Capsule ทั้งบาน มีกุญแจแบบ Key Handle Lock เช่นกัน บานประตูจะเหมือนกับรุ่น CRT-xxxx ต่างกันแค่กุญแจประตูเท่านั้น ตู้รุ่นนี้จะระบายอากาศได้ดี เพราะมีรูระบายอากาศ ทำให้อากาศภายในตู้ถ่ายเทได้สะดวก ทำให้อุณหภูมิภายในตู้ไม่ร้อนเกินไป แต่มีข้อเสียที่ไม่สามารถป้องกันฝุ่นได้ ตู้นี้จึงเหมาะสำหรับการติดตั้งในห้อง Server หรือห้องที่มีประตูปิดมิดชิดสามารถป้องกันฝุ่นได้

    4. รุ่น FR-xxxx ลักษณะประตูหน้า-ประตูหลังออกแบบให้มีรูระบายอกาศแบบ Capsule ทั้งบาน ประตูหน้ามีกุญแจแบบ Key Turn Lock  ส่วนประตูหลังมีกุญแจแบบ Key Push Lock รุ่นนี้จะระบายอากาศได้ดีที่สุด เพราะมีรูระบายอากาศเป็นจำนวนมาก ทำให้อากาศภายในตู้ถ่ายเทได้สะดวก ทำให้อุณหภูมิภายในตู้ไม่ร้อนเกินไป แต่มีข้อเสียที่ไม่สามารถป้องกันฝุ่นได้ จะมีฝุ่นเข้าไปในตู้ได้ง่ายมาก ตู้นี้จึงเหมาะสำหรับการติดตั้งในห้อง Server หรือห้องที่มีประตูปิดมิดชิดสามารถป้องกันฝุ่นได้

     

    5. รุ่น FRH-xxxx ลักษณะประตูหน้า-ประตูหลังออกแบบให้มีรูระบายอกาศแบบ Capsule ทั้งบาน ประตูหน้า-ประตูหลังมีกุญแจแบบ Key Hendle Lock บานประตูจะเหมือนกับรุ่น FR-xxxx ต่างกันแค่กุญแจประตูเท่านั้น รุ่นนี้จะระบายอากาศได้ดีที่สุด เพราะมีรูระบายอากาศเป็นจำนวนมาก ทำให้อากาศภายในตู้ถ่ายเทได้สะดวก ทำให้อุณหภูมิภายในตู้ไม่ร้อนเกินไป แต่มีข้อเสียที่ไม่สามารถป้องกันฝุ่นได้ จะมีฝุ่นเข้าไปในตู้ได้ง่ายมาก ตู้นี้จึงเหมาะสำหรับการติดตั้งในห้อง Server หรือห้องที่มีประตูปิดมิดชิดสามารถป้องกันฝุ่นได้

     

    ***ทั้ง 5 รุ่นข้างต้น กรณีต้องการสีดำ รบกวนรอสินค้า 30 วันทำการ*** และรุ่นสุดท้าย 

    6. รุ่น CP-xxxx ลักษณะจะแตกต่างกับทั้ง 5 รุ่นที่ผ่านมา คือ ตัวตู้จะเป็นสีดำ ประตูหน้ามีลักษณะโค้งมีรูระบายอากาศ (รูขนาด 4 mm., พิท 4.8 mm.) ประตูหลังมีรูระบายอากาศ (รูขนาด 4 mm., พิท 4.8 mm.) และถูกออกแบบให้เปิดได้ 2 บาน โดยเปิดจากกลางประตู เพื่อลดพื้นที่การเปิดประตู ประตูหน้า-ประตูหลังมีกุญแจแบบ Key Hendle Lock รุ่นนี้จะระบายอากาศได้ดีที่สุด เพราะมีรูระบายอากาศเป็นจำนวนมาก ทำให้อากาศภายในตู้ถ่ายเทได้สะดวก ทำให้อุณหภูมิภายในตู้ไม่ร้อนเกินไป แต่มีข้อเสียที่ไม่สามารถป้องกันฝุ่นได้ จะมีฝุ่นเข้าไปในตู้ได้ง่ายมาก ตู้นี้จึงเหมาะสำหรับการติดตั้งในห้อง Server หรือห้องที่มีประตูปิดมิดชิดสามารถป้องกันฝุ่นได้ 

     

    ***รุ่น CP-xxxx รอสินค้าประมาณ 45 วันทำการ กรณีต้องการสีครีมขาวโปรดระบุ

     

    ]]>
    Mon, 09 Mar 2020 04:16:46 +0000
    <![CDATA[ปลั๊กไฟ Ecom แตกต่างจากปลั๊กไฟทั่วไปอย่างไร]]> https://encom.co.th/blog/CF2002025-01/

    แตกต่างกันที่ปลั๊กไฟ Ecom ผลิตจากเหล็ก Electro-galvanized มีความแข็งแรงทนทาน ป้องกันสนิมได้ 100% ทนกระแสไฟได้ 15A และ 32A มีสวิทซ์เปิด-ปิด พร้อมไฟแสดงสถานะการทำงาน โดยสายไฟมีขนาด 14AWG ความยาว 1.5 เมตร และ 3 เมตร พร้อมปลั๊ก 3 ขา อีกทั้งยังมีเบรกเกอร์ในตัวช่วยป้องกันไฟตก ไฟกระชาก มีระบบป้องกันไฟรั่วเพื่อความปลอดภัย และช่วยยืดอายุการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ นอกจากนั้นยังถูกออกแบบให้สามารถติดตั้งภายในตู้ Rack 19" ได้อีกด้วย และมีจำนวนช่องเสียบให้เลือกหลายขนาด ตั้งแต่ 4 ช่องเสียบ ถึง 20 ช่องเสียบเลยทีเดียว โดยขนาด 4 ช่องเสียบจะมีสายไฟยาว 1.5 เมตร และขนาด 6-20 ช่องเสียบ จะมีสายไฟยาว 3 เมตร 

     

    ]]>
    Mon, 09 Mar 2020 03:07:11 +0000
    <![CDATA[Google ออกบริการฟรี ‘FuzzBench’ สำหรับวัดประสิทธิภาพของ Fuzzer]]> https://encom.co.th/blog/2003009-5/ Google ได้ปล่อย FuzzBench หรือบริการโอเพ่นซอร์สสำหรับประเมินประสิทธิภาพของ Fuzzer เพื่อตอบโจทย์ในด้านของงานวิจัยในงานด้าน Fuzzing

    credit : github.com/google/fuzzbench

    Fuzzing คือเทคนิคในการทดสอบซอฟต์แวร์เพื่อหา Bug ส่วน Fuzzer คือเครื่องมือที่ใช้เพื่อหา Bug ของซอฟต์แวร์ 

    โดยประเด็นคือทาง Google มองว่างานวิจัยด้าน Fuzzing ยังขาดคุณภาพหรือมี Cost ในการทดสอบสูง เช่นข้อจำกัดทางด้านชุดข้อมูล หรือ Resource ที่ต้องใช้ในการทำ Benchmark คุณภาพของวิธีการ ซึ่ง Google อยากทำให้เกิดการเปรียบเทียบที่มีผลใช้ได้กับโปรแกรมทั่วไป ด้วยเหตุนี้เองจึงเปิดบริการ FuzzBench ให้ผู้สนใจได้มาใช้งานฟรี ซึ่งทาง Google คุยว่าได้เปิด API ที่ต้องเพิ่มโค้ดเพื่อใช้งานแค่ไม่เกิด 50 บรรทัด รวมถึงจะสามารถออกรายงานผลเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ Fuzzer ที่คล้ายกัน พร้อมกับวิเคราะห์เรื่องจุดแข็งจุดอ่อน

    นอกจากนี้ Google ยังได้ Integrate Fuzzer เข้ามามากกว่า 250 โปรเจ็ค เช่น AFL, LibFuzzer, Honggfuzz รวมถึงเครื่องมือจากฝั่งภาคการศึกษาเช่น QSYM และ Eclipser เป็นต้น อย่างไรก็ตาม Google ยังเล็งที่จะสร้าง Community ด้านนี้ให้ใหญ่ขึ้นด้วยการเชิญสมาชิกทีมงานวิจัยที่สนใจในเรื่อง Fuzzing เข้ามา ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ GitHub

    ที่มา :  https://www.securityweek.com/google-launches-free-fuzzer-benchmarking-service

    ]]>
    Mon, 09 Mar 2020 02:54:57 +0000
    <![CDATA[เตือนเว็บไซต์ที่ยังใช้ TLS 1.0 และ 1.1 ให้เปลี่ยนไปใช้ TLS 1.2 ขึ้นไป]]> https://encom.co.th/blog/2003009-4/ สำหรับเจ้าของเว็บไซต์รายใดที่ยังอาศัยโปรโตคอล TLS 1.0 และ 1.1 ในการเข้ารหัสข้อมูล ทาง Zdnet ได้แนะนำให้รีบอัปเดตเป็น TLS 1.2 หรือ 1.3 ก่อนถูก Browser หลายเจ้าจะแสดงหน้า Error ในสิ้นเดือนนี้

    chrome, credit : Zdnet

    TLS 1.0 และ 1.1 เป็นโปรโตคอลเก่ากว่า 10 ปีที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่มั่นคงปลอดภัยเพียงพอ ทำให้คนร้ายอาจถอดรหัสข้อมูลได้ ด้วยเหตุนี้เองเจ้าตลาดยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Google, Apple และ Firefox จึงเป็นแกนนำผลักดันการยกเลิกใช้โปรโตคอลดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้ว โดยเริ่มต้นจากการแสดง Not Secure มาตั้งแต่ปีที่แล้วหลัง TLS 1.3 ออกมาในปี 2018

    ล่าสุดสิ้นเดือนนี้หรือตามแผนของทั้ง Chrome 81, Firefox 74 และ Safari จะเริ่มบังคับงดใช้ TLS 1.0 และ 1.1 ด้วยการแสดงหน้า Error ดังภาพประกอบด้านบน จึงเตือนให้เจ้าของเว็บไซต์ได้อัปเดตเว็บไซต์ของตนเอง ซึ่งพบว่ายังมีเว็บไซต์อีกกว่า 850,000 แห่งที่ยังไม่ได้อัปเดตครับ

    ที่มา :  https://www.zdnet.com/article/browsers-to-block-access-to-https-sites-using-tls-1-0-and-1-1-starting-this-month/

    ]]>
    Mon, 09 Mar 2020 02:54:19 +0000
    <![CDATA[Microsoft เปิด Office 365 E1 ใช้ฟรี 6 เดือน เหตุจาก Covid-19]]> https://encom.co.th/blog/2003009-3/ และแล้ว Microsoft ก็เป็นอีก 1 รายที่เปิดให้ใช้ บริการประชุมออนไลน์อย่าง Teams และอื่นๆ ฟรี 6 เดือนซึ่งอยู่ในแพ็กเกจ E1 ตอบสนองเหตุการณ์ของ Covid-19

    Office 365 E1 ประกอบด้วย Exchage, OneDrive, SharePoint, Teams, Yammer และ Stream สำหรับผู้สนใจต้องไม่ได้เป็นลูกค้าในกลุ่ม Edu หรือหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ (GCC, GCC High, DoD) และต้องเป็นองค์กรไม่เคยใช้งาน Trail Office 365 E1 มาก่อนเลย อย่างไรก็ตามผู้สนใจสามารถลงทะเบียนรับสิทธิได้ที่นี่ https://aka.ms/TeamsforThailand

    ที่มา : https://docs.microsoft.com/en-us/microsoftteams/e1-trial-license

    ]]>
    Mon, 09 Mar 2020 02:53:27 +0000
    <![CDATA[Fortinet เปิดตัว FortiAI ใช้ Deep Neural Networks ตรวจจับภัยคุกคามอัตโนมัติ]]> https://encom.co.th/blog/2003009-2/

    Fortinet ประกาศเปิดตัว FortiAI ซึ่งเป็น Self-learning Artificial Intelligence Appliance ที่ใช้เทคโนโลยี Deep Neural Networks (DNN) เพิ่มความสามารถในการตรวจจับและรับมือกับภัยคุกคามระดับสูงโดยอัตโนมัติ และมาพร้อมกับคุณสมบัติ Virtual Security Analyst™ ซึ่งช่วยจัดการกับงานด้านความมั่นคงปลอดภัยที่เหล่านักวิเคราะห์ต้องเสียเวลาทำด้วยตนเอง ลดภาระของฝ่าย Security ให้สามารถไปโฟกัสกับงานด้านความมั่นคงปลอดภัยที่สำคัญกว่าอย่างอื่นได้แทน

    Deep Neural Networks ของ Fortinet ใช้แนวคิดการจำลองสมองของมนุษย์ในการตัดสินปัญหาที่มีความซับซ้อนโดยใช้กระบวนการเชิงวิทยาศาสตร์ มีจุดเด่นที่คุณสมบัติ Self-learning ช่วยให้สามารถเรียนรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนระบบเครือข่ายขององค์กรแล้วนำสิ่งที่เรียนรู้นั้นมาช่วยให้การตัดสินใจตรวจจับภัยคุกคามมีความรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น

    เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยปฏิวัติการรักษาความมั่นคงปลอดภภัยไซเบอร์ขององค์กร 3 ประการสำคัญ ดังต่อไปนี้

    1. เปลี่ยนการตรวจจับและจำแนกภัยคุกคามที่ปกติต้องเสียเวลาตรวจสอบด้วยตนเอง ให้เป็นการทำงานโดยอัตโนมัติแบบเรียลไทม์ ลดความเสี่ยงในการเกิด Data Breach และ Security Incident อันเนื่องมาจากการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ช้าจนเกินไป

    2. พลิกโฉมกระบวนการรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้พร้อมตรวจจับและรับมือกับการโจมตีอย่างทันท่วงที โดยอาศัยคุณสมบัติ Virtual Security Analyst™ ของ FortiAI ในการวิเคราะห์คุณลักษณะของภัยคุกคามและตัดสินใจอย่างแม่นยำเพื่อเพิ่มความเร็วในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    3. ปรับจูน Threat Intelligence เพื่อลด False Positive ผ่านทางการเรียนรู้เทคนิคใหม่ของแฮ็กเกอร์และมัลแวร์ แล้วปรับตัวให้พร้อมรับการโจมตีรูปแบบใหม่เหล่านั้นทันที

    FortiAI ให้บริการในรูปของ On-premise Appliance ทำให้เหมาะกับการใช้งานในองค์กรที่เข้มงวดเรื่องกฎหมายและข้อบังคับ หรือมีข้อจำกัดในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เช่น หน่วยงานรัฐ, โรงงานอุตสาหกรรม, ธนาคาร และองค์กรขนาดใหญ่อื่นๆ คาดว่า FortiAI จะเริ่มให้บริการในประเทศไทยเร็วๆ นี้

    ผู้ที่สนใจ FortiAI สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.fortinet.com/products/fortiai.html

    ที่มา: Fortinet Thailand User Group

    ]]>
    Mon, 09 Mar 2020 02:49:27 +0000
    <![CDATA[รู้จักกับ HPE Synergy หัวใจสำคัญสู่การทำ Data Center Automation อย่างเต็มตัวสำหรับธุรกิจองค์กร]]> https://encom.co.th/blog/2003009-1/

    ปัจจุบันนี้ทุกๆ คนคงจะรู้จักกับเทคโนโลยี Hyperconverged Infrastructure กันเป็นอย่างดี แต่ในอนาคตเทคโนโลยีที่จะเข้ามาทดแทนและเติมเต็มอย่าง Composable Infrastructure นั้นก็ยังถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับหลายๆ คน บทความนี้เราจะแนะนำเทคโนโลยี Composable Infrastructure และ HPE Synergy ให้ทุกท่านได้รู้จักกันครับ

    Composable Infrastructure ผสานจุดแข็งของระบบ Traditional Infrastructure แต่ถูกออกแบบใหม่ให้ทรัพยากรของ Infrastructure ไม่ว่าจะเป็น Compute, Storage และ Fabric ให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยน Configurationได้ง่าย ควบคุมด้วย Software-defined Management ช่วยลดความยุ่งยาก ทำให้ Physical Infrastructure สามารถบริหารจัดการได้ง่ายเหมือนบริหารจัดการ VM และรวดเร็วเหมือนขอใช้บริการจาก Cloud รองรับ Workload ได้ทุกประเภท ทั้งแบบ Bare Metal, Virtualization หรือ Workload ใหม่ๆอย่าง Container ได้อย่างง่ายดาย รองรับการทำ Automation ร่วมกับ Solution ต่างๆ อาทิเช่น VMware vSphere, vSAN, VCF หรือ Red Hat OpenShift ให้คุณสามารถ Scale up หรือ Scale down ในส่วน Infrastructure Resources ได้สอดคล้องกับงานของคุณ ช่วย Transform เป็น Infrastructure as a Code


    Credit: HPE

    แนวคิดของ Composable Infrastructure นี้เป็นแนวคิดที่พัฒนาเพื่อเป็นเทคโนโลยีในยุคถัดไปเพื่อให้รองรับ Workload ได้ทุกประเภท แตกต่างจากจาก Hyperconverged Infrastructure หรือ HCI ที่ผสานรวมเอา Compute, Storage, Network เข้าด้วยกันด้วยการใช้ Virtualization เป็นเทคโนโลยีหลัก

    ถึงแม้ HCI นั้นจะเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับในตลาดและเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ในการใช้งานจริงนั้น HCI เองก็มักจะมีประเด็นปัญหาด้านการใช้ทรัพยากรให้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จากการที่การประมวลผลทั้งหมดต้องทำงานผ่าน Hypervisor และการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดนั้นต้องผ่าน Software-Defined Storage นั่นเอง อีกทั้ง HCI เองก็มักมีข้อจำกัดด้านการเพิ่มขยายระบบ ที่มักมีเงื่อนไขต่างๆ หรือต้องมีการจัดซื้อ Hardware ในส่วนที่ยังไม่ต้องใช้งานล่วงหน้ามาก่อน อีกทั้งหากต้องการขยายระบบขนาดใหญ่มาก HCI ก็อาจไม่ตอบโจทย์ได้

    แนวคิดของ Composable Infrastructure จึงถูกออกแบบให้แก้ไขปัญหาของ HCI ด้วยการรองรับการใช้งานได้ทั้งแบบ Bare Metal และ Virtualization ไปพร้อมๆ รวมถึง Container กันในระบบเดียว โดยเชื่อมรวม Hardware ทั้งในส่วนของ Compute, Storage, Network เข้าด้วยกันผ่าน Fabric และบริหารจัดการได้แบบ Automation เพื่อให้ผู้ดูแลระบบ Data Center สามารถทำการ Provision เครื่อง Server ขึ้นมาเองได้ตามต้องการ

    การใช้ Composable Infrastructure นี้จึงทำให้ธุรกิจองค์กรมีทางเลือกในการใช้งาน Hardware ของตนเองได้อย่างอิสระ และไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายด้าน License ของ Hypervisor เสมอไป ส่งผลให้การเลือกใช้งานเทคโนโลยีอย่างเช่น Container นั้นสามารถใช้งานบน Bare Metal Server ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ในขณะที่บางระบบ Application ที่เหมาะสมกับ Virtualization ก็สามารถติดตั้งใช้งานบน Hypervisor ได้ และในอนาคตหากต้องการปรับเปลี่ยนทรัพยากรสำหรับแต่ละระบบ ก็สามารถนำทรัพยากรมาคืนส่วนกลางและจัดสรรใหม่ได้ตามต้องการอยู่ตลอด

    HPE Synergy: โซลูชัน Composable Infrastructure สำหรับ Data Center แห่งอนาคต


    Credit: HPE

    HPE นั้นถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายแรกๆ ที่นำเสนอเทคโนโลยี Composable Infrastructure สู่ตลาดธุรกิจองค์กรตั้งแต่ปี 2016 ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะนำเสนอ Software-Defined Data Center ที่แท้จริงที่ Software จะสามารถบริหารจัดการได้ถึงระดับการจัดสรร Hardware เพื่อให้ธุรกิจองค์กรนั้นมีทางเลือกในการบริหารจัดการ Data Center ที่ง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก โดยความสามารถที่โดดเด่นของ HPE Synergy มีดังต่อไปนี้

    Provision Server ได้ถึงระดับ Physical ตอบโจทย์ทุก Workload ในหนึ่งเดียว

    ภายใน HPE Synergy นี้มีส่วนประกอบหลักๆ ได้แก่

    • HPE Synergy 12000 Frame เป็นโครงหลักของระบบ HPE Synergy สำหรับติดตั้ง Hardware ต่างๆ พร้อมระบบบริหารจัดการภายใน และเชื่อมต่อกับ Frame ชุดอื่นๆ เพื่อทำการ Scale-Out และบริหารจัดการร่วมกันจากศูนย์กลางได้

    • HPE Synergy Compose โซลูชันที่ผสานนำเครื่องมือในการบริหารจัดการและการทำ Automation ที่หลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถทำการบริหารจัดการและดูแลรักษาการทำงานของระบบได้จากศูนย์กลาง

    • HPE Synergy Image Streamer ระบบสำหรับ Deploy และ Update OS และ Application Image ไปยัง Server ที่ทำการ Provision ขึ้นมาจากการจัดสรรทรัพยากรภายในโดยอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว

    • HPE Synergy D3940 Storage Module ระบบ Direct Attached Storage (DAS) สำหรับนำไปจัดสรรและเชื่อมต่อเข้ากับ Compute Resource ภายใน HPE Synergy เพื่อรองรับ Workload ในรูปแบบต่างๆ ได้ตามต้องการ

    • HPE Synergy Fabric ระบบ Multi-Fabric สำหรับรับส่งข้อมูลภายใน HPE Synergy Frame สูงถึง 100GbE ต่อ Compute ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วน Top-of-Rack (TOR) Switch เพื่อเชื่อมต่อระหว่างเครื่องแม่ข่ายที่อยู่ใน Synergy Frame

    เมื่อนำส่วนประกอบทั้งหมดเหล่านี้มาทำงานด้วยกัน ผู้ดูแลระบบก็จะสามารถทำการจัดสรร Compute, Storage, Network ให้กับ Physical Server ภายใน HPE Synergy และทำการติดตั้งหรืออัปเดตระบบปฏิบัติการหรือ Application ต่างๆ ได้แบบอัตโนมัติ ลดภาระในการดูแลรักษา Server ลงไปมากทีเดียว เสมือนการจัดการ VM

    ทั้งนี้หากในอนาคตนั้นมีการเพิ่มขยายระบบ HPE Synergy ที่รองรับการเชื่อมต่อ Fabric ในหลาย Frame เข้าถึงกันได้ ก็สามารถเพิ่มขยายระบบได้แบบ Scale-Out โดยไม่ต้องทิ้ง Hardware เดิม และยังคงสามารถบริหารจัดการร่วมกันจากศูนย์กลางได้อย่างง่ายดาย

    รวดเร็วและง่ายดาย ด้วยการทำ Automation ในระดับ Software-Defined ใช้งานด้วยประสบการณ์เดียวกับ Cloud


    Credit: HPE

    ความง่ายดายในการใช้งานและการเพิ่มขยายระบบนั้นถือเป็นหัวใจของ HPE Synergy เลยทีเดียว โดย HPE Synergy นี้ถูกออกแบบให้การ Provision Server นั้นมีความง่ายดายในระดับเดียวกับการใช้ Cloud ที่ผู้ใช้งานเพียงแค่เลือกทรัพยากรด้าน Compute, Storage และ Network ตามต้องการ พร้อมเลือกติดตั้ง OS หรือ Application เพียงเท่านี้ระบบของ HPE Synergy ก็จะจัดการทุกอย่างให้แบบอัตโนมัติ พร้อมใช้งานในระยะเวลาไม่กี่นาที

    HPE ได้ทำการเปรียบเทียบว่าหากใช้ HPE Synergy ในการรองรับระบบ Application ของธุรกิจองค์กร เทียบกับ Rack Server ทั่วๆ ไปแล้ว HPE Synergy จะช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการจัดการกับ IT Infrastructure ลงได้ถึงประมาณ 17-18 เท่าเลยทีเดียว

    ทั้งนี้ด้วยการทำงานของ HPE Synergy ที่เลือกได้ว่าจะใช้ Virtualization หรือไม่ก็ได้ ก็ทำให้การ Provision Server มีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น อีกทั้งด้วย HPE Synergy Image Streamer ก็ทำให้การจัดการกับ Image สำหรับใช้ในการ Deploy หรือ Update นั้นสามารถทำได้ด้วยตนเอง ไม่มีข้อจำกัดอย่างที่เคยเผชิญบนระบบ Cloud

    ผสานระบบ DevOps และ Cloud ได้ถึงระดับ Hardware


    Credit: HPE

    อีกคุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญมากของ HPE Synergy นี้ก็คือการที่ระบบถูกออกแบบให้ทำงานแบบ Programmable ได้ 100% ทำให้สามารถสร้าง Template ขึ้นมารองรับการบริหารจัดการทรัพยากรภายใน HPE Synergy แบบอัตโนมัติได้อย่างครอบคลุม อีกทั้งยังมี API สำหรับเชื่อมต่อกับ Open Source Software ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Ansible, Chef, Docker, Puppet หรือ OpenStack ทำให้การทำ DevOps นั้นมีทางเลือกในการใช้งานเทคโนโลยีได้หลากหลายสำหรับ Infrastructure-as-Code

    นอกจากนี้ HPE Synergy เอง ก็ยังสามารถทำงานร่วมกับโซลูชันอื่นๆ สำหรับธุรกิจองค์กรได้เป็นอย่างดี ทั้ง VMware, Microsoft, Micro Focus, Red Hat, SUSE, EATON, ServiceNow, ABB, Schneider, F5 และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้การผสานรวมระบบเพื่อทำ Automation สำหรับการตอบโจทย์ระบบ Private Cloud ภายในองค์กรนั้นเป็นไปได้อย่างง่ายดายด้วย HPE OneView

    คุ้มค่ากว่า หากประเมินในระยะยาว

    สำหรับระบบ Data Center ขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนและต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน HPE Synergy สามารถตอบโจทย์ทั้งหมดเหล่านี้ได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าโซลูชันอื่นๆ 6-9% จากการนำความสามารถด้าน Automation เข้ามาใช้เพื่อช่วยลดภาระของเจ้าหน้าที่ฝ่าย IT และลดเวลาในการทำงานลง

    จุดหนึ่งที่ HPE Synergy จะเข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมากนั้น ก็คือการทำให้ธุรกิจองค์กรมี Data Center ที่สามารถดูแลรักษาได้ง่าย รองรับได้หลากหลาย Workload บน Infrastructure เดียว ช่วยให้ธุรกิจองค์กร ปรับการลงทุนให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี ลดค่าใช้จ่ายบางส่วนในการ Virtualization ทำให้ในระยะยาวค่าใช้จ่ายทางด้าน Hypervisor นั้นจะลดลงอย่างมหาศาล อีกทั้ง Application สมัยใหม่ที่มักใช้ Bare Metal Hardware ก็สามารถนำมาใช้งานบน HPE Synergy โดยไม่ต้องลงทุนซื้อ Hardware แยก หรือสามารถปรับเปลี่ยน Resource ให้สอดคล้องได้กับ Workload ได้ง่ายๆและรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนของ Top-of-Rack Switch ได้อย่างเห็นได้ชัด

    เริ่มต้นใช้งาน HPE Synergy ได้ทันที ด้วยโปรโมชันราคาพิเศษจาก Metro Connect เริ่มต้นเพียง 1.865 ล้านบาท


    เพื่อให้ธุรกิจองค์กรสามารถเริ่มต้นใช้งาน Composable Infrastructure ได้อย่างง่ายดาย ทาง HPE จึงได้ร่วมกับ Metro Connect จัดโปรโมชันราคาพิเศษที่รวมเอา HPE Synergy ที่ออกแบบมาให้เป็น vSAN Ready รองรับการติดตั้ง VMware vSAN เพิ่มเติมได้ทันทีหากต้องการ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.865 ล้านบาท โดยภายในโปรโมชันจะครอบคลุมถึง Hardware ดังต่อไปนี้

    • 1x HPE Synergy 12000 Frame

      • 2x HPE Synergy Composer 2

      • 2x HPE Virtual Connect 100Gb F32 Module

    • 3x HPE SY480 Gen10 Compute Module

      • 2x XEON 4210 (2.2GHz/10-Core)

      • 64GB RAM

      • 1x 800GB WI 12G SAS Enterprise 10k SSF

      • 4x 1.8TB 10k SAS SFF

      • 2x 25Gb Dual Port Converged Network Adapter

    • 1x D3940 12Gb SAS Drive Enclosure (up to 40 SFF)

    ในชุดโปรโมชันนี้ HPE Synergy จะยังคงเหลือพื้นที่สำหรับติดตั้ง Server ภายในเพิ่มเติมได้อีกถึง 7 เครื่อง เพื่อรองรับการเพิ่มขยายในอนาคตได้

    สนใจโซลูชันของ HPE ติดต่อ Metro Connect

     

    ]]>
    Mon, 09 Mar 2020 02:45:29 +0000
    <![CDATA[จีนหยุดการระบาด COVID-19 ได้สำเร็จ - จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้]]> https://encom.co.th/blog/covid-19/ ออกตัวก่อนว่าบทความนี้ไม่ได้เป็นเขียนเอง แต่แปลมาจากภาษาอังกฤษ พอดีมีคนส่งลิ้งค์สรุปรายงานของ WHO มาให้ เลยคิดว่าถ้านำมาเผยแพร่เป็นภาษาไทยก็น่าจะดี

    ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

    ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

    บทความต้นฉบับ ซึ่งบทความนี้สรุปเนื้อหาจากรายงานของ WHO อีกทีนึง
    https://www.reddit.com/…/the_who_sent_25_international_ex…/…

    ข้างล่างนี้คือฉบับแปล พยายามเกลาให้เป็นภาษาคนที่สุดแล้ว แต่คง comma (,) กับ period (.) ไว้เพราะมันช่วยให้แยกประโยคได้ง่าย คนที่ไม่คุ้นกับ Grammar ภาษาอังกฤษอาจจะงงนิดหน่อยนะ (ประโยคที่อยู่หลัง comma จะเป็นส่วนขยายคำหรือประโยคที่อยู่ก่อนหน้า)

    ----------------------------------------------

    องค์การอนามัยโลก (WHO) ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญ 25 คนจากหลายประเทศไปยังประเทศจีน หลังจากใช้เวลา 9 วัน (16-24 ก.พ. 2020) ทีมผู้เชี่ยวชาญมีข้อค้นพบดังนี้

    WHO ได้ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศไปยังประเทศจีนเพื่อตรวจสอบสถานการณ์, ซึ่งรวมถึงนาย Clifford Lane, ผู้อำนวยการคลินิกที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (US National Institutes of Health), ด้วย. หลังจากที่ทีมได้ไปเยือนปักกิ่ง, อู่ฮั่น, เซินเจิ้น, กวางโจว, และเฉิงตู ทางทีมได้แถลงข่าวและออกรายงานต่อไปนี้

    คลิปการแถลงข่าวใน Youtube (ยาว 2:01:18 ชม. Stream เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2020)
    https://www.youtube.com/watch?v=-o0q1XMRKYM

    รายงานขั้นสุดท้ายของคณะกรรมาธิการในแบบ PDF (40 หน้า)
    https://www.who.int/…/who-china-joint-mission-on-covid-19-f…

    รายละเอียดต่อไปนี้คือข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับ COVID-19 ที่ผมยังไม่พบในสื่อต่างๆ:

    • กลุ่มผู้ติดเชื้อที่เกิดขึ้นในจีนนั้นโดยส่วนใหญ่ (78-85%) มักเกิดจากการติดต่อภายในครอบครัวผ่านละอองและพาหะอื่นๆเมื่อมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ. การแพร่เชื้อผ่านละอองลอยขนาดเล็กในอากาศระยะไกลไม่ใช่สาเหตุหลักของการแพร่กระจาย. ในบุคลากรโรงพยาบาลที่ติดเชื้อจำนวน 2,055 คนนั้นส่วนใหญ่ติดเชื้อที่บ้านหรือติดเชื้อในระยะแรกของการระบาดในเมืองอู่ฮั่นในขณะที่ยังไม่มีการยกระดับการป้องกันต่างๆในโรงพยาบาล

    • 5% ของผู้ถูกวินิจฉัยว่าเป็น COVID-19 นั้นจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ (https://en.wikipedia.org/wiki/Artificial_ventilation). อีก 15% จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนเข้มข้นสูง (https://en.wikipedia.org/wiki/Oxygen_therapy) ในการหายใจเป็นเวลานานหลายวัน. ตั้งแต่การเริ่มต้นของโรคจนถึงระยะพักฟื้นนั้นใช้เวลา 3-6 สัปดาห์โดยเฉลี่ยสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและเข้าขั้นวิกฤต (โดยผู้ป่วยไม่รุนแรงนั้นใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์). จำนวนผู้ป่วยรวมถึงระยะเวลาการรักษานั้นเป็นภาระมากเกินกว่าที่ระบบบริการสุขภาพที่มีอยู่ในอู่ฮั่นจะรับได้หลายเท่า. มณฑลหูเป่ย, ที่มีอู่ฮั่นเป็นเมืองหลวง, นั้นจนถึงตอนนี้มีผู้ติดเชื้อ 65,596 คน. เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 40,000 คนถูกส่งจากมณฑลอื่นๆไปยังหูเป่ยเพื่อช่วยจัดการกับโรคนี้. มีโรงพยาบาลทั้งหมด 45 แห่งในอู่ฮั่นที่ให้บริการผู้ป่วย COVID-19, โดย 6 แห่งนั้นดูแลผู้ป่วยในภาวะวิกฤติและ 39 แห่งดูแลผู้ป่วยอาการหนักและผู้ติดเชื้ออายุ 65 ปีขึ้นไป. โรงพยาบาลชั่วคราว 2 แห่งถูกสร้างขึ้นในระยะเวลาไม่นานโดยมีเตียงผู้ป่วยรวม 2,600 เตียง. สำหรับผู้ติดเชื้ออีก 80% ซึ่งมีอาการไม่รุนแรง, มีการปรับโรงยิมและหอจัดแสดงรวม 10 แห่งให้เป็นโรงพยาบาลชั่วคราวเพื่อดูแลผู้ติดเชื้อกลุ่มนี้.

    • จีนสามารถผลิตชุดทดสอบตรวจหาเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ 1.6 ล้านชุดต่อสัปดาห์. การทดสอบนี้ให้ผลตรวจภายในวันเดียวกัน. ทุกคนที่มีไข้ทั่วประเทศเมื่อไปพบแพทย์จะได้รับการตรวจหาไวรัส: ในมณฑลกวางตุ้งที่ห่างจากเมืองอู่ฮั่นนั้นมีการตรวจไปแล้ว 320,000 คนและพบว่า 0.14% เป็นผู้ติดเชื้อไวรัส.

    • ส่วนใหญ่ของผู้ติดเชื้อนั้นจะมีอาการไม่ช้าก็เร็ว. กรณีของคนที่ตรวจพบไวรัสแต่กลับไม่มีอาการในเวลาเดียวกันนั้นหายาก - ส่วนใหญ่จะป่วยในอีกไม่กี่วัน

    • อาการที่พบบ่อยที่สุดคือมีไข้ (88%) และไอแห้ง (68%). อาการที่พบโดยทั่วไป คือ อ่อนเพลีย (38%), ไอมีเสมหะ (33%), หายใจไม่ออก (18%), เจ็บคอ (14%), ปวดหัว (14%), ปวดกล้ามเนื้อ (14%), หนาวสั่น (11%). อาการอื่นที่พบได้แต่ไม่บ่อย คือ คลื่นไส้และอาเจียน (5%), คัดจมูก (5%) และท้องเสีย (4%). น้ำมูกไหลไม่ใช่อาการของ COVID-19

    • การตรวจผู้ติดเชื้อ 44,672 คนในจีน (http://rs.yiigle.com/yufabiao/1181998.htm) นั้นพบว่ามีอัตราการเสียชีวิตที่ 3.4%. การเสียชีวิตนั้นเป็นผลมาจากอายุ, โรคที่เป็นมาก่อน (Pre-Existing Conditions), เพศ, และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการของระบบบริการสุขภาพ. ตัวเลขผู้เสียชีวิตทั้งหมดสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ในจีนจนถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์, และในอนาคตตัวเลขผู้เสียชีวิตในที่อื่นๆนั้นอาจแตกต่างกันอย่างมาก.

    • ระบบบริการสุขภาพ: 20% ของผู้ติดเชื้อในจีนต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายสัปดาห์. ประเทศจีนมีเตียงในโรงพยาบาลเพื่อรักษา 0.4% ของประชากร (https://en.wikipedia.org/…/List_of_OECD_countries_by_hospit…) พร้อมๆกัน - ประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆมีระหว่าง 0.1% และ 1.3% และส่วนใหญ่ของเตียงพวกนี้นั้นถูกใช้สำหรับผู้ที่มีโรคอื่นๆไปเรียบร้อยแล้ว. สิ่งที่สำคัญที่สุดในขั้นแรกคือการจำกัดการแพร่กระจายของไวรัสอย่างจริงจังเพื่อทำให้ผู้ป่วย COVID-19 ที่มีอาการหนักนั้นมีจำนวนน้อย และขั้นที่สองคือการเพิ่มจำนวนเตียง (รวมถึงอุปกรณ์และบุคลากรทางการแพทย์) ให้เพียงพอต่อผู้ป่วยที่มีอาการหนัก. ประเทศจีนยังได้ทดสอบวิธีการรักษาอื่นๆและวิธีการรักษาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดนั้นได้ถูกนำไปใช้ทั่วประเทศ. เพราะเหตุนี้อัตราการเสียชีวิตในจีนในตอนนี้จึงต่ำกว่าหนึ่งเดือนก่อนหน้า.

    • โรคที่เป็นมาก่อน: อัตราการเสียชีวิตในจีนสำหรับผู้ติดเชื้อที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่ก่อนแล้วนับอยู่ที่ 13.2%. สำหรับผู้ติดเชื้อที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงนั้นอยู่ที่ 9.2% (เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้), ความดันโลหิตสูงอยู่ที่ 8.4%, โรคเรื้อรังของทางเดินหายใจอยู่ที่ 8% และโรคมะเร็งอยู่ที่ 7.6%. ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีการเจ็บป่วยก่อนหน้านั้นเสียชีวิตใน 1.4% ของผู้ป่วยทั้งหมด

    • อายุ: อายุยิ่งน้อยโอกาสที่จะติดเชื้อจะยิ่งน้อย และจะมีโอกาสน้อยที่จะป่วยหนักหากมีการติดเชื้อ [ดูตารางในรูปแรกพร้อมวิธีอ่าน]

    • เพศ: ผู้หญิงสามารถติดโรคนี้ได้พอกันกับผู้ชาย. แต่มีเพียง 2.8% ของผู้หญิงชาวจีนที่ติดเชื้อเสียชีวิตจากโรคนี้, ขณะที่ 4.7% ของผู้ชายชาวจีนที่ติดเชื้อนั้นเสียชีวิต. ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์นั้นโรคนี้ก็ดูจะมีความรุนแรงพอกันกับกลุ่มอื่นๆ. จากการตรวจสอบการคลอดของผู้หญิงที่ติดเชื้อ 9 คน, ทารกที่คลอดด้วยการผ่าท้องเหล่านี้มีสุขภาพดีโดยไม่มีการติดเชื้อ. ผู้หญิง 9 คนนี้ติดเชื้อในไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์. การติดเชื้อในไตรมาสที่ 1 หรือ 2 มีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่นั้นยังไม่ชัดเจนเนื่องจากทารกเหล่านี้ยังไม่ถึงกำหนดคลอด.

    • ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ในทางพันธุกรรมแล้วมีความเหมือนกับโคโรนาไวรัสในค้างคาวอยู่ 96% และเหมือนกับโคโรนาไวรัสในตัวนิ่มอยู่ 86-92%. ดังนั้นการแพร่กระจายของไวรัสกลายพันธุ์จากสัตว์สู่มนุษย์นั้นเป็นสาเหตุที่เป็นไปได้มากที่สุดในการเกิดขึ้นของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้.

    • นับตั้งแต่สิ้นเดือนมกราคม, จำนวนการวินิจฉัยพบโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในจีนลดลงอย่างต่อเนื่อง [ดูกราฟในรูปที่ 2] โดยมีการวินิจฉัยพบผู้ป่วยใหม่เพียง 329 คนในวันสุดท้าย – หนึ่งเดือนก่อนตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 3,000 คนต่อวัน. "การลดลงของผู้ป่วย COVID-19 ทั่วประเทศจีนนั้นเป็นเรื่องจริง" รายงานกล่าว. กลุ่มผู้เขียนรายงานสรุปจากประสบการณ์หน้างานว่า 1. ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมีจำนวนผู้ป่วยที่ไปโรงพยาบาลลดลง, 2. จำนวนเตียงในโรงพยาบาลนั้นว่างมากขึ้น, และ 3. ปัญหาของนักวิจัยจีนในการหาผู้ติดเชื้อรายใหม่สำหรับการศึกษาทดลองยาต่างๆ. กดลิ้งค์เพื่อฟังการแถลงข่าวในส่วนที่เกี่ยวกับการประเมินจำนวนผู้ป่วยที่ลดลง (https://www.youtube.com/watch… – นาที 25:08)

    • หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ช่วยให้จีนจำกัดการระบาดได้คือการสัมภาษณ์ผู้ติดเชื้อทั่วประเทศเกี่ยวกับผู้คนที่สัมผัสด้วยและการตามไปตรวจคนเหล่านั้นต่อ. ในเมืองอู่ฮั่นมี 1,800 ทีมที่ทำหน้าที่นี้, โดยแต่ละทีมมีอย่างน้อย 5 คน. การทำงานส่วนนี้ในพื้นที่อื่นๆก็สำคัญเช่นกัน. เช่น ในเมืองเซินเจิ้นนั้นผู้ติดเชื้อระบุว่ามีผู้สัมผัส 2,842 คน, โดยทีมงานตามพบทุกคน, ตรวจเสร็จแล้ว 2,240 คน, และ 2.8% ของกลุ่มที่ตรวจแล้วมีการติดเชื้อไวรัส. ในมณฑลเสฉวนทีมงานระบุผู้สัมผัสได้ 25,493 คน, โดยตามพบ 25,347 คน (99%), 23,178 คนได้รับการตรวจแล้วและ 0.9% ของกลุ่มนี้มีการติดเชื้อ. ในมณฑลกวางตุ้งสามารถระบุผู้สัมผัสได้ 9,939 คน, โดยตามพบทั้งหมด, มีการตรวจแล้ว 7,765 คนและ 4.8% ของผู้ได้รับการตรวจแล้วมีการติดเชื้อ. โดยสรุป: หากคุณมีการสัมผัสโดยตรงกับผู้ติดเชื้อ, ความน่าจะเป็นของการติดเชื้ออยู่ระหว่าง 1%-5%.

    สรุป, โควตคำพูดโดยตรงจากรายงาน:

    "แนวทางที่ชัดเจนของประเทศจีนในการจำกัดการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของเชื้อโรคระบบทางเดินหายใจใหม่นี้ได้เปลี่ยนทิศทางของการระบาดซึ่งทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายถึงชีวิต. เมื่อเผชิญกับไวรัสที่ไม่รู้จักมาก่อน, ประเทศจีนได้มีความพยายามที่ดูท่าจะทะเยอทะยาน ว่องไว และดุดันที่สุดในประวัติศาสตร์ในการควบคุมโรค. การใช้มาตรการที่ไม่ใช้เภสัชภัณฑ์อย่างเคร่งครัดและเข้มงวดของประเทศจีนเพื่อจำกัดการแพร่กระจายของไวรัส COVID-19 ในหลายสถานการณ์นั้นเป็นบทเรียนสำคัญต่อการจัดการสถานการณ์ทั่วโลก. การจัดการด้านสาธารณสุขที่พิเศษและไม่เหมือนใครในจีนนี้ช่วยลดจำนวนผู้ป่วยในมณฑลหูเป่ย, ซึ่งมีการแพร่กระจายในระดับชุมชนอย่างกว้างขวาง, และในมณฑลอื่นๆที่รับการแพร่กระจายต่อไป, ซึ่งมีกลุ่มครอบครัวเป็นตัวขับเคลื่อนการระบาด."

    "ประเทศต่างๆส่วนมากยังไม่พร้อม, ทั้งในทางทัศนคติและปัจจัย, ที่จะดำเนินการตามมาตรการต่างๆที่จีนได้ทำลงไปเพื่อจำกัด COVID-19. มาตรการเหล่านี้นั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถหยุดหรือลดการแพร่กระจายในมนุษย์. พื้นฐานสำคัญของมาตรการเหล่านี้ คือ 1. การเฝ้าระวังเชิงรุกอย่างจริงจังเพื่อให้ตรวจพบผู้ป่วยอย่างทันท่วงที, 2. การตรวจวินิจฉัยที่รวดเร็วและการแยกผู้ป่วยทันที, 3. การติดตามและการกักบริเวณผู้สัมผัสใกล้ชิดอย่างเข้มงวด, และ 4. ประชาชนมีความเข้าใจและการยอมรับมาตรการเหล่านี้ในระดับสูงเป็นพิเศษ."

    "COVID-19 นั้นกำลังแพร่กระจายด้วยความรวดเร็วอย่างมาก; การระบาดของ COVID-19 ในสถานการณ์ใดก็ตามมีผลกระทบร้ายแรงมาก; และขณะนี้มีหลักฐานชัดเจนว่าการจัดการที่ไม่ใช้เภสัชภัณฑ์สามารถลดและกระทั่งหยุดการแพร่กระจายได้. เป็นที่น่ากังวลว่าการเตรียมความพร้อมในระดับประเทศและทั่วโลกนั้นโดยมากแล้วมีความลังเลไม่มั่นใจต่อการจัดการดังกล่าว. อย่างไรก็ตาม, ในการที่จะลดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตด้วย COVID-19, การเตรียมความพร้อมในระยะสั้นจำเป็นต้องใช้มาตรการด้านสาธารณสุขที่ไม่ใช้เภสัชภัณฑ์ในวงกว้าง. มาตรการเหล่านี้จะต้องครอบคลุมการตรวจพบและแยกผู้ป่วยในทันที, การติดตามและการเฝ้าระวัง/กักบริเวณผู้สัมผัสใกล้ชิดอย่างเข้มงวด, และการมีส่วนร่วมของประชาชน/ชุมชนโดยตรง."

    เครดิต คนแปล 

    https://www.facebook.com/tuang25/posts/10107194041849430

    ตวง #ม้า20 #ชมรมม้ารันนิ่ง #Marunning #TuangCheevatadavirut

    ]]>
    Fri, 06 Mar 2020 03:58:20 +0000
    <![CDATA[แนะนำ HPE Primera: Tier-0 Enterprise Storage ที่มาพร้อมทั้งความเร็ว, ความทนทาน, ความง่ายดาย และการใช้งานได้อย่างยาวนานไม่มีวันตกรุ่น]]> https://encom.co.th/blog/2003003-5/

    เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา หนึ่งในประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดประกาศหนึ่งของ HPE นั้นก็คือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Enterprise Storage รุ่นล่าสุดอย่าง HPE Primera ที่ถูกวางตัวให้เป็น Tier-0 Storage สำหรับรองรับการจัดเก็บข้อมูลที่มีความสำคัญสูงสุดของธุรกิจ ด้วยการออกแบบระบบให้มีทั้งประสิทธิภาพ, ความมั่นคงทนทาน, ความง่ายดายในการติดตั้งบริหารจัดการและการดูแลรักษา ไปจนถึงการออกแบบบริการเสริมที่มาพร้อมกับ Storage รุ่นนี้ให้คุ้มค่าสูงสุดต่อการใช้งานในระยะยาว เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ ได้มีทางเลือกในการใช้งานระบบ Storage ที่ดีที่สุดในการปกป้องข้อมูลสำคัญของธุรกิจ

    Credit: HPE

    ปัญหาของระบบ Storage ระดับองค์กรที่ผ่านมา

    ในการประกาศเปิดตัว HPE Primera ครั้งนี้ โจทย์หนึ่งที่ HPE หยิบยกขึ้นมาแก้ไขอย่างจริงจังก็คือการแก้ไขปัญหาในการจัดซื้อ, ใช้งาน และการดูแลรักษาระบบ Enterprise Storage ทั่วโลกในอดีต ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการติดตั้งที่ยาก, การดูแลรักษาที่ซับซ้อน, การอัปเกรดรุ่นหรือระบบที่มีค่าใช้จ่ายแฝงมากมาย ไปจนถึงการแก้ไขปัญหาที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่ทำให้ท้ายที่สุดแล้วการลงทุนในระบบ Storage นั้นเกิดค่าใช้จ่ายที่เกินไปกว่าการลงทุนแรกเริ่มปริมาณมหาศาล

    HPE Primera: ออกแบบ Tier-0 Enterprise Storage เพื่อแก้ทุกปัญหาของระบบ Storage ในอดีต

    Credit: HPE

    การออกแบบ HPE Primera ครั้งนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่วงการ Enterprise IT เคยต้องเผชิญในอดีตทั้งหมด ทำให้ระบบ Storage ประสิทธิภาพสูงชุดนี้มีความมั่นคงทนทานที่สูงยิ่งขึ้นกว่าก่อนเป็นอย่างมาก HPE จึงยกระดับให้ HPE Primera จัดอยู่ใน Tier-0 Storage ที่มีความมั่นคงทนทานสูงยิ่งกว่า Tier-1 Storage อื่นๆ นั่นเอง

    ไม่เพียงแต่การออกแบบเทคโนโลยีใหม่ทั้งหมด ในการออกแบบ HPE Primera ครั้งนี้ ทาง HPE ยังได้ออกแบบบริการเสริมต่างๆ และรูปแบบการลงทุนใหม่ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาอื่นๆ นอกเหนือจากเชิงเทคโนโลยีที่ธุรกิจองค์กรเคยต้องเผชิญได้ ดังนี้

    รับประกันความมั่นคงทนทานระดับ 100% เป็นรายเดียวของโลก

    ระบบ Mission-Critical Application หรือ Application ที่มีความสำคัญสูงมากต่อธุรกิจนั้น การเกิด Downtime เพียงเล็กน้อยก็อาจหมายถึงความสูญเสียทางธุรกิจครั้งมหาศาลได้ HPE Primera จึงเป็นระบบ Enterprise Storage แรกที่กล้าระบุว่ารับประกัน Availability ถึง 100% มาในผลิตภัณฑ์โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติม โดยนอกจากการออกแบบ HPE Primera ให้สามารถดูแลรักษาแก้ไขปัญหาได้ง่าย, สลับเปลี่ยน Hardware ที่มีปัญหาออกได้โดยไม่เกิด Downtime, การอัปเกรด Firmware หรือ Service ต่างๆ แยกส่วนกันได้แล้ว HPE ยังได้นำ AI อย่าง HPE InfoSight เข้ามาช่วยตรวจสอบแนวโน้มของปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับระบบ Storage และทำการแก้ไขประเด็นเหล่านั้นก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นด้วย

    Credit: HPE

    ความสามารถของ HPE InfoSight นี้ไม่เพียงแต่จะครอบคลุมการจัดการกับปัญหาที่เกิดในส่วนของ Storage เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึง Server, Application และ Network ด้วย ดังนั้นการใช้งาน HPE InfoSight ภายใน HPE Primera นี้จึงสามารถช่วยให้ผู้ดูแลระบบลด Downtime ที่จะเกิดจากปัจจัยต่างๆ ได้อย่างครอบคลุมยิ่งกว่าเดิม

    การรับประกันนี้ครอบคลุมถึงแม้กรณีที่มีแม้เพียง Virtual Volume เดียวที่ไม่สามารถถูกเข้าถึงได้ก็ถือว่าเข้าข่ายการรับประกันแล้ว แต่หากสาเหตุหลักเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกเช่น ระบบเครือข่าย หรือการตั้งค่าบนอุปกรณ์อื่นๆ ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ โดยเงื่อนไขฉบับเต็มทั้งหมดสามารถอ่านได้ที่ https://www.hpe.com/us/en/pdfViewer.html?docId=a00074521&parentPage=/us/en/products/storage/hpe-primera&resourceTitle=100%25+Availability+Guarantee+%E2%80%93+HPE+Primera+brochure

    รวดเร็วทันใจด้วย NVMe และ Storage Class Memory (SCM) พร้อมรองรับการทำ QoS

    ใน HPE Primera นี้ ได้เลือกใช้ NVMe SSD และ Storage Class Memory หรือ SCM เพื่อให้มีความเร็วสูงสุดจากการลด Latency ในการเข้าถึงข้อมูลให้เหลือน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเขียนหรือการอ่านข้อมูลก็ตาม อีกทั้งยังสามารถกำหนด QoS ให้กับข้อมูลแต่ละส่วนได้ เพื่อให้สามารถรับประกันระดับประสิทธิภาพสำหรับแต่ละ Application ที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลแต่ละชุดให้แตกต่างกันได้ด้วย

    ชาญฉลาดด้วยระบบ AI ที่เรียนรู้จากข้อมูลมากกว่า 1,250 ล้านล้านรายการ

    Credit: HPE

    อีกแนวคิดหนึ่งที่ถูกนำมาใช้งานใน HPE Primera นั้นก็คือการเป็น Self-Managing Storage ที่ได้นำข้อมูลจาก HPE InfoSight ซึ่งรวบรวมข้อมูลการทำงานและประสิทธิภาพจากระบบ Data Center ทั่วโลกกว่า 1,250 ล้านล้านรายการมาใช้ในการวิเคราะห์และสร้าง AI ขึ้นมา ทำให้ HPE Primera สามารถตรวจสอบแนวโน้มของปัญหาต่างๆ และแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง รวมถึงแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบให้ทำการป้องกันปัญหาต่างๆ ได้ล่วงหน้าเพื่อลด Downtime

    นอกจากนี้ HPE InfoSight ยังสามารถช่วยให้ HPE Primera ทำ Performance Tuning และจัดการสิ่งต่างๆ ได้อย่างอัตโนมัติจากข้อมูลดังกล่าว เรียกได้ว่ามี AI ที่ครอบคลุมทั้งการตรวจสอบ, ปรับแต่งประสิทธิภาพ ไปจนถึงการแก้ไขปัญหาเบ็ดเสร็จในตัวเลยทีเดียว

    สถาปัตยกรรมแบบ All-Active ใช้ทุก CPU, ASIC และ Memory ที่มีอยู่ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ

    ภายใน HPE Primera นั้นมีทั้ง CPU สำหรับการประมวลผลบริการทั่วไป, ASIC สำหรับประมวลผลงานด้านการจัดการข้อมูลเฉพาะทางเช่นการทำ Data Reduction และ Memory หรือหน่วยความจำสำหรับใช้งานร่วมกันอยู่ภายในตัว โดยทรัพยากรเหล่านี้ทั้งหมดจะถูกจัดแบ่งและใช้งานพร้อมกันอย่างสมดุล ในขณะที่ข้อมูลทั้งหมดนั้นก็จะถูกกระจายอยู่บน SSD, Node และถูกรับส่งผ่าน Port ต่างๆ อย่างสมดุลดว้ยเช่นกัน เพื่อให้ประสิทธิภาพของระบบสูงสุดอยู่เสมอ

    HPE Primera สามารถให้บริการข้อมูลได้ด้วยประสิทธิภาพถึงระดับ 1.5 ล้าน IOPS โดยไม่ต้องทำ Performance Tuning และยังสามารถรับประกันประสิทธิภาพในการเข้าถึงข้อมูลได้ด้วยการทำ QoS และระบบทั้งหมดนี้ยังสามารถทำงานทดแทนกันแบบ Failover ได้อีกด้วย

    ใช้งานได้อย่างยาวนานไม่มีวันตกรุ่นด้วยแนวคิด Timeless Storage

    สิ่งที่ HPE ต้องการบรรลุให้ได้ใน HPE Primera นั้นก็คือการลดกรณีการจัดซื้อ Storage ชุดใหม่เข้ามาทดแทน Storage เดิมในรอบของการอัปเกรดให้เหลือน้อยลง แนวคิดด้าน Timeless Storage จึงเกิดขึ้นมาโดยผสานรวมเอาข้อดีต่างๆ ดังต่อไปนี้เข้าไว้ด้วยกัน

    • การรวม Software License ทั้งหมดเอาไว้ในตัว Hardware เลย ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องคอยซื้อ License ตาม Feature ที่ตนเองต้องการอีกต่อไป

    • การใช้งานได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุดติดขัดแม้ยามแก้ไขปัญหาโดยไม่มี Downtime ด้วย 100% Availability Guarantee

    • การอัปเกรดให้ฟรีทุกๆ 3 ปีทั้งในส่วนของ Hardware และ Software ทำให้ผู้ใช้งานได้ใช้เทคโนโลยีล่าสุดอยู่เสมอ

    ติดตั้งง่ายดายเสร็จเรียบร้อยได้ใน 20 นาที

    Credit: HPE

    HPE Primera ได้ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานให้กลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายด้วยการติดตั้งใช้งานได้เสร็จเรียบร้อยภายในเวลาเพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น ด้วยการปรับขั้นตอนการติดตั้งทั้งหมดให้เป็นแบบอัตโนมัติให้มากที่สุด, การมีเครื่องมือทั้งหมดให้พร้อมใช้งานได้ในตัว, การที่ผู้ใช้งานไม่ต้องทำ Storage Tuning อีกต่อไป และการที่สามารถอัปเกรดระบบได้โดยไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อ Application ที่กำลังเชื่อมต่อใช้งานข้อมูลภายใน HPE Primera อยู่

    HPE ระบุว่าจากการทดสอบภายใน HPE Primera สามารถลดเวลาที่ต้องใช้ในการติดตั้ง, บริหารจัดการ และการเพิ่มขยายระบบน้อยลงถึง 93% เลยทีเดียว

    สู่ยุค Automation อย่างเต็มตัว ทำงานร่วมกับ Composable Infrastructure และ Infrastructure-as-Code ได้เต็มที่

    ภายใน HPE Primera นี้ยังได้เพิ่มระบบการบริหารจัดการผ่านทาง API เข้ามา ทำให้การนำระบบ HPE Primera เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ Automated Workflow ภายในธุรกิจองค์กรนั้นเกิดขึ้นได้จริง อีกทั้ง HPE ยังได้ทำการผสานระบบของ HPE Primera เข้ากับ HPE Synergy และ HPE OneView ด้วย ส่งผลให้ภาพของ Composable Infrastructure นั้นมีความครบถ้วนยิ่งขึ้นกว่าเดิม สร้างประสบการณ์การจัดการ Physical Hardware ให้แบบเดียวกับ Cloud ภายในองค์กรได้ทันที

    เลือกใช้งานแบบ Comsumption-based ได้ เพิ่มความคล่องตัวในการลงทุนระบบ IT

    แน่นอนว่า HPE Primera นี้ก็มีบริการในส่วนของ HPE GreenLake เพื่อให้สามารถเช่าใช้งานแบบ Consumption-based ที่คิดค่าใช้จ่ายแบบรายเดือน และเพิ่มขยายระบบได้อย่างยืดหยุ่น โดยมีทีมงานของ HPE คอยสนับสนุนระหว่างการใช้งานโดยตรง ทำให้ธุรกิจองค์กรมีทางเลือกในการลงทุนระบบ IT ที่คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น และเพิ่มขยายได้ตามต้องการเพื่อตอบรับต่อการเติบโตของระบบ IT และนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างทันท่วงที

    ผู้ที่สนใจรายละเอียดฉบับเต็มเกี่ยวกับ HPE Primera สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.hpe.com/us/en/storage/hpe-primera.html

    HPE Primera 600 Storage รุ่นแรกในตระกูล HPE Primera

    Credit: HPE

    สำหรับ Hardware รุ่นแรกของผลิตภัณฑ์ตระกูล HPE Primera นี้ก็คือ HPE Primea 600 Storage ที่เปิดตัวมาในขนาด 2U 24 Bay พร้อม Enclosure เสริมที่ติดตั้ง Disk ได้ตั้งแต่ 24-48 ชุด และเชื่อมต่อใช้งานได้ผ่านทาง 16/32Gbps Fibre Channel

    HPE Primera 600 นี้ จะต้องติดตั้งเริ่มต้นโดยบังคับให้ใช้งาน 2 Controller เป็นอย่างน้อย และเพิ่มขยายสูงสุดได้ถึง 4 Controller ทำงานร่วมกันแบบ Active-Active เพื่อความมั่นคงทนทานและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น โดยมี Cache ให้เลือกใช้งานต่ออุปกรณ์ได้ตั้งแต่ 128GB ถึง 1TB ส่วนความจุต่อระบบนั้นสามารถเลือกได้ตั้งแต่ 250TB ไปจนถึง 4,000TB เลยทีเดียว ขึ้นกับว่าจะใช้ SSD ทั้งหมดหรือทำงานแบบ Hybrid โดยมี HDD อยู่ด้วย

    ทาง HPE นั้นได้ทดสอบความเข้ากันได้ของ HPE Primera กับ Software ระบบปฏิบัติการและ Hypervisor ชั้นนำแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Windows Server 2012/2016/2019, Microsoft Windows Hyper-V, HP-UX, SUSE Linux Enterprise Server, Red Hat Enterprise Linux, VMware ESX/ESXi, Oracle Solaris, Oracle UEK, Oracle Linux, Citrix XenServer, IBM AIX, HPE OpenVMS และ Apple OS X จึงสามารถนำไปใช้งานได้อย่างมั่นใจ

    ประกันที่มากับ HPE Primera 600 นี้จะมีอายุ 3 ปีสำหรับอุปกรณ์ต่างๆ และ 5 ปีสำหรับ SSD

    ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถศึกษาข้อมูลได้ที่ https://buy.hpe.com/us/en/storage/disk-storage-systems/primera-storage/primera-storage/hpe-primera-600-storage/p/1011657880

    ]]>
    Tue, 03 Mar 2020 06:43:08 +0000
    <![CDATA[[Guest Post] IBM Cloud Pak ซอฟแวร์ที่เกิดมาเพื่อทำงานบนคลาวด์เท่านั้นหรือ ?]]> https://encom.co.th/blog/2003003-4/ วันนี้มารู้จักกับ IBM Cloud Pak for Integration หนึ่งในโซลูชันของ IBM Cloud Pak เป็นเครื่องมือสำหรับการทำ Digital Transformation ในแง่ของการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลสำหรับ Cloud-Native Application รวมถึง Application แบบเดิม โดยมีการพัฒนาเพื่อรองรับการทำงานแบบ Containerize ภายใต้การจัดการบน Kubernetes-based platform ซึ่งในที่นี้คือ Red Hat OpenShift โดยยังคงคุณสมบัติการทำงานต่างๆไว้ได้อย่างครบถ้วน

    ปัจจุบันหลายองค์กรได้มีการนำเอา cloud technologies มาประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางมากขึ้น เนื่องจากความยืดหยุ่น ที่สามารถรองรับการขยายตัวได้ในอนาคต รวมไปถึงราคาที่ต่ำลง ดังนั้นซอฟแวร์หรือบริการใหม่ๆที่เกิดขึ้นจึงถูกพัฒนาอยู่บน Cloud platform technology ซึ่งเราเรียก application เหล่านี้ว่า Cloud native application ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากใช้ cloud ไปสักระยะ คือเรื่องของ “vendor lock-in” หรือการผูกขาดกับเทคโนโลยีโดย cloud provider เจ้าใดเจ้าหนึ่ง ทุกวันนี้จึงมี Enterprise workload กว่า 80% ที่ยังไม่ได้ขึ้นไปทำงานอยู่บน cloud เนื่องจากปัญหาและความท้าทายที่เกิดขึ้นดังกล่าว

    IBM Cloud Pak เป็น solution หรือกลุ่มของซอฟแวร์ที่ทำงานอยู่บน open technology โดยประกอบไปด้วย

    • IBM Software/Middleware และ open source components ที่อยู่ในรูปแบบของ Kubenetes-based container orchestration platforms

    • เครื่องมือสำหรับการทำ Software Lifecycle Management เช่น Deployment lifecycle management, logging, monitoring, version control vulnerability assessment and testing เป็นต้น

    • การรับรองสำหรับความสามารถในการทำงานร่วมกันกับ Red Hat OpenShift และ IBM Software รวมถึงสามารถเปิด case support ได้กับทาง IBM

    ด้วยเหตุนี้ IBM Cloud Pak จึงเป็น Solution ที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าที่ต้องการมองหา software ที่สามารถรองรับการทำงานไม่ว่าจะอยู่บนระบบ on premise แบบเดิม และบน Cloud platform เจ้าใดก็ได้ในตลาด โดยไม่ต้องกังวลว่า software ที่มีอยู่จะสามารถเข้ากันได้หรือไม่ ทั้งนี้ด้วยความยืดหยุ่นของ software license ลูกค้ายังสามารถ convert licensing ของ software ไปมาตามความต้องการใช้งานของ software ได้กลุ่มนั้นๆ ได้อีกด้วย

    ปัจจุบัน IBM Cloud Pak ประกอบไปด้วย 6 กลุ่ม ได้แก่

    • Cloud Pak for Application

    • Cloud Pak for Data

    • Cloud Pak for Integration

    • Cloud Pak for Multicloud Management

    • Cloud Pak for Automation

    • Cloud Pak for Security

    IBM Cloud Pak for Integration เป็นอีกโซลูชันในกลุ่ม IBM Cloud Pak ที่รวมเอาเครื่องมือสำหรับการทำ Digital Transformation ในแง่ของการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลสำหรับ Cloud-Native Application รวมถึง Application แบบเดิม โดยมีการพัฒนาเพื่อรองรับการทำงานแบบ Containerize ภายใต้การจัดการบน Kubernetes-based platform ซึ่งในที่นี้คือ Red Hat OpenShift โดยยังคงคุณสมบัติการทำงานต่างๆไว้ได้อย่างครบถ้วน

    สำหรับโซลูชันที่อยู่ภายใน IBM Cloud Pak for Integration ได้แก่

    • การจัดการ API (API Management Lifecycle) สำหรับลูกค้าที่ต้องการทำ digital transformation โดยมีการให้หรือใช้บริการต่างๆ ผ่านทาง web programing interface โดยจะมี IBM API Connect ซึ่งเป็นโซลูชันสำหรับจัดการเรื่องความปลอดภัย รวมถึงวิเคราะห์และควบคุมการใช้งาน API  

    • การเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างแอพลิเคชัน (Application and Data Integration) ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลระหว่าง public cloud หรือข้อมูลที่อยู่บน on premise รวมถึงการทำ transformation ข้อมูล โดยประกอบไปด้วยซอฟแวร์ต่างๆ เช่น IBM App Connect Enterprise, IBM DataPower เป็นต้น

    • การรับส่งข้อความแบบ real time (Event and Enterprise Messaging) เป็นโซลูชันสำหรับการจัดการและดูแลรักษาความปลอดภัยเรื่อง message queue รวมถึงการรับส่งข้อมูลแบบ real time จากอุปกรณ์ต่างๆ เช่น sensor จากอุปกรณ์ IoT เป็นต้น

    • การรับส่งข้อมูลแบบความเร็วสูง (High Speed Data Transfer) เป็นอีกหนึ่งโซลูชันสำหรับจัดการเรื่องการรับส่งไฟล์ข้อมูล หรือไฟล์มีเดียที่มีขนาดใหญ่มากๆ โดยข้อมูลเหล่านี้จะสามารถรับส่งโดยใช้งานได้เต็ม network bandwidth หรือได้เท่าความเร็วสูงสุดที่มีนั่นเอง ซึ่งจะช่วยตัดปัญหาเรื่องของ package loss ระหว่างการรับส่งข้อมูล รวมถึงสามารถทราบเวลาที่ใช้แน่นอนในการรับส่งข้อมูลได้

    ทั้งนี้โซลูชัน IBM Cloud Pak for Integration ยังคงทำงานได้แบบ Platform Independent คือทำงานบน platform ของคลาวด์เจ้าใดก็ได้ในตลาด รวมถึงบน on-premise ได้อีกด้วย

     

    ]]>
    Tue, 03 Mar 2020 06:32:50 +0000
    <![CDATA[[Infographic] มาตรฐานใหม่สำหรับ Enterprise Storage โดย Hitachi Vantara]]> https://encom.co.th/blog/2003003-3/

    Hitachi Vantara ผู้นำด้านโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลสำหรับองค์กรธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ออก Infographic เรื่อง “มาตรฐานใหม่สำหรับ Enterprise Storage” ในยุคที่ Storage แบบ NVMe Flash Array เริ่มเข้ามามีบทบาทในการเก็บข้อมูลในยุคดิจิทัลมากขึ้น พร้อมแนะนำ Hitachi VSP 5000 NVMe Flash Storage ที่เร็วที่สุดในโลก

    Infographic ฉบับนี้จะกล่าวถึงความท้าทายของฝั่ง IT ในยุคธุรกิจดิจิทัล, ปัญหาของโครงสร้างพื้นฐานแบบเก่า, Hitachi VSP 5000 NVMe Flash Storage ช่วยพลิกโฉมการจัดเก็บข้อมูลได้อย่างไร, รู้จัก Hitachi Ops Center การบริหารจัดการที่ผสาน AI/ML เพื่อยกระดับ IT Operation และ Automation ไปอีกขั้น และการใช้ NVMe Flash Storage เพื่อวางรากฐาน Data Center สำหรับองค์กรยุคใหม่ ดังนี้

    ]]>
    Tue, 03 Mar 2020 06:31:57 +0000
    <![CDATA[แนะนำบริการ Microsoft Azure Stack จาก Atcetera ระบบ Local Cloud Premium เจ้าแรกในไทย ที่ใช้งานได้เทียบเท่า Microsoft Azure]]> https://encom.co.th/blog/2003003-2/  

    สำหรับธุรกิจองค์กรใดที่อยากเช่าใช้งาน Microsoft Azure แต่ยังอยากให้ระบบและข้อมูลทั้งหมดถูกจัดเก็บอยู่ภายในประเทศไทย Atcetera บริษัทในเครือของ INET ได้นำ Microsoft Azure Stack มาเปิดให้บริการ Cloud ที่มีความสามารถและประสบการณ์เทียบเคียงได้กับ Microsoft Azure พร้อมให้ใช้งานได้อย่างคุ้มค่าและง่ายดายแล้ว และยังเปิดให้ทดลองใช้งานได้ฟรีอีกด้วย

    บริการ Cloud ในต่างประเทศ ยังไม่อาจตอบโจทย์ของธุรกิจไทยในหลายประเด็น

    ถึงแม้บริการ Cloud นั้นจะได้รับความนิยมอย่างสูงและหลายธุรกิจองค์กรเองนั้นก็ได้เริ่มต้นใช้งานกันไปแล้วก็ตาม และนั่นเองก็ทำให้หลายๆ องค์กรได้เริ่มมีประสบการณ์ในการใช้งานบริการ Cloud จนเริ่มพบกับปัญหาในการใช้งานจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นด้านค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการใช้งานที่เติบโต รวมถึงยังมีค่าใช้จ่ายด้าน Bandwidth จากต่างประเทศเกิดขึ้นอย่างมหาศาล จนยากต่อการควบคุมค่าใช้จ่าย ไปจนถึงนโยบายของหลายธุรกิจองค์กรที่ไม่ต้องการจัดเก็บข้อมูลสำคัญทางธุรกิจเอาไว้ในต่างประเทศ

    ด้วยเหตุนี้เอง ที่ผ่านมาการใช้งานบริการ Cloud จากผู้ให้บริการภายในประเทศไทยจึงได้เติบโตอย่างรวดเร็ว และผู้ให้บริการแต่ละรายต่างก็สรรหาเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเสริมไปจนถึงกระบวนการการทำงานเพื่อตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะทางของของธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ

    Atcetera บริษัทในเครือ INET ได้เล็งเห็นถึงความต้องการในการใช้งานบริการ Microsoft Azure จากธุรกิจไทยจำนวนมาก จึงได้นำโซลูชัน Microsoft Azure Stack ที่มีความสามารถเทียบเท่ากับ Microsoft Azure มาเปิดให้บริการในรูปแบบ Cloud ภายในประเทศไทยบน Data Center ของ INET นั่นเอง

    รู้จักกับ Microsoft Azure Stack โซลูชันส่วนต่อขยายจาก Microsoft Azure ตอบโจทย์ Hybrid Cloud และ Edge Computing

    วิสัยทัศน์ของ Microsoft Azure ที่เล็งเห็นต่ออนาคตนั้นคือการก้าวไปสู่ภาพของการเป็น Intelligent Edge ที่ระบบ Cloud และ Edge Computing นั้นจะต้องทำงานผสานรวมกันเป็นผืนเดียวได้อย่างสมบูรณ์ และนี่เองก็เป็นจุดกำเนิดของโซลูชัน Microsoft Azure Stack

    Microsoft Azure Stack นี้ถือเป็นส่วนต่อขยายจาก Microsoft Azure ที่จะทำให้ธุรกิจองค์กรสามารถนำเทคโนโลยีที่มีอยู่บน Microsoft Azure มาใช้งานภายใน Data Center หรือ Edge Data Center ของตนเองได้ และบริหารจัดการระบบได้ด้วยประสบการณ์เดียวกับการใช้งาน Microsoft Azure เพื่อให้การผสานระบบบน Cloud และระบบภายในของธุรกิจองค์กรนั้นเป็นไปได้อย่างง่ายดาย และธุรกิจองค์กรก็จะมีทางเลือกในการนำ Workload ต่างๆ ไปใช้งานบนแต่ละ Platform ที่ตนเองต้องการได้อย่างอิสระด้วย

    ภายใน Microsoft Azure Stack นี้มีบริการย่อยต่างๆ มากมาย เช่น

    • Compute มีบริการให้เลือกใช้งานได้ทั้ง IaaS, PaaS ไปจนถึง Serverless

    • Containers ที่มีให้เลือกใช้งานได้ทั้ง Azure Kubernetes Service (AKS) และ Server Fabric

    • Internet of Things ด้วยการใช้ Azure IoT Hub

    • Analytics ที่ต่อยอดจากระบบ Azure Event Hubs

    • SQL Server ที่มีให้ใช้งานได้ทั้ง Microsoft SQL Server และ MySQL

    • บริการอื่นๆ เช่น Security, Storage, Machine Learning, AI และบริการที่จะมีการเปิดตัวเพิ่มเติมในอนาคต

    เรียกง่ายๆ ได้ว่า Microsoft Azure Stack นี้คือการยกบริการ Cloud จาก Microsoft Azure มาติดตั้งใช้งานบน Environment ของธุรกิจองค์กรก็คงไม่ผิดนัก ทำให้ธุรกิจสามารถประยุกต์นำ Microsoft Azure Stack มาใช้ได้ทั้งในส่วนของการทำ Hybrid Cloud, การทำ Edge Computing และอื่นๆ อีกมากมาย

    Atcetera ผู้เชี่ยวชาญโซลูชันของ Microsoft เปิดบริการ Cloud ด้วย Microsoft Azure Stack ในไทย

    เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจองค์กรไทยที่อยากใช้งานเทคโนโลยีของ Microsoft Azure ในรูปแบบของ Cloud ภายในประเทศ Atcetera บริษัทในเครือ INET ที่มีความเชี่ยวชาญด้านโซลูชันและเทคโนโลยีของ Microsoft เป็นพิเศษ จึงได้นำ Microsoft Azure Stack มาเปิดให้บริการ Cloud ภายใน Data Center ของ INET พร้อมใช้งานได้แล้ว

    จุดเด่นของบริการ Microsoft Azure Stack จาก Atcetera นี้ ก็คือประสบการณ์ในการใช้งานระบบที่เป็นแบบ Self-Service ทั้งหมดเหมือนกับ Microsoft Azure ซึ่งถือเป็นอีกก้าวของความง่ายดายในการใช้บริการที่เหนือกว่า Microsoft Azure Pack ซึ่งเป็นโซลูชันรุ่นก่อนหน้า ทำให้ธุรกิจองค์กรสามารถเลือกใช้งานบริการ Compute, Container และ Database ได้อย่างอิสระ รวมถึงยังมี Template ของ Platform และ Application จำนวนมากที่พร้อมให้ใช้งานได้ทันที ช่วยลดภาระของผู้ดูแลระบบในการ Provision ระบบใหม่ๆ ขึ้นมาใช้งานได้เป็นอย่างมาก

    ประเด็นถัดมาที่น่าสนใจมากคือประเด็นด้านการคิดค่าใช้จ่าย ซึ่งทาง Atcetera คิดค่าใช้จ่ายจาก Resource ของ Hardware ที่ธุรกิจต้องการเป็นหลัก โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายด้าน Bandwidth หรือค่าใช้จ่ายด้าน License ของโซลูชันต่าง ๆ จาก Microsoft ทั้งในส่วนของ Microsoft Windows Server Data Center Edition หรือ Microsoft SQL Server ก็ตาม ทำให้ในภาพรวมแล้วการเช่าใช้งาน Microsoft Azure Stack นั้นถึงจุดคุ้มทุนได้อย่างรวดเร็วมากเมื่อเทียบกับการลงทุนใน Data Center ด้วยตนเอง

    นอกจากนี้ ระบบยังมีการสำรองข้อมูลย้อนหลังให้ 7 วันย้อนหลัง ทำให้สามารถรับมือกับเหตุไม่คาดฝันได้อย่างหลากหลาย ทั้งการลบข้อมูลผิดพลาดจาก Human Error, การ Deploy ระบบผิดพลาด ไปจนถึงการถูกโจมตีฝัง Ransomware จนข้อมูลสำคัญสูญหาย ทั้งหมดนี้สามารถกู้คืนได้ผ่านระบบ Backup ที่มีให้พร้อมใช้งาน

    ในขณะเดียวกัน ทีมงาน Atcetera ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของ Microsoft นั้น ก็พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยเหลือในการใช้งานจริง ตั้งแต่การขึ้นระบบใหม่, การย้ายระบบจากระบบเดิม, การจัดการกับระบบเฉพาะทางของ Microsoft ไม่ว่าจะเป็น Web Server, Microsoft Exchange, Microsoft SharePoint หรืออื่น ๆ ได้อย่างครบวงจร

    สุดท้ายนี้ บริการนี้ทั้งหมดทำงานอยู่ภายใน Data Center ของ INET ที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐานต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น ISO/IEC 27001 : 2013 , ISO/IEC 20000-1 : 2011 , ISO 27799 : 2016 , PCI-DSS , IDC Tier III Design ทำให้ธุรกิจองค์กรมั่นใจในการเลือกใช้งาน และยังง่ายต่อการทำ Audit และ Compliance อีกด้วย

    ถึงแม้บริการ Microsoft Azure Stack บน Cloud จาก Atcetera นี้จะเป็นบริการใหม่ที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่ในปี 2019 ที่ผ่านมานี้ก็มีลูกค้าธุรกิจองค์กรจำนวนมากเริ่มต้นใช้งานบริการนี้และมีแนวโน้มจะเพิ่มขยายหรือเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากความคุ้มค่าในการเช่าใช้งานที่สูงมากจากการที่ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง, การใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นผ่านระบบ Self-Service ด้วยตนเอง, บริการและ Template ต่าง ๆ ที่มีให้เลือกใช้งานได้อย่างมากมาย, การมีทีมให้บริการในประเทศไทยโดยตรง และความเชื่อมั่นใน Data Center ของ INET นั่นเอง

    ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถศึกษาข้อมูลได้ที่ https://www.atcetera.co.th/azure-stack/ และตรวจสอบราคาของบริการได้ที่ https://www.atcetera.co.th/azure-stack-price/ ทันที

    มั่นใจในประสิทธิภาพและความมั่นคงทนทาน ด้วยโซลูชัน Hardware พร้อมบริการมืออาชีพจาก HPE

    Credit: HPE

    เบื้องหลังของบริการ Microsoft Azure Stack จาก Atcetera นี้ ทาง Atcetera ได้จับมือกับ HPE นำระบบ HPE ProLiant for Microsoft Azure Stack ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบ Integrated System ที่ผ่านการทดสอบร่วมกันระหว่าง HPE และ Microsoft มาใช้เป็น Hardware เพื่อติดตั้งระบบทั้งหมดของ Microsoft Azure Stack ทั้งแบบ Infrastructure as a Service (IaaS) และ Platform as a Service (PaaS) ทั้งหมดมาจากโรงงาน สำหรับการให้บริการครั้งนี้ พร้อมใช้บริการ HPE GreenLake จาก HPE Pointnext ที่ทำให้การใช้ Hardware ของ HPE นี้เป็นไปในรูปแบบ Consumption-based หรือการคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง

    แนวทางดังกล่าวนี้ทำให้ INET ไม่ต้องลงทุนกับระบบ Hardware ทั้งหมดด้วยตัวเองตั้งแต่ต้น ในขณะที่ยังคงสามารถนำ Hardware ซึ่งสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอมาให้บริการด้วยค่าใช้จ่ายที่ประเมินได้อย่างแม่นยำง่ายดาย รวมถึงยังสามารถเพิ่มขยายหรือปรับเปลี่ยนบางส่วนของระบบได้อย่างยืดหยุ่นตามต้องการ ทั้งหมดนี้ทำให้ INET สามารถนำเสนอบริการ Microsoft Azure Stack ให้แก่ลูกค้าธุรกิจองค์กรได้ในราคาคุ้มค่าสูงสุด ในขณะที่ยังคงมั่นใจในประสิทธิภาพและการเพิ่มขยาย Hardware เพื่อรองรับต่ออนาคตได้อย่างมั่นคง

    ทดลองใช้งาน Microsoft Azure Stack ฟรีกับ Atcetera

    สำหรับผู้ที่อยากทดลองใช้งาน Microsoft Azure Stack สามารถทำการทดลองใช้งานได้ฟรีๆ ด้วยการกรอกแบบฟอร์มที่ https://www.atcetera.co.th/azure-stack/ จากนั้นทีมงาน Atcetera จะทำการติดต่อกลับไปเพื่อสอบถามข้อมูลสำหรับเตรียมระบบทดสอบให้

    สนใจ Microsoft Azure Stack และโซลูชันอื่นของ Microsoft ติดต่อ Atcetera ได้ทันที

     

    ]]>
    Tue, 03 Mar 2020 06:26:18 +0000
    <![CDATA[Hybrid Multicloud และประสบการณ์ใช้งาน]]> https://encom.co.th/blog/2003003-1/ การใช้งาน Multicloud อย่างมีประสิทธิภาพจากประสบการณ์จริง

    Credit: NetApp

    ทุกวันนี้ องค์กรต่างมุ่งหวังในระบบ IT Infrastructure ที่ง่ายต่อการใช้งาน, มีความคล่องตัว และมีประสิทธิภาพ ซึ่งล้วนเป็นความสามารถที่ระบบ Hyperconverged ในยุคแรกนั้นไม่สามารถตอบโจทย์ได้ องค์กรต้องการความคล่องตัว, ความสามารถในการเพิ่มขยาย และบริการในรูปแบบเดียวกับบริการ Public Cloud ในขณะที่ยังคงต้องนำเสนอความหลากหลายของบริการและประสบการณ์การใช้งานที่เคยมีในระบบ On-Premises แบบเดิมให้ได้ด้วย

    ด้วยโซลูชันปัจจุบันที่มีอยู่ส่วนมากในตลาดนั้นยังมักตอบโจทย์เพียงแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น การเลือกใช้ Public Cloud อย่างเต็มตัวนั้นหมายถึงการที่จะต้องยกเลิกการใช้งานระบบ Application ที่มีอยู่ดั้งเดิม ซึ่งสำหรับบางองค์กรนั้นอาจส่งผลให้เกิดปัญหาด้านกฎหมายการจัดเก็บข้อมูลได้ ในทางกลับกัน การใช้ Private Cloud เพียงอย่างเดียวนั้นก็หมายถึงการที่คุณจะไม่ได้รับประโยชน์จากความคล่องตัว การบริหารจัดการใช้งานด้วยตนเอง และการใช้งานทรัพยากรได้อย่างอิสระที่มีให้ใช้บน Public Cloud ได้ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ก็ล้วนเป็นสิ่งที่องค์กรต้องการทั้งสิ้น

    คำถามคือคุณจะสร้างประสบการณ์ในรูปแบบเดียวกันสำหรับการใช้งาน Cloud และ Data Center ทั้งหมดที่คุณมีได้อย่างไร? คำตอบก็คือคุณต้องก้าวไปสู่การใช้ระบบ Hybrid Multicloud นั่นเอง คุณต้องริเริ่มกลยุทธ์การเชื่อมต่อข้อมูลข้าม Cloud ในรูปแบบ Data Fabric แทนที่จะวางรูปแบบแค่เป็น Data Center ที่เป็นศูนย์คอมพิวเตอร์หลัก และศูนย์คอมพิวเตอร์สำรองแบบในอดีต คุณต้องทดแทนระบบ Hyperconverged Infrastructure ที่มีอยู่เดิมด้วยระบบ Hybrid Cloud Infrastructure เพื่อช่วยให้คุณสร้างและติดตั้งระบบต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น คุณต้องหลีกเลี่ยงการยึดติดกับเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่งแล้วหันไปสู่การเลือกใช้ Multicloud ที่ตอบโจทย์ด้านความยืดหยุ่นสำหรับธุรกิจ คุณต้องเปลี่ยนจากการเป็น Cost Center ไปสู่การเป็น Service Center และสร้างช่องทางในการเกิดรายรับใหม่ขึ้นมาเพื่อให้ก้าวแซงการแข่งขันทางธุรกิจ คุณต้องควบคุมการใช้งาน Cloud ให้ได้และนำเสนอประสบการณ์แบบ Hybrid Multicloud ที่จะทำให้คุณได้รับประสบการณ์แบบเดียวกันบนทุกระบบ สามารถทำซ้ำได้ และคาดเดาค่าใช้จ่ายได้

    ระบบ Hyperconverged Infrastructure แบบเดิมนั้นไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการในปัจจุบันได้อีกต่อไป

    ถึงแม้ว่าการติดตั้งใช้งานระบบ Hyperconverged Infrastructure ในยุคแรก จะทำให้เห็นประโยชน์จากการใช้งานในเบื้องต้นได้ ในการติดตั้งในระบบขนาดเล็ก เนื่องจากความง่าย ความสามารถในการรวมศูนย์จากระบบ Silo ที่แยกเป็นส่วนๆ และการติดตั้งสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว แต่ธุรกิจองค์กรเหล่านี้ก็ต้องพบว่าระบบเหล่านั้นกลับมีปัญหาด้านประสิทธิภาพเมื่อมีการใช้งานระบบในขนาดใหญ่ ส่งผลให้นักพัฒนานั้นต้องหงุดหงิดกับประเด็นปัญหาด้านประสิทธิภาพ และหาทางออกด้วยการไปใช้บริการระบบ Public Cloud ที่มีบริการให้พร้อมใช้งานได้ทันทีเป็นการทดแทน เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูงขึ้น ใช้เวลาในการทำงานมากขึ้น และยังอาจเกิดประเด็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งค้านกันกับวัตถุประสงค์หลักของ Hyperconverged เอง ที่ควรจะมีส่วนในการลดค่าใช้จ่ายด้วย

    NetApp HCI ระบบโครงสร้างพื้นฐานใหม่สำหรับ Cloud

    Credit: NetApp

    ถึงแม้ว่าองค์กรต้องจะการทั้งความเร็วและความง่ายในการใช้งานบริการ Pubic Cloud ก็ตาม แต่องค์กรธุรกิจส่วนใหญ่นั้นไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยการใช้งานระบบทั้งหมดบน Public Cloud เพียงอย่างเดียวเท่านั้น สาเหตุประการแรกก็คือ Application ส่วนมากนั้นถูกพัฒนาขึ้นมาให้สามารถใช้งานได้นั้นไม่ได้ถูกพัฒนามาเพื่อให้นำไปติดตั้งบน Cloud อีกทั้งยังมีปัจจัยด้านความมั่นคงปลอดภัย ประสิทธิภาพ และค่าใช้จ่ายที่ผู้นำด้าน IT ต้องพิจารณา ในขณะที่ธุรกิจองค์กรระดับโลกนั้นก็ยังต้องมั่นใจให้ได้อีกด้วยว่าจะทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้านข้อมูลในทุกๆ ประเทศที่ตนเองเข้าไปทำธุรกิจอีกด้วย

    ความคล่องตัวที่มีบนบริการ Public Cloud และความสามารถในการใช้บริการจากทรัพยากรที่มีอยู่บน Private Cloud และ Public Cloud เป็นสิ่งที่ต้องมีไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ต้องมีการคำนึงถึง Workload ขององค์กรเข้าด้วย โดยไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบ และ Workload ในปัจจุบัน องค์กรต้องติดตั้งระบบที่ต้องการจาก Private Cloud Platform ที่มีอยู่ผ่านทาง Service Catalog และเร่งความเร็วให้กับระบบ Virtual Desktop Infrastructure (VDI) ที่มีอยู่ให้ทำงานสอดคล้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถสนับสนุนระบบ Containerized Application และรองรับกระบวนการทางด้าน DevOps ให้ได้

    การทำให้ประสบการณ์แบบ Cloud สามารถใช้งานได้จริงนั้น ระบบดังกล่าวจะต้องมีความสามารถดังนี้:

    • การใช้งานได้ง่ายด้วยประสบการณ์เดียวกันบนทั้ง Private Cloud และ Public Cloud เพื่อให้ทีม DevOps ของคุณสามารถติดตั้งบริการใหม่ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

    • สามารถบริหารจัดการ การใช้งานได้ด้วยตนเอง เพื่อให้ทีมงานของคุณใช้งานระบบ IT ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

    • สามารถบริหารจัดการบริการต่างๆได้แบบอัตโนมัติ เพื่อลดความผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

    • ใช้งานได้ด้วยประสบการณ์เดียวกันบน Public Cloud และ Private Cloud ที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี และความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน

    ด้วยความต้องการเหล่านี้ทั้งหมดก็จะทำให้ประสบการณ์แบบ Hybrid Multicloud สามารถเป็นไปได้จริงได้เฉพาะบนระบบ Hybrid Cloud Infrastructure เท่านั้น

    NetApp HCI ตอบโจทย์ Hybrid Cloud Infrastructure

    ด้วยการออกแบบมาเป็นแบบ Cloud-First ระบบ NetApp HCI จึงสามารถนำเสนอ Hybrid Cloud Infrastructure ที่ทำให้คุณสามารถเปลี่ยนระบบ IT ที่เคยเป็น Cost Center มาสู่การเป็น Service Center ซึ่งสามารถเร่งความเร็วให้กับธุรกิจของคุณและสร้างรายรับได้

    เพิ่มความรวดเร็วในการทำ Hybrid Cloud และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

    NetApp HCI ช่วยให้คุณสามารถติดตั้งและบริหารจัดการบริการต่างๆ บน On-Premises และ Public Cloud ได้อย่างง่ายดาย ทำให้ทีม DevOps ของคุณสามารถเปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นรายรับได้ง่ายดายยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายด้าน IT ที่ซ้ำซ้อนอีกต่อไป

    ลดข้อจำกัดเดิมๆและสามารถควบคุมประสิทธิภาพของระบบคุณได้เอง

    NetApp HCI ทำให้คุณจัดการกับงานที่ซับซ้อนในการบริหารจัดการได้แบบอัตโนมัติ และนำเสนอบริการใหม่ๆ ได้โดยไม่ขึ้นกับระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้งานอยู่อีกต่อไป โดยสามารถติดตั้ง NetApp HCI ให้ทำงานในรูปแบบกระจายเป็นหลายๆภูมิภาค (หรือ Region) ได้ เช่นอาจจะเปิดใช้งานเป็น Region ใหม่ของบริการ Cloud ในลำดับที่ 4 หรือ 5 ขององค์กรก็ตาม ด้วยความสามารถในการเคลื่อนย้าย การปกป้อง และการบริหารจัดการ Application ข้ามระบบ Cloud ได้อย่างอิสระ

    สามารถทำให้สร้างธุรกิจใหม่ๆได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

    ด้วยระบบ Hybrid Cloud Infrastructure ที่ใช้งาน NetApp Kubernetes คุณสามารถเข้าถึงระบบ Microservices ที่ดีที่สุดได้จากผู้ให้บริการ Public Cloud ของคุณและผสานรวมระบบเหล่านั้นเข้ากับบริการที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเฉพาะบน Private Cloud ของคุณ คุณสามารถมีประสิทธิภาพในระดับเดียวกับ Public Cloud ได้บนระบบ On-Premises ในขณะที่ยังเริ่มนำเสนอระบบ Application ใหม่ได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม

    คุณสามารถเลือกได้

    NetApp ผู้จัดการควบคุมข้อมูลสำหรับ Hybrid Cloud ได้สร้างกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ทางด้าน Data Fabric ขึ้นมาเพื่อให้บริการข้อมูลนั้นง่ายดายและผสานรวมกันได้มากยิ่งขึ้นสำหรับตอบโจทย์ Application ภายในองค์กรและ Cloud-Native Application คุณจะได้รับอิสระในการใช้พลังประมวลผลและระบบสำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ผสมผสานกันได้ตามต้องการบนระบบ Hybrid Multicloud มีเพียง NetApp เท่านั้นที่นำเสนอระบบโครงสร้างพื้นฐานซึ่งออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับ Hybrid Cloud เท่านั้น

    ด้วยกลยุทธ์ Cloud-First ทาง NetApp ได้จับมือกับพันธมิตรผู้ให้บริการระบบ Public Cloud และ Private Cloud ซึ่งเราเชื่อว่าลูกค้าของเราควรจะมีทางเลือกที่ตรงต่อความต้องการทางธุรกิจและผลลัพธ์ที่ต้องการ

    ผู้ดูแลระบบ Storage (Storage Administrators)

    สามารถควบคุมและใช้งาน Local Storage หรือ NetApp Cloud Storage ใดๆ ที่ต้องการก็ได้ เพื่อย้ายข้อมูลของ Application ที่ต้องการไปมาได้อย่างอิสระ

    นักพัฒนา (Developers)

    สามารถใช้งานเทคโนโลยีที่คุณต้องการเพื่อการพัฒนา Application ได้อย่างรวดเร็วอย่างปลอดภัย โดยเลือกใช้ Cloud ที่ต้องการได้เอง

    ผู้ออกแบบสถาปัตยกรรม Cloud (Cloud Architects)

    มีเครื่องมือ, บริการ และช่องทางการรับส่งข้อมูลที่เตรียมไว้ให้แล้ว สำหรับการใช้งาน Cloud ของคุณ

    เทคโนโลยีของ NetApp ช่วยให้คุณสามารถใช้งาน Hypervisor, Container และ Cloud ที่คุณเลือกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เราไม่แข่งขันกับผู้ให้บริการ Public Cloud แต่เราเป็นพันธมิตรกับพวกเขาเพื่อให้คุณมีทางเลือกที่ยืดหยุ่นสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ การย้ายจาก Application ไปสู่การเป็น Service และการย้ายจาก Virtual Machine ไปสู่การเป็น Container อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยประสบการณ์ด้าน Storage และข้อมูลหลายสิบปีของ NetApp ก็ทำให้ NetApp มีหนทางที่เป็นเอกลักษณ์ในการช่วยให้องค์กรและหน่วยงานของคุณประสบความสำเร็จได้

    สร้างประสบการณ์ Hybrid Multicloud ที่แท้จริงด้วย NetApp

    จากวันเวลาที่เคยใช้ในระบบ Silo ที่กระจัดกระจาย และหลายเดือนที่เคยใช้ในการขึ้นระบบใหม่นั้นจบลงแล้ว Private Cloud ทุกวันนี้จะต้องตอบสนองได้ด้วยความเร็วที่เทียบเท่า Public Cloud หากองค์กรคุณต้องการบริการระบบ Hybrid Cloud Service อเนกประสงค์ที่รองรับได้ทั้ง Application แบบดั้งเดิมและแบบใหม่ไปพร้อมกัน และทำงานได้บนทั้ง Data Center และ Public Cloud ของคุณ ด้วยการตอบทุกโจทย์ของผู้ใช้งานทุกคนและความรับผิดชอบขององค์กร คุณสามารถเพิ่มความคล่องตัวและความสามารถในองค์กรของคุณเพื่อก้าวต่อไปได้ด้วยการนำข้อมูลมาใช้เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจ

    องค์กรที่ใช้งาน NetApp HCI นั้นมีอิสระในการเลือกซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจของพวกเขานั้นประสบความสำเร็จและตอบรับต่อความคาดหวังที่สูงขึ้นของผู้ใช้งานได้ ในขณะที่ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การคงความง่ายในการใช้งานเอาไว้ และสามารถนำเสนอบริการใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ควบคุมระบบ Cloud ของคุณและเร่งสร้างบริการใหม่ๆ ด้วย NetApp HCI ได้แล้ววันนี้

    สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างประสบการณ์แบบ Hybrid Multicloud

    กรุณาคลิกที่นี่ https://www.netapp.com/us/forms/campaign/evolving-hyperconvergence-with-hybrid-multicloud.aspx

    ]]>
    Tue, 03 Mar 2020 06:23:37 +0000
    <![CDATA[[รีวิว] ASUS ExpertPC D3401SFF คอมพิวเตอร์ทำงานที่รองรับงานกราฟฟิก, Streaming ได้ด้วย NVIDIA RTX 2060]]> https://encom.co.th/blog/2002017-5/ มาพบกับรีวิวเครื่อง Commercial PC ของ ASUS กันอีกครั้ง โดยครั้งนี้จะเป็นรุ่น ASUS ExpertPC D3401SFF เครื่อง Tower รุ่นราคาประหยัดแต่จัดสเป็คได้ถึงรุ่นใหญ่ ก็เรียกได้ว่าเป็นอีกเครื่องที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับตอบโจทย์กลุ่ม Power User ที่ต้องการ PC ประสิทธิภาพสูงสำหรับเอาไว้ทำงานทางด้านกราฟฟิก, Streaming ไปจนถึงการ Train ระบบ AI ในระดับที่ใช้การ์ดจอ 1 ใบ

    ASUS ExpertPC D3401SFF: PC ทำงานรุ่นราคาประหยัดที่สเป็คไม่เล็กตามราคา

    โดยทั่วไปเวลาเราได้ยินว่าเครื่องรุ่นไหนเป็น Commercial PC รุ่นราคาประหยัดหรือ Entry Level นั้น เราก็มักนึกถึงเครื่องสเป็คเล็กๆ เน้นราคาถูกๆ เพื่อให้นำไปใช้งานด้านเอกสารเป็นหลักและทำงานอย่างอื่นได้นิดๆ หน่อย แต่กับ ASUS ExpertPC D3401SFF นี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเครื่องนี้เป็น Commercial PC รุ่นราคาประหยัดที่สามารถจัดสเป็คแรงๆ สำหรับใช้งานหนักๆ ได้สบายๆ

    ASUS ExpertPC D3401SFF นี้เป็นเครื่อง Tower ที่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ออกแบบมาเรียบหรูดูแข็งแรงทนทานเหมือนเครื่องอื่นๆ ในตระกูล ASUS ExpertPC รองรับ CPU สูงสุดถึง 9th Gen Intel Core i7 พร้อมหน่วยความจำแบบ DDR4 สูงสุด 32GB และการติดตั้ง SSD สูงสุด 512GB ทำงานคู่กับ HDD ความจุ 2TB

    จุดที่โดดเด่นที่สุดของเครื่องรุ่นนี้ก็คือการที่เครื่องถูกออกแบบมาให้รองรับการติดตั้งการ์ดจอได้สูงสุดถึง NVIDIA GeForce RTX 2060 เรียกได้ว่าหากมีงานไหนที่ต้องใช้ CPU และการ์ดจอแรงๆ เครื่องนี้ก็ตอบโจทย์ได้อย่างสบายๆ

    ในแง่ของความทนทาน เครื่องนี้ก็เป็นอีกเครื่องที่ผ่านมาตรฐาน MIL-STD-810G รองรับการใช้งานได้ถึงในระดับการทหาร และผ่านการทดสอบด้านความทนทานมากมาย ทั้งการสั่นสะเทือน, การกระแทก, การทนต่อความชื้น, การทนต่ออุณหภูมิสูงและต่ำ, การตกกระแทกและการสั่นสะเทือนของหีบห่อ ลดโอกาสที่จะเกิดกรณี Dead on Arrival ได้เป็นอย่างดี

    ประกันที่แถมมากับ ASUS ExpertPC D3401SFF นี้ก็เป็นแบบ 3 Year Onsite Service : บริการซ่อมถึงที่ 3 ปี, 3 Year Global Warranty : รับประกัน 3 ปีทั่วโลก และ 1 Year Perfect Warranty : รับประกันอุบัติเหตุ 1 ปีรองรับอุบัติเหตุที่อาจเกิดโดยคาดไม่ถึงมาให้ด้วย

    สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ASUS ExpertPC D3401SFF สามารถศึกษาข้อมูลได้ที่ https://www.asus.com/th/Commercial-Desktop/ASUS-ExpertPC-D3401SFF/

    แกะกล่อง ลองใช้ของจริง

    ในการแกะกล่องเครื่องนี้มาทดสอบก็ถือว่าไม่ลำบากมากนัก ตัวเครื่องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ น้ำหนักประมาณ 7.5 กิโลกรัมก็ยังพอยกไปติดตั้งไหวสบายๆ

    ตัวเครื่องที่ให้มานี้มาพร้อมกับสเป็ค CPU Intel Core i7-9700, RAM ขนาด 32GB, ติดตั้ง HDD และมาพร้อมกับการ์ดจอรุ่น NVIDIA GeForce GTX1660 ซึ่งก็ถือว่าเป็นรุ่นที่สเป็คสูงเพียงพอสำหรับรองรับงานหลายๆ แบบได้แล้ว และยังทำให้การทดสอบการใช้งานเห็นได้ชัดเจนว่า Workload ที่เราต้องการใช้นั้นจะใช้ทรัพยากรส่วนไหนของเครื่องบ้าง

    สำหรับประสบการณ์การทดสอบจริง ก็มีดังต่อไปนี้ครับ

    • เนื่องจากเครื่องนี้ติดตั้ง HDD มาให้ใช้เท่านั้น ตอนบูทเครื่องหรือตอนอัปเดต Windows 10 เลยช้าเล็กน้อย แต่ก็ยังพอรับได้

    • ใส่แรมมาให้ 32GB เปิด Google Chrome หลายแท็บได้สบายๆ ไม่มีปัญหา

    • มี Driver และ Tool ต่างๆ เกี่ยวกับการ์ดจอมาให้ใช้งานได้เลย ไม่ต้องติดตั้งเอง แค่อัปเกรดให้ถึงรุ่นล่าสุดก็พร้อมใช้งานจริงได้แล้ว

    • ให้ NVIDIA GeForce GTX 1660 มา สามารถทดสอบเปิดวิดีโอขนาด 8k บน YouTube ได้พร้อมกันสองไฟล์ โดยยังใช้พลังประมวลผลแค่ราวๆ 50% ของการ์ดจอเท่านั้น ถือว่าดีทีเดียว



    • อัปเกรดได้ถึง NVIDIA RTX 2060 สำหรับคนที่ต้องการ Ray Tracing หรือต้องการทำงานด้าน AI อย่างเต็มประสิทธิภาพ

    • มีลำโพงในตัวเครื่องเลย ทำให้ประหยัดพื้นที่ติดตั้งไปอีกเล็กน้อย แต่ตอนใช้ทำงานจริงก็คงต้องเสียบหูฟังเพื่อรักษาบรรยากาศการทำงานอยู่ดี แต่นอกเวลางานก็พอจะใช้บันเทิงหรือดูหนังเล็กๆ น้อยๆ ได้

    • พอร์ตด้านหน้าเครื่องมีพอใช้งาน ให้มาทั้ง USB แบบเดิมและ USB-C


    • ด้านบนมีที่ให้มือจับ สะดวกดีเวลายกเพื่อย้ายตำแหน่งเครื่อง

    • ทำงานเสียงเงียบ ดังเฉพาะตอนบูทเครื่องหรือตอนโหลดหนักๆ เท่านั้น

    • มาพร้อม Windows 10 Home บังคับว่า Account แรกต้องผูกกับ Microsoft Account เสมอ ต่างจาก Windows 10 Pro ที่เลือกได้ว่าจะสร้างมาทำงานก่อนโดยไม่ผูกกับ Microsot Account ได้ แต่ตอนซื้อจริงสามารถเลือก Windows 10 Pro ได้

    • Bios แบบใหม่ สวยงาม ใช้เมาส์ได้แล้ว

    • ลองกด Windows Update มาจนถึงรุ่นล่าสุด ทุกอย่างปกติดีไม่มีปัญหาอะไร

    สำหรับเครื่องนี้ถ้าใส่ SSD มาให้ทดสอบด้วยก็น่าจะเต็มอิ่มยิ่งขึ้นกับการทดสอบด้านประสิทธิภาพ ซึ่งหากใครจะซื้อไปใช้จริงๆ ก็ขอแนะนำให้มองเป็นรุ่น SSD เลยครับเพื่อความเร็วในการใช้งานระยะยาว ส่วนถ้าอยากได้พื้นที่เก็บไฟล์ต่างๆ ก็ลองเลือกดูว่าจะใช้ SSD ขนาด 512GB หรือติดตั้ง HDD แยกอีกลูกขนาด 2TB ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีทั้งคู่

    จุดที่ประทับใจคือความพร้อมของเครื่องที่ถึงแม้เปิดครั้งแรกจะต้องมีการติดตั้งเบื้องต้นเล็กน้อย แต่พอพ้นขั้นตอนนั้นแล้วเครื่องก็พร้อมให้ใช้งานได้ทันทีด้วยเครื่องมือต่างๆ และ Driver ของการ์ดจอที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน ถือเป็นข้อดีของ ASUS ที่ผลิตเองทั้ง PC และการ์ดจอ ทำให้การ Integrate ระบบเข้าด้วยกันนั้นเป็นไปได้อย่างเรียบง่ายสำหรับผู้ใช้งานครับ

    อีกจุดหนึ่งที่ถือว่าเป็นข้อดีมากๆ ก็คือการที่ ASUS มีเครื่องพร้อมการ์ดจอให้ทำการทดสอบได้ก่อนซื้อ ดังนั้นหากบริษัทไหนมีข้อกังวลเรื่องประสิทธิภาพของการ์ดจอ และความเข้ากันได้ของ Software สามารถติดต่อทีมงาน ASUS ได้เลยครับ

    สรุปข้อดีข้อเสีย

    ข้อดี

    • เป็นเครื่อง Entry Level ที่จัดสเป็คให้ใหญ่มากได้ รองรับประสิทธิภาพได้หลาย Workload ในเครื่องเดียว อยู่ที่การเลือกสเป็ค Hardware ภายใน

    • รองรับการ์ดจอได้ถึง NVIDIA GeForce RTX 2060 รองรับงานได้หลากหลาย

    • มี Driver และเครื่องมือต่างๆ เกี่ยวกับการ์ดจอให้พร้อมใช้งานได้เลย สะดวกมากๆ

    • เครื่องมีขนาดใหญ่ทำให้ข้างในค่อนข้างโล่ง เปิดเครื่องมาดูแลแล้วจัดการกับสายต่างๆ ได้ง่าย

    • เป็นเครื่องแรกที่มีที่จับบนตัวเครื่องให้ ยกย้ายได้สบายในน้ำหนักเท่านี้

    ข้อเสีย

    • เคสเครื่องใหญ่ไปนิดหน่อย และน้ำหนักถือว่าค่อนข้างหนัก แต่หากเทียบว่าสามารถใช้งานการ์ดจอรุ่น RTX 2060 ได้ก็ถือว่าไม่ใช่ประเด็นใหญ่นัก

    • เครื่องนี้ไม่ได้เป็นแบบ Tool-less ดังนั้นเวลาถอดเครื่องเปิดมาดูแลหรืออัปเกรดก็ยังต้องใช้ไขควงอยู่

    • เทียบกับเครื่องอื่นๆ ของ ASUS ที่เคยทดสอบถือว่ามีพอร์ต USB มาให้น้อยกว่า แต่ใช้งานจริงก็ถือว่ากำลังพอดี

    • ช่องใส่การ์ด PCI-E อยู่ด้านล่าง ดังนั้นเวลาติดตั้ง Wi-Fi แล้วเดินสายมายัง Antenna เพื่อตั้งบนตัวเครื่องสายจะรกด้านหลังเครื่องเล็กหน่อย

    ติดต่อทีมงาน ASUS ประเทศไทย

    สำหรับผู้ที่สนใจสินค้าของ ASUS และต้องการข้อมูลรายละเอียดต่างๆ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.asus.com/th/Commercial-Desktop/ASUS-ExpertPC-D3401SFF/

    ]]>
    Mon, 17 Feb 2020 02:20:40 +0000
    <![CDATA[Supermicro นำ Server ทดสอบ ผ่านการรองรับการทำงานร่วมกับโซลูชันของ Oracle จำนวนมากอย่างเป็นทางการ]]> https://encom.co.th/blog/2002017-4/ Supermicro หนึ่งในสมาชิกระดับ Gold ของ Oracle PartnerNetwork (OPN) ได้ออกมาประกาศรองรับการทำงานร่วมกับโซลูชันของ Oracle โดยมี Server จำนวนมากที่ได้ผ่านการทดสอบในครั้งนี้ เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับธุรกิจองค์กรในการลงทุนใช้งานโซลูชันจาก Oracle บน Hardware ที่มีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

    Credit: Supermicro

    การทดสอบความเข้ากันได้ระหว่าง Software และ Hardware ในครั้งนี้ เป็นการทดสอบการนำ Oracle Linux 7.6/7.7 ที่มาพร้อมกับ Unbreakable Enterprise Kernel และ Oracle VM Server 3.4 รุ่นสำหรับ CPU ตระกูล x86 ไปทดสอบติดตั้งใช้งานบน Server ของ Supermicro ในหลากหลายตระกูล ได้แก่ Ultra, TwinPro, FatTwin, 4-way/8-way MP Server ตาม Testing Guideline เพื่อให้ธุรกิจองค์กรสามารถมั่นใจได้ว่าจะใช้งานโซลูชัน Cloud และ Virtualization รวมถึง Enterprise Database Application จาก Oracle ที่ติดตั้งบน Supermicro ได้อย่างราบรื่น และถูกระบุว่าอยู่ภายใต้ Hardware Compatibility List ของ Oracle อย่างเป็นทางการ

    Server จาก Supermicro รุ่นที่ผ่านการทดสอบในครั้งนี้ ล้วนเป็นรุ่นที่รองรับ CPU 2nd Generation Intel Xeon Scalable Processor ทำให้สามารถใช้งาน Intel Optane DC Persistent Memory เพื่อเร่งความเร็วในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และฐานข้อมูลให้สูงยิ่งขึ้นได้ และยังสามารถใช้งาน CPU ขนาด 28 Core ร่วมกับหน่วยความจำที่ความเร็วสูงสุด 2933 MHz ได้ด้วย

    ผู้ที่สนใจสามารถตรวจสอบรายการของ Server ที่ผ่านการทดสอบร่วมกับผู้ผลิต OS, Hypervisor และ GPU รายต่างๆ จาก Supermicro ได้ที่ https://www.supermicro.com/support/resources/OS/OS_Certification_Intel.cfm?mlg=0

    ]]>
    Mon, 17 Feb 2020 02:18:09 +0000
    <![CDATA[Azure เปิดทดลอง Azure Shared Disk สนับสนุนการทำ Cluster Application]]> https://encom.co.th/blog/2002017-3/ Azure ได้ประกาศเปิดทดลอง Azure Shared Disk ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแชร์ Block Storage เพื่อประโยชน์การทำงานให้กับ Cluster Application

    credit : Azure

    บริการ Azure Shared Disk จะช่วยตอบโจทย์เรื่อง Consistency ให้ผู้ใช้งานที่ทำ Cluster ให้แก่ Application โดยหากใครที่ใช้ SCSI Persistent Reservation (PR) อยู่แล้วท่านจะสามารถใช้คำสั่งเดียวกันในการ Register โหนดใน Cluster เข้ามายัง Disk ซึ่งรองรับในหลายโหมดว่าจะอ่านหรือเขียนอย่างไร ตัวอย่างไดอะแกรมการใช้งานในรูปแบบที่ 1 (ตามภาพด้านบน)

    1.) มีการทำ Cluster App รันบน Azure VM 2 ตัวซึ่งขั้นแรกได้ Register ให้เข้าอ่าน/เขียน Disk ได้ทั้งคู่

    2.) เริ่มแรก VM1 จะจองสิทธิ์เขียนไว้ก่อน ซึ่งมีการบังคับใช้กับ Azure Disk ให้อนุญาต VM1 เขียนได้ตัวเดียว

    3.) หากแอปบน VM1 ล่ม แอปบน VM2 จะเริ่มทำ Database Failover และเข้ายึด Disk แทน

    4.) มีการบังคับใช้ Azure Disk ให้รับการเขียนจากแอปบน VM2 แต่ผู้เดียวแทน

    5.) Database Failover เสร็จสมบูรณ์และรับข้อมูลจาก VM2

    credit : Azure

    อีกรูปแบบของการใช้งาน Shared-Disk ในงานที่หลายโหนดทำงานพร้อมกัน เช่นการเทรนนิงโมเดลด้าน Machine Learning มีขั้นตอนคือ

    1.) Register ทุก VM เข้ามายัง Disk

    2.) แอปพลิเคชันบน VM1 จองเขียนแต่เพียงผู้เดียวแต่ VM อื่นเข้าอ่านได้

    3.) บังคับใช้ Azure Disk ให้เป็นไปตามที่กำหนด

    สำหรับปัจจุบัน Azure Shared Disk จะรองรับกับ Premium SSD ที่มากกว่า P15 ได้ด้วย(ชื่อรุ่น Disk ของ Azure) แต่สามารถแชร์ได้แค่ส่วน Data Disk เท่านั้นไม่เกี่ยวกับ OS ซึ่งคิดราคาตามขนาดของ Disk นอกจากนี้ยังสามารถรองรับการใช้งานได้กับการทำ Cluster ทั้ง Windows และ Linux ที่ถูกจัดการด้วย Windows Server Failover Cluster (WSFC), Pacemaker หรือ Corosync ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ (ผู้สนใจทดสอบกรอกรายละเอียดได้ที่นี่)

    ที่มา :  https://azure.microsoft.com/en-us/blog/announcing-the-preview-of-azure-shared-disks-for-clustered-applications/

    ]]>
    Mon, 17 Feb 2020 02:17:15 +0000
    <![CDATA[Fortinet เปิดตัว FortiGate 40F ราคาย่อมเยาว์สำหรับธุรกิจ SMB]]> https://encom.co.th/blog/2002017-2/

    Fortinet ประกาศเปิดตัวอุปกรณ์ Secure SD-WAN รุ่นใหม่ซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB) โดยเฉพาะ คือ FortiGate 40F โดยมาพร้อมกับชิปประมวลผล SoC4 SD-WAN ASIC ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อเครือข่าย WAN และฟีเจอร์ด้านความมั่นคงปลอดภัยแบบครบครัน

    FortiGate 40F ถูกแบ่งออกเป็น 3 เวอร์ชัน ตอบโจทย์การใช้ 3 รูปแบบ ได้แก่

    • FortiGate 40F แบบพร้อมใช้งานทันที – สำหรับองค์กรที่มีสาขาขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก และมีพนักงานแต่ละสาขาจำนวนจำกัด FortiGate 40F ถูกออกแบบมาให้พร้อมติดตั้งและใช้งานด้านความมั่นคงปลอดภัยและ SD-WAN ได้ภายในไม่กี่นาที พร้อมเพิ่ม Visibity และยกระดับประสบการณ์ใช้งานแอปพลิเคชัน SaaS อย่าง Office 365 ได้เป็นอย่างดี

    • FortiGate 40F แบบ LTE – สำหรับสำนักงานที่ต้องการการเชื่อมต่อตลอดเวลา FortGate 40F มาพร้อมกับ Built-in LTE เพื่อใช้เป็นทางเลือกในการเชื่อมต่อ WAN หากลิงค์อินเทอร์เน็ตหลักเกิดปัญหา

    • FortiGate 40F แบบ Wi-Fi – สำหรับสำนักงานขนาดเล็ก FortiGate 40F มาพร้อมกับ Built-in Wireless Access Point ในตัว ซึ่งช่วยให้พนักงานสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายแบบไร้สายได้ทันที

    FortiGate 40F มาพร้อมกับพอร์ตการเชื่อมต่อ Ethernet แบบ 1 GbE จำนวน 3 พอร์ต และ WAN แบบ 1 GbE อีก 1 พอร์ต รองรับ Firewall Throughput สูงสุด 5 Gbps, NGFW 800 Mbps และ Threat Prevention 600 Mbps ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.fortinet.com/content/dam/fortinet/assets/data-sheets/fortigate-fortiwifi-40f-series.pdf

    ]]>
    Mon, 17 Feb 2020 02:16:05 +0000
    <![CDATA[Microsoft เตือนผู้ดูแล Exchange เร่งปิด SMBv1 ป้องกันมัลแวร์]]> https://encom.co.th/blog/2002017-1/ มีการโพสต์แจ้งเตือนจาก Microsoft Tech Community ที่ออกมาเตือนให้ผู้ดูแลเซฺร์ฟเวอร์ Exchange เร่งปิด SMBv1 เสียก่อนตกเป็นเหยื่อของมัลแวร์ TrickBot และ Emotet


    Credit : microsoft

    ข้อความในโพสต์กล่าวว่า “เพื่อป้องกัน Exchange ของท่านจากความเสี่ยงของมัลแวร์ใหม่ๆ เช่น Emotet, Trickbot หรือ WannaCry เราขอเตือนให้ปิด SMBv1 บนเซิร์ฟเวอร์ Exchange ซะ” สำหรับ Microsoft ได้พยายามเตือนหลายปีแล้วว่า SMBv1 นั้นไม่ปลอดภัยอย่างไร โดยอย่างน้อยๆ คือไม่มีการป้องกันด้านความมั่นคงปลอดภัยเหมือนเวอร์ชันใหม่แน่

    สำหรับผู้ใช้งาน Windows 10 1709 ขึ้นไปและ Windows Server ในช่วงหลังที่ออกมาจากไม่มีการติดตั้ง SMBv1 มาแล้วแต่จะใช้เป็น SMBv3 แทน ดังนั้นความเสี่ยงจะตกอยู่กับผู้ที่ยังใช้งาน Windows รุ่นเก่าโดยสามารถตรวจสอบได้ดังนี้

    • Windows Server 2008 R2 สามารถใช้คำสั่ง ‘Get-Item HKLM:\SYSTEM\CurrentControlSet\Services\LanmanServer\Parameters | ForEach-Object {Get-ItemProperty $_.pspath}’ หากค่า SMB1 Value เป็น 1 แสดงว่ามีการเปิดใช้งานอยู่ให้ใช้คำสั่งปิดว่า ‘Set-ItemProperty -Path “HKLM:\SYSTEM\CurrentControlSet\Services\LanmanServer\Parameters” -Name SMB1 -Type DWORD -Value 0 –Force’

    • Windows Server 2012 สามารถใช้คำสั่ง ‘Get-SmbServerConfiguration | Select EnableSMB1Protocol’ หากค่า SMB1 Value เป็น True แสดงว่ามีการเปิดใช้งานอยู่ให้ใช้คำสั่งปิดว่า ‘Set-SmbServerConfiguration -EnableSMB1Protocol $false -force’

    • Windows Server 2012 R2 สามารถใช้คำสั่ง ‘(Get-WindowsFeature FS-SMB1).Installed Get-SmbServerConfiguration | Select EnableSMB1Protocol’ หากค่า SMB1 Value เป็น True แสดงว่ามีการเปิดใช้งานอยู่ให้ใช้คำสั่งปิดว่า ‘Disable-WindowsOptionalFeature -Online -FeatureName smb1protocol Set-SmbServerConfiguration -EnableSMB1Protocol $false’

    ที่มา :  https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-urges-exchange-admins-to-disable-smbv1-to-block-malware/

    ]]>
    Mon, 17 Feb 2020 02:14:39 +0000
    <![CDATA[ทวิตเตอร์พบคนร้ายใช้ API จับคู่เบอร์โทรศัพท์กับชื่อบัญชี]]> https://encom.co.th/blog/2002011-5/ ทวิตเตอร์ได้ประกาศเหตุการณ์พบแฮ็กเกอร์ใช้ API เพื่อจับคู่ระหว่างเบอร์โทรศัพท์และชื่อบัญชี

    เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมาทางทวิตเตอร์พบว่ามีกลุ่มเครือข่ายของบัญชีปลอมลอบใช้ API เพื่อจับคู่เบอร์โทรศัพท์และชื่อบัญชี ต่อมาจึงได้ทำการสืบสวนและแจ้งเตือนผู้ใช้งาน ซึ่งปัจจุบันทีมงานได้ระงับบัญชีต้องสงสัยเหล่านั้นและจำกัดบางอย่างในการตอบสนองการ Query แล้ว

    โดยปกติ API Endpoint ดังกล่าวจะถูกใช้ช่วยหาเพื่อนใหม่ทางทวิตเตอร์ที่ใส่หมายเลขโทรศัพท์ในบัญชีและต้องเปิดอนุญาตให้ถูกค้นหาเจอได้ด้วย (เหมือนอนุญาตหาด้วยเบอร์ในไลน์) ซึ่งบริษัทชี้ว่าบางไอพีอาจถูกใช้จากแฮ็กเกอร์ที่มีรัฐสนับสนุน อย่างไรก็ตามดูเหมือนไอพีจะกระจายอยู่ในหลายประเทศแต่ทีมงานพบว่า Request จำนวนมากมาจากไอพีของอิหร่าน อิสราเอล และมาเลเซีย

    ที่มา :  https://www.bleepingcomputer.com/news/security/twitter-fixed-issue-exploited-to-match-phone-numbers-to-accounts/

    ]]>
    Tue, 11 Feb 2020 02:59:03 +0000
    <![CDATA[Chrome 80 ออกแล้ว!]]> https://encom.co.th/blog/2002011-4/ Google ได้ปล่อย Chrome เวอร์ชัน 80 มาแล้วซึ่งมีการอัปเดตใหม่หลายรายการ เช่น Same-site cookies, Notification popups, mixed content และ heavy ads

     

    ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจมีดังนี้

    1.Same-site Cookies

    ที่แล้วมากลไกของ Cookies ทำให้ผู้ใช้งานถูกพวกจ้องโฆษณาติดตามการท่องเว็บของเราได้ เหตุเพราะบราวน์เซอร์อนุญาตการโหลดของไฟล์ Cookies โดยไม่สนใจโดเมนที่สร้างและหน้าเว็บ แต่ไม่มีอีกต่อไปใน Chrome เวอร์ชัน 80 ที่จะอนุญาตโหลด Cookies เฉพาะจากหน้าโดเมนเดียวกัน (เรียกว่า First-party Cookies หรือ Same-site Cookies) ถ้าหากเว็บไซต์ต้องการโหลด Cookies จาก Third-party ผู้ดูแลจะต้องไปเปิดการตั้งค่าในไซต์ตนกับ Http Header เพื่อให้ Chrome รับรู้และเปิดอนุญาตแก่ผู้เข้าชม ผู้สนใจสามารถติดตามเพิ่มเติมได้จากวีดีโอด้านบน

    2.Notification Spam

    เว็บที่ชอบสแปมผู้เข้าชมด้วย Notification Popup จะไม่สามารถรบกวนผู้เยี่ยมชมได้ต่อไป เพราะ Notification จะไปหลบอยู่ในไอคอนใต้ Chrome URL Address Bar ตามรูป

    credit : google

    3.Mixed Content

    Mixed Content คือการที่เว็บไซต์ไม่ได้มีการโหลด Resource เป็น HTTPS อย่างแท้จริง โดยอาจมีบางส่วนที่โหลดเป็น HTTP ซึ่งทาง Google ได้มีมาตรการผลักดันที่เวอร์ชัน 80 จะเป็นระยะที่สองของมาตรการคือ

    • อัปเดตอย่างอัตโนมัติให้การโหลด audio และ video สู่ HTTPS พร้อมกำหนดให้ Chrome บล็อกเป็น Default หากโหลดเป็น HTTPS ไม่สำเร็จ

    • รูปที่ไม่เป็น HTTPS ยังโหลดได้แต่จะโชว์เว็บเป็น ‘Not Secure’ ด้วย

    4.Block Heavy Ads

    โฆษณาไหนที่กินทรัพยากรมากผู้ใช้งานสามารถเข้าไปที่ chrome://flags/#enable-heavy-ad-intervention และเปิดฟีเจอร์นี้เพื่อบล็อกการโหลดได้

    credit : google

    5.Text URL Fragment

    เป็น API ใหม่ที่จะทำให้ Chrome ลิงก์ไปยังลิงก์ที่จดจำได้ด้วยข้อความอย่างเจาะจงบนเว็บไซต์ โดยเมื่อ Chrome โหลดลิงก์เหล่านี้บราวน์เซอร์จะไฮไลต์ข้อความและเลื่อนส่วน Fragment ไปยังหน้าวิว

    รายละเอียดอื่นของการอัปเดตของ Chrome 80 ติดตามได้ตามด้านล่าง

    • Security

    • Chromium open-source

    • Developer API

    • Chrome iOS

    • JavaScript Engine 

    ที่มา :  https://www.zdnet.com/article/chrome-80-released-with-silent-notification-popups-support-for-same-site-cookies/

    ]]>
    Tue, 11 Feb 2020 02:58:25 +0000
    <![CDATA[เริ่มต้นใช้ Cisco Webex ฟรี รองรับการประชุมสูงสุดถึง 50 คน]]> https://encom.co.th/blog/2002011-3/ Cisco ผู้ให้บริการโซลูชันด้านเครือข่ายและ Data Center ชั้นนำของโลก อัปเดตแผนการใช้ Cisco Webex ใหม่ สามารถประชุมได้สูงสุดถึง 50 คนฟรี ภายในเวลา 40 นาที พร้อมใช้ฟีเจอร์สำหรับสนับสนุนการประชุมออนไลน์อย่างครบครัน

    Cisco Webex เป็นโซลูชัน Collaboration หรือระบบประชุมออนไลน์ที่ช่วยให้พนักงานในบริษัท รวมไปถึงลูกค้า สามารถประชุม พูดคุย แชร์ข้อมูล จากที่ไหนและผ่านทางอุปกรณ์ใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องฝ่ารถติด ฝุ่น PM2.5 รวมไปถึงความเสี่ยงจากไวรัสโคโรน่า เพิ่มความปลอดภัยในการใช้ชีวิตในเมืองกรุง ยกระดับประสิทธิภาพในการทำงาน และลดเวลาที่ต้องสูญเสียไปกับการเดินทาง

    ล่าสุด Cisco ได้อัปเดตแผนการใช้ Cisco Webex ฟรีใหม่ ให้รองรับผู้เข้าประชุมได้สูงสุดถึง 50 คน พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลบน Cloud ขนาด 1 GB และสามารถประชุมได้นานถึง 40 นาที นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนยังได้เพลิดเพลินกับฟีเจอร์ที่ช่วยสนับสนุนการประชุมมากมายไม่แพ้แผนการใช้งานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วิดีโอระดับ HD, การเชื่อมต่อผ่าน VoIP, การแชร์หน้าจอ รูปภาพ ไฟล์ และข้อความอย่างไม่จำกัด, การทำงานร่วมกับแอป Calendar รวมไปการรองรับการใช้งานบน iPhone, iPad, Android และอุปกรณ์พกพาอื่นๆ อีกด้วย

    สำหรับผู้ที่ต้องการประชุุมนานกว่านั้น สามารถอัปเกรดไปใช้งานแบบรายเดือนได้ในราคาเริ่มต้นเพียง $13.5 (ประมาณ 415 บาท) ต่อเดือน พร้อมพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบน Cloud ขนาด 5 GB และรองรับการเชื่อมต่อเสียงผ่านระบบโทรศัพท์ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.webex.com/pricing/index.html

    เริ่มต้นใช้งานฟรีได้ที่: https://cart.webex.com/sign-up

    ]]>
    Tue, 11 Feb 2020 02:53:19 +0000
    <![CDATA[พบปัญหา Search ใน Windows 10 ใช้ไม่ได้ชั่วคราว]]> https://encom.co.th/blog/2002011-2/ มีรายงานพบปัญหาฟังก์ชัน Search ใน Windows 10 ทั้งใน Start menu และ File Explorer ใช้การไม่ได้ชั่วคราว


    credit : Bleepingcomputer

    ปัญหาที่ฟังก์ชัน Search ใน Windows 10 ทั้งใน Start menu และ File Explorer ใช้การไม่ได้ชั่วคราว ซึ่งจะไม่ปรากฏผลลัพธ์อะไรขึ้นมาตามภาพด้านบน คาดว่าปัญหานั้นเกิดจากการรวม Bing Search เข้ามาใน Windows อย่างไรก็ตามปัจจุบัน Microsoft รับทราบและแก้ไขแล้ว ดังนั้นผู้ใช้งานไม่น่าจะมีปัญหา เป็นการแจ้งเตือนในกรณีหากมีคนพบปัญหาครับ

    วิธีการแก้ไขใน Registry ทำได้ดังนี้

    • กดปุ่ม Windows + R เพื่อใช้ Run ใช้ Regidit (Registry)

    • เข้าไปที่ HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Search

    • คลิกขวาที่ Search เลือก New-> DWORD(32-bit) Value (ตามรูป) 

    • ตั้งชื่อเป็น ‘BingSearchEnabled’ และค่า Vaule = 0 

    • หาไฟล์ใน Search ที่ชื่อ CortanaConsent และตั้ง value = 0

    • Restart Windows Explorer


    credit : Bleepingcomputer

    หากต้องการเปิด integrate Bing กับ Search เพียงแค่เปลี่ยนค่าไฟล์ทั้งคู่เป็น 1

    ที่มา :  https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/windows-10-search-is-broken-and-shows-blank-results-how-to-fix/

    ]]>
    Tue, 11 Feb 2020 02:49:23 +0000
    <![CDATA[Azure เปิดทดลอง Backup Explorer]]> https://encom.co.th/blog/2002011-1/ สำหรับผู้ดูแลระบบ Backup บน Azure วันนี้ได้มีการประกาศเปิดทดลองความสามารถ Backup Explorer เพื่อให้ผู้ใช้งานมองเห็นภาพรวมของ Resource ที่สำรองข้อมูลเอาไว้ได้ง่ายขึ้น


    credit : azure.microsoft

    ไอเดียของ Backup Explorer ก็คือหน้าจอปฏิบัติงานหนึ่งที่ให้ผู้ใช้งานมองเห็น Backup Resource ของตนทั้งหมดใน Azure ได้จากเดิมที่จำกัดกับแค่ Recovery Service Vault นอกจากนี้ยังจะมีการแสดงข้อมูลของ Resource ที่ไม่ได้ Backup ไว้ด้วยเพื่อให้ผู้ดูแลพิจารณาว่าควรทำเพิ่มหรือไม่ โดยสำหรับผู้ใช้งาน Azure Lighthouse จะสามารถมองเห็นภาพข้อมูลได้ข้ามในทุก Tenant ด้วย

    Explorer ยังสามารถ Drill-down เข้าไปดูข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้เช่น Items, Jobs, Alert และ Policy ซึ่งหากพบปัญหาก็สามารถมุ่งตรงไปยัง Resource นั้นได้จากหน้า Explorer ด้วย โดย Explorer จะเป็นบริการฟรีที่เข้าได้จากเมนู Backup (ตามรูปด้านบน)

    ที่มา :  https://azure.microsoft.com/en-us/blog/backup-explorer-now-available-in-preview/  

     

    ]]>
    Tue, 11 Feb 2020 02:38:09 +0000
    <![CDATA[องค์กรยุค transformation จะจัดเตรียมข้อมูลมหาศาล เพื่องาน Machine Learning และ AI ให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร?]]> https://encom.co.th/blog/2002003-5/ การ transform ธุรกิจในปัจจุบันต้องการ AI เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การทำ AI ให้ประสบผลสำเร็จ ต้องอาศัยข้อมูลจำนวนมากเพื่อการเทรนนิ่งโมเดลให้เกิดความแม่นยำมากขึ้น …เมื่อข้อมูลมีจำนวนมหาศาลเราจะจัดการข้อมูลต่างๆ ได้อย่างไร ?

    Storage solution รูปแบบเดิมอาจจะไม่ได้เข้ามาตอบโจทย์ต่อการเติบโตของข้อมูลในปัจจุบัน เนื่องมาจากไม่ได้รองรับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของข้อมูล มีความยืดหยุ่นน้อย ส่งผลต่อการลงทุนที่อาจจะไม่คุ้มค่าในระยะยาว Object Storage จึงเข้ามาตอบโจทย์ของลักษณะงานดังกล่าว

    ตามที่ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมบางรายระบุว่า 80% ของข้อมูลทั้งหมดจะถูกจัดเก็บในรูปแบบ Object Storage ในปี 2020 กับข้อมูลที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 330 exabytes เนื่องมาจากคุณภาพของข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและจำนวนมากขึ้นตามเทคโนโลยีในปัจจุบัน เช่น กล้องที่มีคุณภาพสูงขึ้น ทำให้ไฟล์ภาพหรือวีดีโอมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือข้อมูลเซ็นเซอร์ของอุปกรณ์ตรวจจับที่มีการส่งข้อมูลมากขึ้น ถี่ขึ้น และอุปกรณ์ที่มีการติดตั้งจำนวนมากขึ้น จึงต้องออกแบบระบบให้รองรับปริมาณและขนาดของข้อมูลดังกล่าว

    การเติบโตที่น่าสนใจของข้อมูล ทำให้บริษัทหลายบริษัทเข้ามาสนใจและติดตั้งใช้งานการเก็บข้อมูลบน Object Storage ภายใน Datacenter ของตัวเองมากขึ้น

    IBM Cloud Object Storage :

    IBM Cloud Object Storage (ICOS) คือ software defined storage platform ได้รับสิทธิบัตรทางเทคโนโลยีกว่า 600 รายการ ที่ถูกออกแบบมาสำหรับการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาล ด้วยประสิทธิภาพและความสามารถในการเข้าถึงของ IBM Cloud Object Storage ได้ทำลายอุปสรรคของการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากลง

     

    Key features of IBM Cloud Object Storage (ICOS)

     

    Customers achieved average 255% ROI and 8 month payback

    กับลูกค้าที่ใช้งาน Cloud Object Storage จะได้เห็นถึงผลตอบแทนของการลงทุน 255% และประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าการใช้งาน storage แบบเดิมถึง 70% ยังเพิ่มความมั่นใจให้กับการเลือกใช้งานด้วย certified มากกว่า 80 solution และ IBM Cloud Object Storage ยังเป็นผู้นำอันดับ 1 ใน Gartner ของเทคโนโลยี Object Storage ในตลาด(2019)

    ICOS Gen2 storage efficiencies lowers cost and increases performance

    ปัจจุบัน ICOS อยู่ใน Gen2 ที่ให้ลูกค้าสามารถประหยัดค่าใช้ได้มากขึ้น 54% จาก ICOS Gen1 และมีความประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 150%

     

    AI search and data tagging with IBM Spectrum Discover :

     

    สามารถเชื่อมต่อกับ IBM Spectrum Discover software defined storage ที่มาช่วยในการ tagging ข้อมูล ทำให้สามารถจัดการและจัดเตรียมข้อมูล (Data Preparation) เพื่อนำไปเชื่อมต่อกับระบบ Machine Learning หรือ AI และทำให้การ searching หรือดึงข้อมูลไปใช้งานได้สะดวกรวดเร็ว

    อ่านต่อ : https://www.ibm.com/th-en/marketplace/spectrum-discover

    Store objects and files at significantly lower cost :

    dsNet® software ภายใน Cloud Object Storage มีการใช้งาน Information Dispersal Algorithms (IDA) กับถังจัดเก็บข้อมูลของ unstructured data objects, เพื่อป้องกันการเสียหายของข้อมูล มีการใช้งาน erasure coding เข้ามาใช้งาน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและด้วยเทคโนโลยี Geo-dispersed data protection ช่วยป้องกันการเสียหายของระบบ เมื่อ site ใด site นึงเกิดปัญหา ทำให้ระบบมีความพร้อมทำงานอย่างต่อเนื่อง (Data availability 99.999999%)

    Reduce the complexity of managing storage and Reduce total cost :

    ลดความซับซ้อนในการจัดการข้อมูลระดับ exabyte ด้วย centralize management และโดยรวมของ total cost ถูกกว่า Storage แบบเดิม ลูกค้าที่สนใจสามารถเริ่มต้นการใช้ระบบ ICOS ได้ที่ 75TB !!! และสามารถเพิ่มเติมหรือขยายระบบในอนาคตได้ตามต้องการ

    Backup and Archive Solution :

    รองรับการทำ Backup/Archiving ข้อมูล และสามารถทำงานร่วมกับ Backup Software ต่างๆ ได้ และสามารถ Archive หรือสำรองข้อมูลไปยังระบบคลาวด์ได้ด้วย

    IBM Cloud Object Storage (ICOS) เป็นเทคโนโลยีในการจัดเก็บในรูปแบบหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยเปลี่ยนความท้าทายในด้านการจัดเก็บข้อมูลให้เป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจ

    อ่านต่อ >>> https://www.ibm.com/hk-en/marketplace/cloud-object-storage-system

    ]]>
    Mon, 03 Feb 2020 02:44:14 +0000
    <![CDATA[Google เปิดโอเพ่นซอร์ส Firmware สำหรับสร้าง Security Key]]> https://encom.co.th/blog/2002003-4/ Google ได้เปิดโปรเจ็คโอเพ่นซอร์สตัว Firmware สำหรับใช้สร้าง Security Key ภายใต้ชื่อ OpenSK ทำให้ผู้สนใจสามารถสร้างส่วนฮาร์ดแวร์ของตัวเองแล้วใช้ Firmware ดังกล่าวได้

     

     

    credit : google

    ปัจจุบัน Firmware ดังกล่าวยังรองรับแค่ชิป Dongle จาก Nordic เท่านั้น โดยทาง Google ให้เหตุผลว่าชิปดังกล่าวสามารถรองรับโปรโตคอลหลักที่ถูกใช้ใน FIDO2 ได้ทั้งหมด เช่น NFC, BLE และ ส่วนของฮาร์ดแวร์สำหรับงานเข้ารหัส อย่างไรก็ดีก็จะพยายามจะพัฒนาให้ OpenSK สามารถรองรับชิปเจ้าอื่นได้ในอนาคต

    สำหรับ OpenSK เขียนในภาษา Rust และรันใน TockOS โดยทาง Google ชี้ว่า Rust มีการใช้หน่วยความจำอย่างปลอดภัยและปราศจาก Cost เรื่อง Abstraction ทำให้มีช่องโหว่ด้านโลจิกน้อยกว่า นอกจากนี้โครงสร้างแบบ Sandbox ของ TockOS จะช่วยให้เกิดการแบ่งแยกระหว่าง Security Key Applet, Driver และ Kernel ที่ตอบโจทย์คอนเซปต์ Defense-in-depth

    โดยสรุปไอเดียก็คือผู้ใช้งานสามารถนำโค้ดจาก Google ไปลงบนชิป Nordic ที่จะเปลี่ยน Dongle เป็น Security Key (FIDO U2F และ FIDO Compliant) ได้ หรือแม้กระทั่งการออกแบบฮาร์ดแวร์ด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติแล้วประกบกับชิป Nordic เพื่อกลายเป็น Security Key เก๋ๆ ของตนได้

     

    ที่มา :  https://www.zdnet.com/article/google-open-sources-the-firmware-needed-to-build-hardware-security-keys/

    ]]>
    Mon, 03 Feb 2020 02:41:50 +0000
    <![CDATA[ผู้เชี่ยวชาญเตือนคอมพิวเตอร์ในองค์กรมีความเสี่ยงจาก DMA Attack]]> https://encom.co.th/blog/2002003-3/ ผู้เชี่ยวชาญจาก Eclypsium ได้ออกมาอ้างถึงผลการศึกษาว่าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในองค์กรมีความเสี่ยงต่อ Direct Memory Access Attack

    Direct Memory Access หรือ DMA เป็นฟีเจอร์ที่อนุญาตให้ส่วนประกอบฮาร์ดแวร์สามารถเข้าถึงหน่วยความจำได้โดยตรงไม่ข้องเกี่ยวกับ OS และ CPU อย่างไรก็ตามฟีเจอร์ดังกล่าวสามารถถูกคนร้ายใช้ในทางไม่ดีได้ ซึ่งการโจมตีนั้นหากเกิดจากการเชื่อมต่ออุปกรณ์กับพอร์ตของพิวเตอร์เชิงกายภาพเรียกว่า Close-chassis Attack ส่วนการเปิดเคสเพื่อเชื่อมต่อในระดับฮาร์ดแวร์จะเรียกว่า Open-chassis Attack นอกจากนี้ DMA Attack ยังสามารถทำได้จากทางไกลผ่านมัลแวร์ที่สามารถแก้ไข Firmware อุปกรณ์เป้าหมายได้ โดยผลลัพธ์ของการโจมตีเมื่อสำเร็จนั้นจะทำให้คนร้ายสามารถ Execute Kernel Code, Bypass กลไกด้านความมั่นคงปลอดภัย ขโมยข้อมูล และติดตั้ง Backdoor ได้

    อันที่จริงแล้วปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีอย่าง Input-output memory management unit (IOMMU) ที่ถูกพัฒนาโดย Intel และ AMD เพื่อป้องกันการโจมตี DMA ได้แต่การป้องกันอย่างเต็มรูปแบบต้องอาศัยทั้ง UEFI Firmware และ OS ด้วย ซึ่งในทางปฏิบัติอุปกรณ์ที่มีการป้องกันระดับ UEFI เพิ่งออกมาเมื่อปี 2019 และ Windows 10 ที่มีการป้องกัน DMA ระหว่างการบูตก็เพิ่งเริ่มต้นช่วงปี 2018 เท่านั้น

    ด้วยเหตุนี้เองทีม Eclypsium จึงได้ทำการทดสอบการโจมตีกับ Dell XPS 13 7390 2-in-1 ที่เพิ่งออกมาเมื่อเดือนตุลาคมและพบว่าเครื่องจาก Dell ก็ไม่รอดการโจมตีแบบ Close-chassis DMA Attack ทาง Thunderbolt โดยใช้เครื่องมือ PCILeech ด้วยเหตุผลที่ว่ามีการเปิด pre-boot module Thunderbolt เป็นค่า Default ที่ต่อมา Dell ได้อัปเดตแก้ไขแล้วใน CVE-2019-18579 เช่นเดียวกันทีมงานยังได้โจมตี Open-chassis กับเครื่องโน๊ตบุ๊ค HP ได้สำเร็จทั้งๆ ที่มี HP Sure Start ซึ่งปกป้อง BIOS และมี IOMMU ของ Intel แล้ว ซึ่ง HP เองก็ได้อัปเดต Sure Start ในที่สุด

    อย่างไรก็ตามทีมงานเชื่อว่าการป้องกันในทางปฏิบัติจริงคงต้องกินเวลาอีกสักพักใหญ่เพราะเกี่ยวข้องกับทั้ง Firmware และฮาร์ดแวร์ นอกจากนี้ทีมงานได้ให้เครดิตเครื่องจาก Apple ที่ป้องกัน DMA Attack เมื่อเปิดเครื่องได้ โดยคาดว่า Firmware จะมีการใช้ IOMMU แล้ว

    ที่มา :  https://www.securityweek.com/devices-still-vulnerable-dma-attacks-despite-protections

    ]]>
    Mon, 03 Feb 2020 02:39:54 +0000
    <![CDATA[พบปัญหาแพตช์ IE Zero-day มีบั๊กกระทบ Printer]]> https://encom.co.th/blog/2002003-2/  

    เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมาได้มีการเปิดเผยช่องโหว่ Zero-day บน IE ซึ่งต่อมาได้มีแพตช์แต่ล่าสุดมีรายงานจากผู้ใช้งานว่าส่งผลกระทบกับ Printer ด้วย

     

     

    ช่องโหว่หมายเลข CVE-2020-0674 เป็นช่องโหว่ RCE บน IE เวอร์ชัน 9,10 และ 11 โดยคนร้ายสามารถสร้างเว็บอันตรายขึ้นมาและโจมตีผู้เข้าชมได้จากทางไกล ซึ่งต่อมาหลังจากมีแพตช์ Microsoft ได้เตือนว่าอาจส่งผลกระทบกับส่วนประกอบหรือฟีเจอร์ที่ใช้งาน jscript.dll แต่ล่าสุดพบว่าบั๊กมากกว่านั้น เนื่องจากมีรายงานพบอาการหลายอย่างจากผู้ใช้หลังอัปเดตแพตช์ดังนี้

    • มีปัญหากับการปริ้นต์ของเครื่องพิมพ์ HP และอื่นๆ ที่ใช้ USB ซึ่งได้รับข้อความแจ้งผิดพลาดจากงานล้มเหลว

    • มีปัญหากับ Microsoft Print to PDF

    • อาจเกิดปัญหากับสคิร์ปต์ Proxy Automatic Configuration (PAC)

    • เกิดปัญหากับการเล่นไฟล์ MP4 ของ Windows Media

    • มีปัญหากับ sfc (เครื่องมือสแกน Integrity ของไฟล์และทดเวอร์ชันที่ถูกต้องของ Microsoft) 

    ]]>
    Mon, 03 Feb 2020 02:39:01 +0000
    <![CDATA[แฮ็กเกอร์ใช้ช่องโหว่ Zero-day บน Antivirus แฮ็ก Mitsubishi Electric]]> https://encom.co.th/blog/2002003-1/ จากรายงานเมื่อสัปดาห์ก่อนหลังมีการเปิดเผยว่า Mitsubishi Electric ถูกแฮ็ก มีความคืบหน้าพบว่าคนร้ายได้อาศัยช่องโหว่ Zero-day ของ Trend Micro OfficeScan เพื่อขโมยข้อมูล

     

     

    จากการสืบสวนพบว่าเหตุเกิดขึ้นตั้งแต่ราวมิถุนายนปีก่อน แต่แพตช์ของ Trend Micro ออกมาราวเดือนตุลาคม 2019 โดยช่องโหว่มีหมายเลขอ้างอิง CVE-2019-18187 หรือช่องโหว่ Directory Traversal ที่อาจนำไปสู่ RCE บน OfficeScan 11.0 SP1 และ XG (Endpoint Protection) อย่างไรก็ตามใน Advisory จาก Trend Micro ระบุว่าคนร้ายต้องสามารถผ่าน Authentication ก่อนและในเวลานั้นมีการโจมตีจริงแล้ว

    โดย Mitsubishi Electric ได้อัปเดตว่ามีการขโมยข้อมูลออกไปได้ราว 200 MB เป็นข้อมูลที่กระทบกับพนักงานหลายพันคนแต่ไม่เกี่ยวกับข้อมูลทางธุรกิจหรือพาร์ทเนอร์ เช่น ข้อมูลการจ้างงาน เข้าทำงานและการเลิกจ้าง เกษียณ และอื่นๆ

    ที่มา :  https://www.zdnet.com/article/trend-micro-antivirus-zero-day-used-in-mitsubishi-electric-hack/ และ  https://www.zdnet.com/article/hackers-hijack-twitter-accounts-for-chicago-bears-and-green-bay-packers/

    ]]>
    Mon, 03 Feb 2020 02:33:27 +0000
    <![CDATA[บราวเซอร์ Edge แบบ Chromium ตัวใหม่ของไมโครซอฟท์ ให้อัพเดตแล้ว!]]> https://encom.co.th/blog/2001027-5/

    ล่าสุดไมโครซอฟท์ได้เปิดตัวเว็บบราวเซอร์ที่พัฒนาบน Chromium ในชื่อเดิมอย่าง Microsoft Edge ทั้งสำหรับวินโดวส์และ MacOS ซึ่งยักษ์ใหญ่ด้านซอฟต์แวร์รายนี้ได้สร้างแอพขึ้นจากความช่วยเหลือของกูเกิ้ล เพื่อให้อัพเดทได้ง่ายขึ้น และมีส่วนประกอบแยกกันน้อยลง

    ทั้งนี้ก่อนหน้านั้น ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ดังกล่าวผ่านช่องทางสำหรับพรีวิว ซึ่งบริษัทกล่าวว่ามีการดาวน์โหลดไปแล้วหลายล้านครั้ง โดยผู้ใช้วินโดวส์ทั่วไปจะสามารถรอตัววินโดวส์อัพเดทให้โหลดบราวเซอร์ตัวใหม่นี้บนพีซีของตัวเองได้ในไม่ช้า

    แม้ว่าซอฟต์แวร์ทั้งหมดถูกพัฒนาขึ้นจากเอนจิ้น Chromium แต่ก็มีการพัฒนาเสริมเพิ่มเติมที่ไมโครซอฟท์เองทำขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ไมโครซอฟท์ได้เพิ่มฟีเจอร์บางอย่างเช่น การป้องกันการสืบข้อมูลกิจกรรมการใช้งานโดยดีฟอลต์ อีกทั้งยังมีระดับการควบคุมมากถึง 3 ระดับเกี่ยวกับคุกกี้ เป็นต้น นอกจากนี้ตัว “New Tab” ก็สามารถปรับแต่งรวมเอาหน้าเพจและ Favorite ต่างๆ ที่เพิ่งแชร์ได้ด้วย

    ]]>
    Mon, 27 Jan 2020 04:22:59 +0000
    <![CDATA[Google Cloud ออก Secret Manager ช่วยลูกค้าเก็บข้อมูลสำคัญอย่างปลอดภัย]]> https://encom.co.th/blog/2001027-4/ Google Cloud ได้ออกบริการเวอร์ชันเบต้าที่ชื่อ Secret Manager เพื่อช่วยช่วยลูกค้าในการจัดเก็บ API Keys, Passwords, Certificate และข้อมูลอื่นๆ ได้อย่างมั่นใจ

     

    Google เชื่อว่าทุกวันนี้การบริการจัดการ API Keys, Passwords, Certificates หรือข้อมูลสำคัญที่ต้องใช้ Authentication ให้บริการนั้นมีความซับซ้อนและกลายเป็นความเสี่ยงอีกทางขององค์กร ดังนั้นจึงออกบริการใหม่ที่ชื่อ Secret Manager (ยังเป็นเวอร์ชันทดลองอยู่) เพื่อให้ผู้ใช้งาน Cloud สามารถเก็บและจัดการข้อมูลสำคัญไว้บน Google Cloud โดยเมื่อรวมความสามารถเข้ากับ KMS และ Berglas (เครื่องมือคำสั่ง Command line แบบโอเพ่นซอร์ส) เชื่อว่า Secret Manager จะทำงานเติมเต็มกับ 2 บริการดังกล่าวได้อย่างสมบูรณ์

    ที่มา :  https://techcrunch.com/2020/01/22/google-cloud-gets-a-secret-manager/

    ]]>
    Mon, 27 Jan 2020 04:22:13 +0000
    <![CDATA[มาตรวจสอบกัน Facebook ปล่อยฟีเจอร์ Privacy Checkup ดูได้ว่าเราแชร์ข้อมูลอะไรบ้าง]]> https://encom.co.th/blog/2001027-3/

    Facebook เริ่มต้นปี 2020 โดยการปล่อยฟีเจอร์ใหม่อย่าง Privacy Checkup ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบและตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของตัวเองได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม เพียงแต่การเข้าไปใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวนั้นคงไม่เจอโดยการกดทั่ว ๆ ไปแน่ เพราะ Facebook ก็ซ่อนเอาไว้เนียนเหลือเกิน

    การจะใช้ฟีเจอร์ Privacy Checkup ให้ผู้ใช้งานกดที่เครื่องหมาย ? บนหน้าจอ Facebook ของเรา โดยจะอยู่ด้านขวาบนของหน้าจอของ Facebook แบบเว็บเพจ เมื่อกดแล้วจะมีตัวเลือก Privacy Checkup อยู่

    เมื่อเปิดเข้ามาแล้วจะมีหน้าต่างตามภาพด้านล่างขึ้นมา โดยแต่ละส่วนจะมีความหมายดังนี้

    1. กล่องสีส้ม: คนอื่นจะเห็นข้อมูลอะไรของเราบ้าง เราสามารถปรับข้อมูลส่วนตัวที่ต้องการให้คนอื่นเห็นได้ เช่น อีเมล วันเกิด สถานะความสัมพันธ์ สถานที่ทำงาน ตั้งให้เห็นเฉพาะเรา เพื่อน หรือให้ทุกคนเห็นได้ เป็นต้น

    2. กล่องสีฟ้า: สำหรับการตั้งค่ารหัสและการแจ้งเตือนหากมีใครพยายามล็อกอินด้วยบัญชีของเรา

    3. กล่องสีม่วง: สำหรับการเพิ่มเพื่อน สามารถตั้งค่าได้ว่าให้ใครสามารถเพิ่มเพื่อนเราได้

    4. กล่องสีเขียว: สำหรับตรวจสอบว่าเราล็อกอินแอปพลิเคชันอะไรด้วย Facebook ไว้ได้บ้าง และสามารถเลือกลบออกได้

     

    ถือว่าเป็นการเริ่มต้นปีที่ดีของ Facebook เพราะปีที่แล้วพี่ก็โดนสอบสวนเรื่องความปลอดภัยจนเหนื่อยเลยเหมือนกัน ใครที่อยากตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยของตัวเองสามารถเข้าไปตรวจสอบตามข้างต้นได้เลยนะครับ

    อ้างอิง Lifehacker

    ]]>
    Mon, 27 Jan 2020 04:21:08 +0000
    <![CDATA[Samsung เปิดตัว T7Touch SSD พกพารุ่นใหม่ ปกป้องข้อมูลของคุณด้วยลายนิ้วมือ]]> https://encom.co.th/blog/2001027-2/

    Samsung เปิดตัว SSD แบบพกพาตัวใหม่ล่าสุด “T7 Touch” พร้อมชูฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือเพื่อการยืนยันตัวตนในการเข้าถึงข้อมูล เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลของผู้ใช้จะปลอดภัยไร้กังวล

     

    T7 Touch นี้ เป็นรุ่นถัดมาจาก T5 ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว โดยที่จะเพิ่มเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือเข้ามา พร้อมกับการเข้ารหัสแบบ AES 256-bit hardware encryption และรหัสผ่าน เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล ยิ่งไปกว่านั้น T7 Touch ยังเพิ่มความเร็วในการอ่านและการเขียนได้ถึง 1 GB/s ซึ่งเร็วกว่ารุ่นก่อนหน้านี้กว่าเท่าตัว

     

    อีกทั้ง T7 Touch นี้ ยังมีน้ำหนักเบา เพียง 58 กรัม เท่านั้น และได้รับรางวัล CES 2020 Innovation Awards อีกด้วย

    T7 Touch นี้จะมีให้เลือก 2 สี สีดำและสีเงิน และหน่วยความจำตั้งแต่ 500GB, 1TB และ 2TB

     

    • ราคา 129.99 เหรียญ (3,900 บาท) สำหรับ 500GB

    • ราคา 229.99 เหรียญ (6,900 บาท) สำหรับ 1TB

    • ราคา 399.99 เหรียญ (9,000 บาท) สำหรับ 2TB

    ที่มา : GSMArena

     

    ]]>
    Mon, 27 Jan 2020 04:19:51 +0000
    <![CDATA[Google ประกาศปิดตัว Google+ แล้ว]]> https://encom.co.th/blog/2001027-1/

    ถือเป็นผลิตภัณฑ์ตัวล่าสุดของ Google สำหรับ Social Networks ชื่อดังอย่าง Google + (Plus) ที่ออกมาแถลงข่าวอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะทำการปิดตัวในเดือน สิงหาคม 2019 หรือกลางปี 2020

    ทั้งนี้ Google จะทำการปิดตัวในโหมดของผู้ใช้งานทั่วไปเท่านั้น ส่วนลูกค้าองค์กรจะยังให้บริการต่อไปตามเดิมครับ และทาง Google จะให้เวลาผู้ใช้งาน ทำการย้ายข้อมูลของตนเองออกไปยังบริการอื่นๆ  เป็นเวลา 10 เดือน

     

    ส่วนหนึ่ง  Google ให้เหตุผลว่ามีผู้ใช้ Google+ ในปริมาณที่ต่ำมากๆ และอีกเหตุผลสำคัญคือการที่ก่อนหน้านี้มีข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้งาน Google+ มากกว่า 5 แสนชื่อได้หลุดออกไป จากช่องโหว่ของ API ซึ่งมันทำให้เหล่านักพัฒนา Software สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน Google+ ได้

    สำหรับข้อมูลที่หลุดออกไปประกอบไปด้วย ชื่อ-นามสกุล, อีเมล, วันเกิด, เพศ, รูปโปรไฟล์, เมืองที่อยู่, อาชีพ, สถานะความสัมพันธ์ ฯลฯ  ได้ แม้ว่าทาง Google จะสามารถแก้ไขปัญหาแล้วก็ตาม
    นอกจากนี้การตัดสินใจปิด Goolge+ ในครั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจาก Project ชื่อ Strobe ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อพัฒนาและดูแลความปลอดภัยของฐานข้อมูลของผู้ใช้งานและระบบให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นนั้นเอง!

     

     

    ]]>
    Mon, 27 Jan 2020 04:04:31 +0000
    <![CDATA[7 แนวโน้มด้าน Networking ที่เราน่าจะได้เห็นในปี 2020 นี้]]> https://encom.co.th/blog/2001013-5/ มาดูกันถึง 7 สุดยอดกระแสด้านเทคโนโลยีและสถาปัตยกรรมเน็ตเวิร์กที่เราควรจะได้เห็นในปีใหม่นี้ ซึ่งปี 2020 ถือเป็นปีที่ค่อนข้างวุ่นวายมากปีหนึ่งสำหรับทีมงานด้านไอทีและเน็ตเวิร์ก

    โดยนอกจากการวางระบบ SD-WAN และการอัพเกรดเป็น Wi-Fi 6 ทั่วทั้งองค์กรแล้ว ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ถือว่าเราค่อนข้างเชื่องช้ากับการติดตั้งและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ แต่ในปี 2020 นี้จะมีทีมงานด้านเน็ตเวิร์กจำนวนมากที่ได้รับมอบหมายให้ติดตั้งแพลตฟอร์ม

    เครื่องมือ และระบบชั้นสูงต่างๆ ที่จะผลักดันให้เน็ตเวิร์กยุคเก่าก้าวสู่อนาคต ดังนั้นเราจะมาชี้ให้เห็นถึงโปรเจ็กต์ต่างๆ ที่ฝ่ายไอทีของคุณควรวางแผนดำเนินการเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจากมุมมองของผู้บริหารที่มักจะมอบหมาย

    ให้ทีมงานด้านเน็ตเวิร์กสร้างเครือข่ายที่รองรับบริการใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาอย่างรวดเร็ว สร้างการประหยัดเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ และขยายขอบเขตของเครือข่ายองค์กรให้ทั่วถึง ซึ่งการแปลงกระบวนการทำงานเดิม

    ที่เคยทำด้วยตัวเองให้เป็นแบบอัตโนมัตินั้นจะยิ่งผลักดันความต้องการความเร็วของเครือข่าย และบริการใหม่ๆ อย่างรวดเร็วมากขึ้นไปอีก โดยหลายเทคโนโลยีจะถูกติดตั้งลงในเครือข่าย LAN/WAN ขณะที่บางเทคโนโลยี

    อาจไปติดตั้งบนคลาวด์หรือใช้บริการจากผู้ให้บริการเป็นหลัก เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความสามารถการมองเห็น ความเร็วในการวางระบบ และเร่งประสิทธิภาพการทำงานไปสู่ยุคทศวรรษใหม่ โดยเราจะได้เห็นสุดยอด 7 เทคโนโลยีด้านเน็ตเวิร์กดังนี้

    1. Network Automation

    ความต้องการติดตั้งบริการผ่านเครือข่ายอย่างรวดเร็วนั้นได้ก้าวนำหน้าความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการทีมงานด้านเครือข่ายไปแล้ว ดังนั้นทูลด้านการจัดการเครือข่ายอัตโนมัติจะเข้ามาช่วยทุกคนในจุดนี้

    2. 5G สำหรับเชื่อมต่อระหว่างสำนักงานสาขา

    5G นั้นมักถูกมองจากด้านการเชื่อมต่ออุปรณ์พกพาเป็นหลัก ขณะที่เทคโนโลยีไร้สายใหม่ที่สำคัญนี้จะเข้ามายกระดับการทำงานขององค์กรได้มากจากมุมของสำนักงานสาขา โดยเราจะได้เห็นผู้ให้บริการผสาน 5G เข้ากับเกตเวย์ของสำนักงานสาขามากขึ้น

    3. การแบ่งส่วนเครือข่ายและตรวจสอบเครือข่าย IoT

    IoT ได้เติบโตมาจนเห็นการใช้งานจริงอย่างชัดเจนในปี 2020 นี้ แต่ด้วยความกังวลด้านความปลอดภัยเป็นอย่างมาก ทำให้การแบ่งส่วนกลุ่มอุปกรณ์ IoT แบบเวอร์ช่วลแยกออกจากส่วนที่เหลือของเน็ตเวิร์กกลายเป็นงานใหญ่

    4. การทำให้ส่วนใช้งานปลายทางของอินเทอร์เน็ตเรียบง่ายขึ้น

    ขณะที่องค์กรทั้งหลายต่างย้ายแอพพลิเคชั่น ข้อมูล และบริการของตัวเองขึ้นไปยังพับลิกคลาวด์มากขึ้นนั้น หลายคนต่างพบว่าแทบไม่มีเซิร์ฟเวอร์ในดาต้าเซ็นเตอร์ที่ให้บริการที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเลย ทำให้ Edge ของอินเทอร์เน็ตซับซ้อนมากขึ้น

    5. การวิเคราะห์เครือข่าย

    ความก้าวหน้าในเรื่องบิ๊กดาต้าและ AI มาถึงจุดที่ทั้งคู่สามารถนำมาใช้แสดงข้อมูลสถานะประสิทธิภาพเครือข่ายได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยบางองค์กรได้นำร่องในการใช้ทูลอย่าง Network Analytic (NA) ในระบบของตัวเองแล้ว

    6. การจัดการโพลิซีให้เป็นหนึ่งเดียว ที่ครอบคลุมเครือข่ายทั้งไฮบริดจ์และมัลติคลาวด์

    หนึ่งในเรื่องที่น่าปวดหัวมากที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจากมุมมองของชาวเน็ตเวิร์กคือ การที่จำเป็นต้องสร้างและดูแลโพลิซีด้านความปลอดภัยเน็ตเวิร์กให้เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่เสมอทั่วทั้งทุกคลาวด์ที่ใช้งาน เนื่องจากดาต้าเซ็นเตอร์ของคลาวด์

    ทั้งแบบพับลิกและไพรเวทต่างใช้อุปกรณ์เครือข่ายแตกต่างกัน ขั้นตอนการตั้งค่าเครือข่ายเพื่อสร้างโพลิซีจึงแตกต่างกันมาก ด้วยการย้ายธุรกิจจากสถาปัตยกรรมแบบไฮบริดจ์คลาวด์ไปยังมัลติคลาวด์ การดูแลเครือข่ายให้เป็นหนึ่งเดียวยิ่งลำบากขึ้นหลายเท่า

    7. การประมวลผลแบบ Edge ที่เข้ามาสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ

    Edge Computing เป็นแนวคิดของการนำเรื่องการประมวลผลและข้อมูลมาอยู่ใกล้กับผู้ใช้ปลายทางมากขึ้นเมื่อเทียบกับคลาวด์คอมพิวติงแบบเดิม ซึ่งจะให้ประโยชน์ในการลดค่าใช้จ่ายด้านแบนด์วิธเป็นอย่างมาก และลด Latency ได้ไปพร้อมกัน

     

    ที่มา: Networkcomputing

    ]]>
    Mon, 13 Jan 2020 02:37:59 +0000
    <![CDATA[เช็คผลิตภัณฑ์ของ Microsoft ที่จะหมดอายุการใช้งานในปี 2020 ได้ที่นี่]]> https://encom.co.th/blog/2001013-4/ ผลิตภัณฑ์หลายรายการของ Microsoft จะ End of Support ภายในปี 2020 นี้ ไม่ว่าจะเป็น Office 2010, Visual Studio 2010, Windows 7, Windows Server 2008 (รวม 2008 R2) และ Windows 10 อีกหลายเวอร์ชัน สามารถตรวจสอบซอฟต์แวร์ของ Microsoft ที่จะหมดอายุการใช้งานได้ที่นี่

    ซอฟต์แวร์ที่จะ End of Support

    Product

    End of Support date

    SQL Server 2008 and 2008 R2*

    9 Jul 2019

    Windows Server 2008 and 2008 R2*

    14 Jan 2020

    Exchange Server 2010

    Windows 7*

    Windows 7 Professional for Embedded Systems*

    Office 2010 client

    13 Oct 2020

    SharePoint Server 2010

    Project Server 2010

    Windows Embedded Standard 7*

    * คือผลิตภัณฑ์ที่จะเข้าสู่โปรแกรม Extended Security Update (ESU)

    Modern Lifecycle Policy (ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ให้บริการและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง) ที่จะ End of Support

    Products (Modern Policy)

    Retirement

    Azure Container Service

    Windows Analytics

    31 Jan 2020

    Windows 10, version 1709 (Enterprise, Education, IoT Enterprise)

    Windows 10, version 1809 (Home, Pro, Pro for Workstation, IoT Core)

    Windows Server version 1809 (Datacenter Core, Standard Core)

    14 Apr 2020

    Windows 10, version 1803 (Enterprise, Education, IoT Enterprise)

    10 Nov 2020

    Windows 10, version 1903 (Enterprise, Home, Pro, Pro for Workstations, IoT Enterprise)

    Windows Server, version 1903 (Datacenter, Standard, IoT Enterprise)

    8 Dec 2020

    Fixed Lifecycle Policy (ผลิตภัณฑ์ที่ให้จำหน่ายผ่านการค้าปลีกหรือ Volume Licensing) ที่จะ End of Support (เฉพาะที่สำคัญ)

    Product (Fixed Policy)

    End of Support

    Hyper-V Server 2008

    Hyper-V Server 2008 R2

    Windows 7

    Windows Server 2008 R2

    Windows Server 2008

    14 Jan 2020

    Internet Explorer 10

    31 Jan 2020

    Visual Studio Team Foundation Server 2010

    Visual Studio 2010 (all editions)

    14 Jul 2020

    System Center Service Manager 2010

    8 Sep 2020

    Access 2010

    Excel 2010

    Excel Home and Student 2010

    Office 2010 (all editions)

    Project Server 2010

    SharePoint Foundation 2010

    SharePoint Server 2010

    SharePoint Server 2010 Service Pack 2

    System Center Data Protection Manager 2010

    Word 2010

    Office Home & Business 2016 for Mac

    Office Home & Student 2016 for Mac

    Office Standard 2016 for Mac

    13 Oct 2020

    ผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนจาก Mainstream Support ไปเป็น Extended Support ในปี 2020 (ต่ออายุการสนับสนุนอีก 5 ปี)

    Product

    End of Mainstream Support

    Cloud Platform System

    14 Apr 2020

    Exchange Server 2010 (all editions)

    Exchange Server 2016 (Enterprise, Standard)

    Office Home and Business 2016

    Office Home and Student 2016

    Office Professional 2016

    Office Professional Plus 2016

    Office Standard 2016

    Skype for Business 2016

    Visio Professional 2016

    Visio Standard 2016

    Visual Studio 2015 (all editions)

    Visual Studio 2015 Update 3

    Windows 10 Enterprise 2015 LTSB

    Windows 10 IoT Enterprise 2015 LTSB

    Windows Defender Antivirus for Windows 10

    Windows Defender Exploit Guard

    13 Oct 2020

    ดูรายชื่อผลิตภัณฑ์ที่จะ End of Support ทั้งหมดในปี 2020 ได้ที่ https://support.microsoft.com/en-us/help/4470235/products-reaching-end-of-support-for-2020 หรือค้นหาผลิตภัณฑ์ของท่านได้ที่ https://support.microsoft.com/en-us/lifecycle/search/

    ผลิตภัณฑ์ที่จะ End of Support เหล่านี้ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ Microsoft หยุดให้บริการการออกแพตช์แก้ไขบั๊ก อุดช่องโหว่ด้านความมั่นคงปลอดภัย รวมไปถึงการสนับสนุนเชิงเทคนิคหลังการขาย Microsoft แนะนำให้ผู้ที่ยังคงใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอัปเกรดเป็นเวอร์ชันใหม่ หรือใช้เวอร์ชันที่เป็นระบบ Cloud แทน

    สำหรับบางผลิตภัณฑ์ที่อยู่ใต้โปรแกรม Extended Security Update (ESU) นั้น จะยังคงให้บริการอัปเดตด้านความมั่นคงปลอดภัยต่อไปอีก 3 ปี นับจากวันที่ End of Support สามารถติดต่อตัวแทนจำหน่ายหรือผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ Microsoft เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

    ที่มา: https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-products-reaching-end-of-life-in-2020/

    ]]>
    Mon, 13 Jan 2020 02:36:03 +0000
    <![CDATA[8 เทคโนโลยีระดับองค์กรในปี 2020]]> https://encom.co.th/blog/2001013-3/ VMware ได้คาดการณ์ถึง 8 เทคโนโลยีระดับองค์กรที่เราจะได้เห็นความชัดเจนในปีนี้


    Credit: alphaspirit/ShutterStock

    8 เทคโนโลยีที่กล่าวถึงมีดังนี้

    1.Hybrid Apps

    นิยามของ Hybrid Apps ก็คือแอปพลิเคชันที่มีการผสมผสานแบบ Microservices ทั้งนี้ก็เพื่อตอบโจทย์ในเรื่องของ Flexibility ในการบริหารจัดการ เช่น องค์กรอาจอยากใช้บริการข้อมูลจากผู้ให้บริการคลาวด์เจ้าหนึ่งร่วมกันบริการ Machine Learning หรือ Analytics จากที่อื่น หรือในสถานการณ์ที่องค์กรต้องการทำงานร่วมกันกับคู่ค้าทางธุรกิจอื่นๆ

    2.Edge

    การเติบโตฝั่งของ Edge นั้นมีนัยสำคัญอย่างมาก โดยคาดว่าเทรนด์โซลูชันสำคัญในด้านนี้คือ การลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ การที่องค์กรสามารถนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ในสถานที่ห่างไกลด้วยซอฟต์แวร์อย่างฉับไว หรือการรวบเอาส่วน Infrastructure ที่จำเป็นเข้าไว้ด้วยกัน เช่น ฮาร์ดแวร์ตัวเดียวที่ทำหน้าที่ได้ทั้ง SD-WAN หรือแยกรันแอปขนาดเล็กได้

    3.Shared Specialize Hardware

    FPGA และ GPU เป็นฮาร์ดแวร์ชนิดพิเศษที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเฉพาะด้านอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจากเดิมที่จะต้องนำเข้ามาใช้แยกขาดจะกลายเป็นโมเดลแบบแชร์ใช้มากขึ้นเพราะมีบริการบางอย่างที่ทำให้แอปสามารถรีโมตผ่าน Ethernet เข้าไปใช้ FPGA และ GPU ได้ ตัวอย่างเช่น BitFusion เป็นต้น

    4.Security

    ปกติแล้วองค์กรควรฝังเรื่อง Security เป็นเนื้อแท้ตั้งแต่ระดับแอปพลิเคชันเมื่อเริ่มตั้งต้นกับโปรเจ็คใหม่ๆ อย่างไรก็ตามเราได้มาถึงจุดที่นโยบายด้าน Network และ Security ไปจนถึง Firewall จะถูกสร้างขึ้นแบบ Dynamic ตามวงจรชีวิตของแอปพลิเคชัน โดยแนะนำให้องค์กรลองสร้างโปรเจ็คพัฒนาด้วย Kubernetes ประกอบกับโซลูชันใหม่ๆ อย่าง SDN และโซลูชัน Security สมัยใหม่

    5.Big Idea for Small Device

    เรารู้จักกับฮาร์ดแวร์ขนาดเล็กอย่าง Rasberry Pi ที่ทำอะไรได้มากมายในราคาย่อมเยาว์แล้ว แต่เมื่อรวมเข้ากับเทคโนโลยีระดับองค์กรอย่าง Virtualization หรืออื่นๆ อาจนำไปสู่มุมมองนวัตกรรมใหม่ขึ้นมาด้วย

    6.99% Machine Learning

    เทคโนโลยีของ ML มาถึงจุดที่เข้าถึงได้ง่าย โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญมากมาย ซึ่งหากผู้เล่นรายไหนทำให้องค์กรสามารถใช้ ML ได้ถึง 99% โดยไม่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญได้คาดว่าจะกลายเป็นผู้นำแน่นอน

    7.Cloud Disaggregation

    ในหลายกรณีองค์กรไม่สามารถยกข้อมูลขึ้นคลาวด์ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีบริการอย่าง Amazon RDS On-premise เกิดขึ้น คาดว่าในปีนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดบริการดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น โดยมีความต้องการมาจากภาคธุรกิจ

    8.Share Service Platform

    ในบางอุตสาหกรรมจำเป็นต้องมีการทำงานร่วมกันในหลายส่วนของธุรกิจเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ โดยการตั้งแพลตฟอร์มเพื่อแชร์กันใช้ถือเป็นโมเดลที่น่าสนใจซึ่งสามารถแบ่งแยกได้ด้วย Virtualize Software แทน นอกจากนี้ยังอาจสร้างช่องทางทำเงินใหม่ขึ้นมาด้วย

    ที่มา :  https://www.vmware.com/radius/enterprise-tech-trends-2020/

    ]]>
    Mon, 13 Jan 2020 02:32:02 +0000
    <![CDATA[เปิดตัว LINE Developers Podcast อีกทางเลือกดีๆ ในการฟังอัปเดตเทคโนโลยีจาก LINE]]> https://encom.co.th/blog/2001013-2/ เมื่อ Podcast เริ่มกลายเป็นอีกช่องทางที่ได้รับความนิยมในเหล่าคนไทยสำหรับใช้อัปเดตข่าวสารต่างๆ ระหว่างทำกิจกรรมอื่นๆ อยู่ LINE เองก็ไม่พลาดที่จะเข้าร่วมในช่องทางใหม่นี้ด้วย และได้ออกมาเปิด LINE Developers Podcast บน Spotify เป็นอีกช่องทางให้เราสามารถติดตามเทคโนโลยีใหม่ๆ จาก LINE ได้

               Credit: LINE

    ช่องดังกล่าวนี้เปิดอยู่ที่ https://open.spotify.com/show/5oN6OeJOm5LXiudpHfznQi หรือจะเอาชื่อ Channel ไปเสิร์ชใน App ก็ได้เช่นกัน โดยปัจจุบันมีเนื้อหาด้วยกันอยู่ 2 ตอน ได้แก่ตอน 0 ที่แนะนำรายการ และตอน 1 ที่เล่าถึง LINE API Ecosystem รับปี 2020 กันครับ โดยเนื้อหาเหล่านี้ทีม Engineer จาก LINE ออกมาเล่าเรื่องราวต่างๆ เองโดยตรง

    กลุ่มเป้าหมายของ LINE ก็จะมีทั้งคน IT ที่ต้องการอัปเดตเทคโนโลยีใหม่ๆ เอาไว้เป็นทางเลือกในการพัฒนาระบบต่างๆ และนักการตลาดที่ต้องการติดตามความสามารถใหม่ๆ ของ LINE เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตน

     

    ]]>
    Mon, 13 Jan 2020 02:28:48 +0000
    <![CDATA[Cloudflare for Team บริการใหม่สำหรับองค์กรเพื่อเชื่อมต่ออย่างมั่นคงปลอดภัย]]> https://encom.co.th/blog/2001013-1/ Cloudflare ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หรือ Cloudflare for team เพื่อให้องค์กรสามารถเข้าถึงเครื่องมือในการทำงานที่จำเป็นได้อย่างมั่นคงปลอดภัย

    วิธีการขุดคูล้อมปราสาทอย่างเดิมใช้ไม่ได้ผลแล้วในปัจจุบัน หากเปรียบเปรยว่า Firewall คือคูและ VPN เป็นสะพาน จะเห็นได้ว่าผู้ใช้งานก็ถูกเล่นงานจาก Phishing หรือ Supply Chain Attack เข้ามาได้ นอกจากนี้ยังไม่ตอบโจทย์ในการที่ข้อมูลของเราย้ายไปอยู่บน Cloud และนโยบายแบบ BYOD ที่ไม่สามารถควบคุมการใช้งานของ Endpoint ได้อย่างครอบคลุม ด้วยเหตุนี้เอง Cloudflare จึงปรับตัวต่อคอนเซปต์ Zero-trust ซึ่งเชื่อว่าไม่สามารถเชื่อถือเครือข่ายใดๆ ได้ ดังนั้นการเข้าใช้งานทุกแอปและ Data Source จะต้องถูกพิสูจน์ตัวตนทั้งหมด

    credit : Cloudflare

    Cloudflare for team คือไอเดียที่เกิดจากการผสมผสานของ Cloudflare Access (VPN) และ Cloudflare Gateway (Next-gen Firewall) ให้กลายเป็นชุดของเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับทีมงานขององค์กรเพื่อเชื่อมต่อและใช้งานเครื่องมือได้อย่างมั่นคงปลอดภัย โดยทั้งสองบริการมีการใช้งานฟรีได้ทั้งคู่ (ตามรูป) 

    หากเราประกอบจิ๊กซอว์สิ่งที่ Cloudflare มีก่อนหน้านี้ เช่น WARP/ WARP+, 1.1.1.1 DNS และ โครงข่าย Network ของตัวเองที่การันตีความเร็วและความมั่นคงปลอดภัย เช่น DDoS ก็ไม่น่าแปลกใจที่จะสามารถเกิดขึ้นเป็นบริการนี้ได้

    credit : Cloudflare

    อย่างไรก็ดี Gateway ของ Cloudflare นั้นก็สามารถเริ่มต้นใช้ได้ง่ายเพียงแค่ชี้ DNS เข้ามา ส่วน Gateway Pro จะเสมือนเป็น Full Proxy ที่สามารถตั้งค่าได้จาก WARP หรือสามารถใช้ (Mobile Device Management) MDM บังคับการตั้งค่าหรือทำ GRE Tunnel มาจากเราเตอร์ ในส่วนสุดท้าย Gateway Enterprise คือการนำ Remote Browser Isotion จาก S2 Systems ที่ Cloudflare เพิ่งซื้อเข้ามาให้องค์กรควบคุมการใช้งานของ Browser ได้อย่างมั่นใจ

    ที่มา :  https://blog.cloudflare.com/introducing-cloudflare-for-teams/

    ]]>
    Mon, 13 Jan 2020 02:25:33 +0000
    <![CDATA[ลื่นหัวแตก! Router ตัวใหม่ล่าสุดให้ความเร็วสูงสุดที่ 11,000 Mbps]]> https://encom.co.th/blog/2001006-5/ บริษัท ทีพี-ลิงค์ เอ็นเตอร์ไพร์ส ประเทศไทย จำกัด เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ Wi-Fi6 พร้อมชมสินค้า Router Ax series

    นายทรงศักดิ์ สังขเวทัย ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท ทีพี-ลิงค์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) ได้กล่าวถึงคุณสมบัติแต่ละรุ่นของ Archer AX series ว่า สำหรับเราเตอร์ตัวแรก Archer AX6000 เป็นเราเตอร์รองรับมาตรฐาน 802.11ax หรือเราเตอร์ Wi-Fi 6 มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ คือ เทคโนโลยี OFDMA และ MU-MIMO สามารถสร้างประสิทธิภาพได้มากกว่าเราเตอร์ 802.11 ac อัดการรองรับความเร็ว 1148 Mbps บนคลื่นความถี่ 2.4GHz และ 4804 Mbps บนคลื่นความถี่ 5GHz band พร้อมรองรับ Wan Port ระดับ 2.5Gbps อีกด้วย

    ทีพี-ลิงค์ ยังได้มีการเปิดตัวเราเตอร์ AX11000 ซึ่งถือได้ว่าเป็นเราเตอร์เกมมิ่ง มาพร้อมกับฟีเจอร์ Wi-Fi 6 ทั้ง OFDMA , MU-MIMO และ Tri-band ที่สามารถเปิดโลกอินเทอร์เน็ต โดยกระจายความเร็วได้มากสุดที่ 4804 Mbps และ 1148 Mbps ให้ความเร็วรวม Wi-Fi ถึง 11,000 Mbps

    นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่มีงบประมาณที่จำกัด แต่มีความต้องการในการใช้งาน Wi-Fi6 ทาง ทีพี-ลิงค์ ก็มีอีกทางเลือกให้กับลูกค้าด้วย คือ เราเตอร์ Archer AX50 และ Archer AX10

    โดย Archer AX50 เราเตอร์ Dual Band ให้ความเร็วรวม Wi-Fi ที่ 3,000 Mbps ซึ่งเป็นเราเตอร์ตัวแรก เราเตอร์ที่พร้อมจะมอบประสบการณ์ Wi-Fi 6 Gig+ ระดับพรีเมี่ยมด้วยราคาที่คุ้มค่า มีความเร็วและเสถียร ช่วยเพิ่มสปีด WI-Fi6 ให้กับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ของคุณ

    ในส่วนของ Archer AX10 นั้นเป็นเราเตอร์ตัวใหม่ที่นำเสนอ Wi-Fi 6 ด้วยราคาแสนประหยัด แต่ให้ความเร็วรวม Wi-Fi ที่ 1,500 Mbps เราเตอร์ Dual Band สองย่านความถี่ที่ ให้ความเร็ว 1201 Mbps ที่ย่าน 5 GHz และความเร็ว 300 Mbps ที่ย่าน 2.4 GHz , Full Gigabit Ports-ให้ความเร็วบรอดแบนด์สูงสุดที่ 1 Gbps

     

    ]]>
    Mon, 06 Jan 2020 04:50:00 +0000
    <![CDATA[ช่องโหว่ในผลิตภัณฑ์ Citrix ทำให้แฮ็กเกอร์เจาะรบบบริษัทต่างๆ กว่า 80,000 แห่ง]]> https://encom.co.th/blog/2001006-4/

    มีนักวิจัยค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Citrix Application Delivery Controller (NetScaler ADC)และ Citrix Gateway (NetScaler Gateway) ที่เปิดให้แฮ็กเกอร์จากภายนอกเข้าถึงเครือข่ายภายในบริษัทของลูกค้าจากระยะไกลได้

    ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามีบริษัทที่ได้รับผลกระทบอย่างน้อยมากถึง 80,000 แห่งทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐฯ ที่คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 38% ขององค์กรที่มีช่องโหว่ทั้งหมด รองลงมาได้แก่อังกฤษ เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ และออสเตรเลีย

    ตัว Delivery Controller นี้เป็นระบบที่ทำงานฝั่งเซิร์ฟเวอร์ที่รับผิดชอบงานด้านจัดการการเข้าถึงของผู้ใช้รวมทั้งเป็นตัวกลางคอยปรับปรุงประสิทธิภาพการเชื่อมต่อด้วย คอนโทรลเลอร์นี้ยังมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Machine Creation Services

    ที่สามารถสร้างอิมเมจของทั้งเดสก์ท็อปและเซิร์ฟเวอร์ได้ ช่องโหว่นี้ถูกตั้งเป็นรหัส CVE-2019-19781 ถูกจัดความร้ายแรงของช่องโหว่อยู่ในระดับสูง ที่สามารถทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงกับองค์กรที่ติดตั้งผลิตภัณฑ์และเกตเวย์ดังกล่าวได้

    สำหรับผลิตภัณฑ์ของ Citrix ที่มีโดนผลกระทบมีดังต่อไปนี้

    – Citrix ADC and Citrix Gateway 13.0

    – Citrix ADC and NetScaler Gateway 12.1

    – Citrix ADC and NetScaler Gateway 12.0

    – Citrix ADC and NetScaler Gateway 11.1

    – Citrix NetScaler ADC and NetScaler Gateway 10.5.

     

    ]]>
    Mon, 06 Jan 2020 04:48:57 +0000
    <![CDATA[LightCam หลอดไฟอัจฉริยะ เป็นกล้องวงจรปิดได้ในตัว]]> https://encom.co.th/blog/2001006-3/ LightCam หลอดไฟอัจฉริยะ

     

              LightCam หลอดไฟอัจฉริยะ ทำหน้าที่เป็นกล้องวงจรปิดได้ในตัว ดูภาพจากกล้องผ่านมือถือได้

     

              LightCam หลอดไฟอัจฉริยะที่สามารถทำหน้าที่เป็นกล้องวงจรปิดได้ในตัว โดยตัวหลอดไฟจะดูคล้ายกับหลอดไฟทั่วไป สามารถใส่แทนที่หลอดไฟมาตรฐานทั่วไปได้อย่างง่ายดาย ที่ตัวหลอดไฟจะมีเลนส์กล้องวงจรปิดที่สามารถถ่ายวัตถุได้ไกลสุดถึง 25 ฟุต มีระบบ Night Vision สามารถถ่ายในที่มืดได้ ความละเอียดสูงถึง 1080p ผู้ใช้สามารถดูภาพจากกล้องวงจรปิดได้ผ่านมือถือ ซึ่งจะได้ทั้งภาพและเสียงที่ชัดเจน

    LightCam หลอดไฟอัจฉริยะ

     

    LightCam หลอดไฟอัจฉริยะ

     

              LightCam รองรับการใช้งานร่วมกับทั้ง iOS และ Android ภายในมี microSD สำหรับเก็บวิดีโอ พร้อมทั้ง Back up เก็บไว้บน Online Storage ตลอดเวลา หรือจะเลือก Back up ไว้บน PC หรือมือถือก็ได้เช่นกัน โดยราคาเริ่มต้นสำหรับผู้ร่วมระดมทุนตอนนี้อยู่ที่ $89 หรือประมาณ 3,200 บาท 

    LightCam หลอดไฟอัจฉริยะ

     

    LightCam หลอดไฟอัจฉริยะ

     

    LightCam หลอดไฟอัจฉริยะ

     

    LightCam หลอดไฟอัจฉริยะ

     

    LightCam หลอดไฟอัจฉริยะ

     

     

    ]]>
    Mon, 06 Jan 2020 04:48:03 +0000
    <![CDATA[ยลโฉมใหม่ Facebook Messenger บน Windows เวอร์ชันเบต้า ใช้ได้แล้ววันนี้]]> https://encom.co.th/blog/2001006-2/

     

    เมื่อต้นปีที่ผ่านมาในงาน F8 ของ Facebook ได้ประกาศปรับโฉม Facebook Messenger บน Desktop ใหม่ทั้งหมด หลังจากก่อนหน้านี้ได้หยุดพัฒนาไปสักพักหนึ่ง ล่าสุด Facebook ปล่อยเวอร์ชันทดสอบ(Beta) ของ Messenger บน Windows ให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้งานได้แล้ว ส่งท้ายปี 2019

    โดย Messenger โฉมใหม่นี้ จะเพิ่มความสามารถต่าง ๆ จากรุ่นก่อน ให้สามารถทำได้เช่นเดียวกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น เว็บ และสมาร์ตโฟน เช่น

    การส่งไฟล์ การลบข้อความที่ส่งไปแล้วแบบถาวร โหมดเต็มหน้าจอ การซ่อนแชต อัปเดต Emoticons

    ที่พิเศษไปกว่านั้นคือ รองรับการเปลี่ยนธีมด้วย สามารถเป็นเป็นธีม Dark ธีม Light หรือธีม Gray หรือจะตั้งให้เปลี่ยนธีมไปตามธีมของระบบได้อีกด้วย และมีการเปลี่ยนไอคอนใหม่ด้วยเช่นกัน

    การอัปเดตครั้งนี้ แอปจะรองรับเพียง 64-bit เท่านั้น สามารถดาวน์โหลดและทดลองใช้งานได้แล้ววันนื้ ใน Microsoft Store

     

    ]]>
    Mon, 06 Jan 2020 04:45:47 +0000
    <![CDATA[Dell Mobile Connect จะออกอัพเดต รองรับการทำงานร่วมกับ iOS]]> https://encom.co.th/blog/2001006-1/ นอกจากผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวหลายรายการ เดลล์ยังอัพเดตข้อมูลของแอป Dell Mobile Connect ที่เชื่อมต่อการทำงานระหว่างสมาร์ทโฟนกับพีซีของเดลล์ จากเดิมที่รองรับเฉพาะ Android จะขยายมารองรับการทำงานร่วมกับ iOS ด้วย โดยอัพเดตดังกล่าวจะออกมาช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้ (มีนาคม)

    Dell Mobile Connect รองรับการส่งไฟล์ไปยังสมาร์ทโฟน และทำให้ใช้งานแอปมือถือผ่านพีซีได้ (มิเรอร์) สำหรับ iOS ไฟล์ที่ส่งหากันรองรับเฉพาะไฟล์ภาพและวิดีโอเท่านั้น

    ทั้งนี้เดลล์บอกว่า Dell Mobile Connect สำหรับ iOS รองรับการทำงานรวมกับ XPS, Inspiron, Vostro, Alienware และสินค้าตระกูล G ที่จำหน่ายตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไปเท่านั้น

    ที่มา: The Verge

    alt="Dell Mobile Connect"

     

    ]]>
    Mon, 06 Jan 2020 04:42:11 +0000
    <![CDATA[เดลล์ เทคโนโลยีส์ เผยเทคโนโลยีเกิดใหม่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตคนภายในปี 2030]]> https://encom.co.th/blog/191223-5/

     เดลล์เทคโนโลยีส์เผย อนาคตของการใช้ชีวิตที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน หรือ Future of Connected Livingเป็นงานวิจัยใหม่ที่สำรวจว่าเทคโนโลยีที่เกิดใหม่จะเปลี่ยนแปลงรูปหรือปฏิรูปรูปแบบการใช้ชีวิตของเราในปี 2030 ไปอย่างไร

    โดยการวิจัยนี้จัดทำขึ้นผ่านความร่วมมือกับสถาบันแห่งอนาคต (Institute for the Future หรือ IFTF) และแวนสัน บอร์น (Vanson Bourne)ในการดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของผู้นำทางธุรกิจ 1,100 คนใน 10 ประเทศภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคและประเทศญี่ปุ่น (APJ) ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ทั้งนี้ ผลการสำรวจให้ข้อมูลและมุมมองของโลกอนาคตที่เปี่ยมล้นไปด้วยโอกาสอันเนื่องมาจากความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีส์ที่มอบศักยภาพในการที่จะขับเคลื่อนความก้าวหน้าของมนุษย์ทั่วทั้งโลก โดยมี 5 เทคโนโลยีที่น่าสนใจดังนี้

    1. เครือข่ายของระบบเสมือนจริง (Networked Reality): ในอีกสิบปีข้างหน้าไซเบอร์สเปซจะกลายเป็นภาพซ้อนทับ(overlay) บนความเป็นจริงที่มีอยู่ของเราจากการที่สภาพแวดล้อมทางดิจิทัลของเราขยายออกไปเกินกว่าโทรทัศน์ สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์ในการแสดงผลอื่นๆ

    2. ยานยนต์ที่เชื่อมต่อเข้าหากัน(connected mobility) และความสำคัญของเครือข่ายที่รวมเข้าด้วยกัน (Networked Matter): สามารถในการเชื่อมต่อและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง – ยานพาหนะในอนาคตจะกลายเป็นคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ได้เราจะไว้วางใจให้พาหนะเหล่านี้เดินทางไปในทุกที่บนโลกที่สามารถจับต้องได้ใบนี้ในขณะที่ติดต่อปฏิสัมพันธ์กับโลกเสมือนที่พร้อมให้เราเข้าถึงได้ในทุกที่ที่เราอยู่

    3. จาก ดิจิทัลซิตี้ (Digital Cities) ไปสู่ เซนเทียน ซิตี้ (Sentient Cities) หรือเมืองที่มีความรู้สึก – เมืองต่างๆ จะลุกขึ้นมามีชีวิตผ่านทางเครือข่ายต่างๆ ทั้งของโครงสร้างพื้นฐานของทั้งวัตถุอัจฉริยะ (smart objects) ระบบการรายงานผลด้วยตัวเอง (self-reporting systems) และการวิเคราะห์ด้วยพลังของ AI ที่รวมเข้าเป็นเครือข่ายเดียวกัน

    4. ผู้ช่วยและระบบกฏเกณฑ์ขั้นตอนวิธีต่างๆ (Agents and Algorithms): พวกเราแต่ละคนจะได้รับการดูแลสนับสนุนจาก”ระบบปฏิบัติการเพื่อการดำรงชีวิต” (operating system for living) ที่เป็นส่วนตัว ที่สามารถคาดเดาได้ถึงความต้องการของเรา และให้การสนับสนุนภาระกิจต่างๆของเราในแต่ละวันในแบบเชิงรุกเพื่อทำให้มีเวลาว่างเพิ่มมากยิ่งขึ้น

    5. โซเชียลไลฟ์ของหุ่นยนต์(Robot with Social Lives): หุ่นยนต์จะกลายมาเป็นเป็นหุ้นส่วนในชีวิตของเรา ช่วยเพิ่มทักษะและขยายขีดความสามารถของเราในด้านต่างๆ หุ่นยนต์จะแบ่งปันความรู้ที่ได้รับใหม่ไปยังเครือข่ายโซเชียลหุ่นยนต์ (social robot network) ไปยังนวัตกรรม crowdsource และกระตุ้นให้เกิดความก้าวหน้าในแบบเรียลไทม์

    “การเชื่อมต่อและความสัมพันธ์ของเรากับเทคโนโลยีจะมีความแตกต่างออกไปอย่างมหาศาลในปี 2030 และเราเชื่อว่าความสัมพันธ์ที่จะประสบความสำเร็จมากที่สุดระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรคือความสัมพันธ์ในระยะยาวของเผ่าพันธ์ที่แตกต่าง (symbiotic) และใช้ประโยชน์จากจุดแข็งต่างๆ ที่เกื้อกูลกัน” ปัง ยี เบ็ง รองประธานอาวุโส ภูมิภาคเอเชียใต้ เดลล์ เทคโนโลยีส์

    ในส่วนของการเติบโตในด้านการนำเทคโนโลยีเกิดใหม่เข้ามาใช้อย่างแพร่หลายในประเทศไทย นายนพดล ปัญญาธิปัตย์ รรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย เดลล์เทคโนโลยีส์ กล่าวว่า“เทคโนโลยีเกิดใหม่ต่างๆ จะปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปในรูปแบบที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน จากการที่ภาครัฐกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงด้วยแผนงาน Thailand 4.0 พร้อมเป้าหมายDigital Thailand การลงทุนที่สำคัญจำเป็นต้องทำให้เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจดิจิทัล (digital economy) รวมทั้งการกำกับดูแลสำหรับระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI การชำระเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไปจนถึงการสร้างอัตลักษณ์ดิจิทัล (digital identities) สิ่งสำคัญสำหรับเราคือการพูดคุยและค้นหาแนวทางในการที่เราจะสามารถทำให้อนาคตนี้เป็นจริงด้วยความร่วมมือของมนุษย์และเครื่องจักรที่ครบถ้วนสมบูรณ์”

     

    ]]>
    Mon, 23 Dec 2019 04:21:31 +0000
    <![CDATA[5 แนวทาง ในการช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์จากการถูกแฮ็ก !]]> https://encom.co.th/blog/191223-4/

     

    วัฒนธรรมของบริษัทปกติทั่วโลกได้เปลี่ยนไปอย่างมาก พนักงานส่วนใหญ่หันมาชื่นชอบการใช้อุปกรณ์ส่วนตัวในที่ทำงานเพื่อใช้ทำงานของตัวเองเนื่องจากมองว่ามีความสะดวก และมีประโยชน์ต่อประสิทธิภาพการทำงาน

    ซึ่งตามข้อมูลแล้ว ทางซิสโก้พบว่านโยบาย BYOD (Bring Your Own Device) ช่วยเพิ่มระดับความพึงพอใจ และประสิทธิภาพขอวพนักงานได้จริง และการที่บริษัทสั่งห้ามใช้อุปกรณ์ส่วนตัวในการทำงาน ก็อาจผลักดันให้พนักงานแอบใช้แทนได้

    ผลที่ตามมามีตั้งแต่การละเมิดข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของข้อมูล ไปจนถึงเปิดช่องทางเข้ามาให้กับการโจมตีทางไซเบอร์และกรณีข้อมูลรั่วไหล นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมจึงบริษัทมากขึ้นเรื่อยๆ ที่หันมาเปิดรับนโยบาย BYOD อย่างเต็มใจ

    ทั้งนี้เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความต้องการพื้นฐานของพนักงาน และประสิทธิภาพของธุรกิจ ถ้าคุณกำลังจะอนุญาตให้พนักงานใช้อุปกรณ์ส่วนตัวแล้ว ก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องรักษาความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมการทำงานเสียก่อน

    โดยคุณจำเป็นต้องทำตามมาตรการความปลอดภัยพื้นฐานสำหรับอุปกรณ์ที่มีอยู่เพื่อให้ได้รับการปกป้องสูงสุด ซึ่งทาง TechNotification.com มีเคล็ดลับที่ยอดเยี่ยมเกี่บวกับเรื่องดังกล่าวไว้ดังต่อไปนี้

    1. ติดตั้งโปรแกรมแอนติไวรัส

    การใช้โปรแกรมแอนติไวรัสชั้นสูงกับคอมพิวเตอร์ของบริษัทถือเป็นหลักการพื้นฐาน ด้วยการเลือกหาแอนติไวรัสที่ดีที่สุดสำหรับวินโดวส์ที่ตรงตามความต้องการที่จำเพาะของคุณ แล้วติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ภายในบริษัททุกเครื่อง

    2. สร้างนโยบายด้านความปลอดภัยสำหรับอีเมลที่เข้มงวด

    อีเมลนับเป็นแหล่งขนาดใหญ่ของการสื่อสารประจำวันในบริษัท จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่คุณต้องมีโพลิซีด้านความปลอดภัยของอีเมลที่แข็งแกร่งเอาไว้ใช้ ซึ่งถ้าคุณใช้ชุดบริการทางธุรกิจระดับมืออาชีพอย่าง Cloud 365 แล้วก็ถือเป็นเรื่องง่าย

    3. ซ่อนที่อยู่ไอพีของคุณ

    หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาทั้งความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวในสภาพแวดล้อมบนโลกออนไลน์ปัจจุบันคือ การปกปิดที่อยู่ไอพีจริงของคุณ ซึ่งทำให้ยากต่อการที่อาชญากรไซเบอร์และแฮ็กเกอร์ที่จะบุกเข้ามาสร้างความเสียหายในบริษัท

    4. ติดตั้งระบบ MDM

    ระบบ Mobile Device Management หรือ MDM ถือเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับการทำงานของฝ่ายไอทีในบริษัทของคุณจะทำให้ทีมงานด้านความปลอดภัยของคุณสามารถเข้าควบคุมอุปกรณ์ที่พนักงานของคุณใช้ได้ดีขึ้น

    5. ให้ความรู้แก่พนักงานและบังคับใช้กฎระเบียบ

    พนักงานจำเป็นต้องตระหนักถึงช่องโหว่ที่อาจเป็นไปได้บนอุปกรณ์ที่พวกเขาใช้ทำงานตัวอย่างเช่น พวกเขาควรจะรู้ว่าอีเมลฟิชชิ่งและโปรแกรมที่เป็นอันตรายสามารถตรวจสอบและหลีกเลี่ยงได้ และควรระลึกถึงวิธีระมัดระวังเวลาสื่อสารกับคนอื่นบนโลกออนไลน์

    แต่ไม่ว่าพนักงานจะเอาอุปกรณ์ของตัวเองมาทำงาน หรือใช้อุปกรณ์ของบริษัทก็ตาม ก็ไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่ายังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอยู่เสมอ ซึ่งจนกว่าจะมีการวางมาตรการที่เหมาะสมไว้ล่วงหน้านั้น ธุรกิจของคุณก็อาจโดนจารกรรมข้อมูลที่เป็นความลับได้ตลอดเวลา

    ที่มา : Technotification

     

    ]]>
    Mon, 23 Dec 2019 04:15:40 +0000
    <![CDATA[7 ข้อต้องรู้ ก่อนเลือกเครื่องมือด้าน Network Automation]]> https://encom.co.th/blog/191223-3/ องค์กรปัจจุบันส่วนใหญ่มีการใช้งานเครื่องมือทำ Network Automation กันอยู่แล้ว วันนี้เราจึงขอนำปัจจัย 7 ข้อในการตัดสินใจเลือกเครื่องมือด้าน Network Automation กันครับ


    1.Single vendor / Multi-vendor ?

    สำหรับผู้นำตลาด Multi-vendor Automation หรือเครื่องมือสามารถรองรับการทำงานอุปกรณ์ได้หลายค่ายคือ Red Hat, NetBrain และ Forward Networks แต่ Vendor รายใหญ่อย่าง Cisco, Arista, Juniper และ Extreme ต่างมีแพลตฟอร์มของตัวเองเช่นกัน ด้วยเหตุนี้องค์กรจึงต้องเลือกว่าระบบที่ใช้อยู่มีนี่ห้ออะไรและโอกาสที่จะนำยี่ห้ออื่นเข้ามาแบบไหนเหมาะสม โดยหากเลือกใช้ Vendor รายเดียวต้องดูให้แน่ใจว่ารองรับกับทุกผลิตภัณฑ์ได้ทั้งหมดจริงๆ พอถึงเวลาจริงใช้ได้แค่บางส่วน

    2.API

    ยังไงก็แล้วแต่ท้ายที่สุดเครื่องมือด้าน Network Automation อาจต้องเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ได้ ดังนั้น API คือหัวใจสำคัญ ที่ตอนตัดสินใจต้องมองถึงอนาคตด้วย

    3.Orchestration

    เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบบเครือข่ายมักกระทบส่วนอื่นด้วย เช่น เพิ่มอุปกรณ์เราเตอร์ก็ต้องแก้ไฟล์วอลและปรับแต่ง Load Balancer ดังนั้นเครื่องมือต้องมีความสามารถทำงานร่วมกับ Framework อื่นได้

    4.AI/ Intent-based Networking

    คอนเซปต์ของ Intent-based Networking คือผู้ดูแลกำหนดสถานะผลลัพธ์ของเครือข่ายและใช้ซอฟต์แวร์ทำงานอัตโนมัติปรับแต่งให้ระบบได้ตามนั้น ซึ่งปัจจุบันระบบเดิมๆ ต้องทำด้วยมือ (Manual) แต่ด้วยความว่องไวของการเปลี่ยนแปลง AI เท่านั้นจึงจะสามารถเติมเต็มได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามจุดสังเกตคือระบบที่เป็น AI แท้จริงต้องสามารถปรับตัวให้เก่งขึ้นได้เรื่อยๆ (Feedback and Update)

    5.SaaS / On-prem

    อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับองค์กรคือการให้บริการว่าแบบ SaaS หรือ On-premise อย่างไรก็ตามมีผลสำรวจพบว่าแนวทาง Hybrid ก็น่าสนใจไม่น้อยเพราะสามารถ Localize Data แต่ AI อาจจะเหมาะกับการประมวลผลบน Cloud มากกว่า On-premise และอัปเดตได้ไวกว่าด้วย

    6.Compliance and Security Report

    เครื่องมือ Network Automation ต้องสามารถออกรายงานอย่าง Security Policy และ Compliance ให้ได้ ที่สำคัญควรจะแสดง Visibility ของ lifecycle ตั้งแต่ Plan, Deploy และ Optimize ให้ได้ด้วย

    7.Ease of Use

    ถึงฟีเจอร์จะเยอะแค่ไหนก็ต้องเป็นเครื่องมือที่ใช้ง่ายเรียนรู้ได้เร็ว มิเช่นนั้นองค์กรจะต้องใช้พนักงานทักษะสูงที่มีฐานเงินเดือนสูง โดยควรจะเป็น GUI ได้อย่างเท่าเทียมกับทุกคำสั่งใน CLI เพื่อการทำงานอย่างครอบคลุม

    ที่มา :  https://www.networkworld.com/article/3490459/7-considerations-when-buying-network-automation-tools.html

    ]]>
    Mon, 23 Dec 2019 04:12:16 +0000
    <![CDATA[ฮิตาชิ แวนทารา พลิกวงการระบบจัดเก็บข้อมูลองค์กรด้วย Hitachi Virtual Storage Platform 5000 Series และซอฟต์แวร์บริหารจัดการ Hitachi Ops Center ขุมพลังแห่งระบบ AI]]> https://encom.co.th/blog/191223-2/

    • ลบล้างสถิติเก่าด้วย Hitachi Accelerated Fabric เทคโนโลยีใหม่ปั่นความเร็วได้ถึง 21 ล้าน IOPS พร้อมรองรับการขยายสูงถึง 69 เพตะไบต์ ยืนหนึ่งเหนือคู่แข่งทุกราย

    • ด้วยรากฐานระบบจัดเก็บข้อมูล NVMe Flash Array ที่เร็วที่สุดในโลก องค์กรจะพร้อมรับมือกับงานในทุกรูปแบบและปริมาณ

    • และด้วยศักยภาพอันเป็นตำนานของฮิตาชิ เราได้พัฒนาระบบ AI ที่ใหม่และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สำหรับช่วยในการทำงานอย่างอัจฉริยะให้กับลูกค้า

    ฮิตาชิ แวนทารา (Hitachi Vantara) ในเครือบริษัท ฮิตาชิ จำกัด (TSE: 6501) ประกาศเปิดตัวโซลูชันเก็บข้อมูลยุคใหม่พร้อมโครงสร้างพื้นฐานอันทรงพลัง ด้วยสถาปัตยกรรมใหม่ที่สามารถปรับขยายและยกระดับให้รองรับปริมาณงานทุกสเกล โซลูชันดังกล่าวประกอบด้วยแพลตฟอร์ม Hitachi Virtual Storage Platform (VSP) 5000 Series ซึ่งเป็นระบบจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กรใหม่ล่าสุดและเร็วที่สุดในโลก [1] พร้อมด้วยซอฟต์แวร์บริหารจัดการใหม่ล่าสุด Hitachi Ops Center และระบบปฏิบัติการอัปเดตใหม่ Hitachi Storage Virtualization Operating System เมื่อผนวกรวมกันแล้ว เทคโนโลยีเหล่านี้จะเข้ามาเร่งการทำงานในศูนย์ข้อมูลและส่งมอบระบบ IT ที่รองรับอนาคต ด้วยสถาปัตยกรรมใหม่สุดล้ำที่เป็นรากฐานในการยกระดับสภาพแวดล้อมด้านศูนย์ข้อมูล ระบบคลาวด์ และ DataOps ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น


    “แพลตฟอร์ม Hitachi Virtual Storage Platform 5000 Series เป็นรากฐานสำหรับลูกค้าในการคว้าข้อได้เปรียบทางดิจิทัลเหนือคู่แข่งและบรรลุผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้น“ คุณ Pratyush Khare ผู้ดำรงตำแหน่ง Vice President, Pre-Sales and Chief Technology Officer ประจำเอเชียแปซิฟิก บริษัท ฮิตาชิ แวนทารา กล่าว “ฮิตาชิ แวนทารา กำลังวางรากฐานสำหรับนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานระดับองค์กรที่มีความทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ด้วยโซลูชันใหม่ ๆ ที่ได้รับการออกแบบโดยใช้เทคโนโลยีที่รองรับอนาคต เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านศูนย์ข้อมูลในวันข้างหน้า“

    รากฐานของโครงสร้างพื้นฐานองค์กรที่ทันสมัย

    Hitachi VSP 5000 Series มาพร้อมโครงสร้างพื้นฐานการเก็บข้อมูลสำหรับการดำเนินธุรกิจดิจิทัลทุกรูปแบบด้วยความเร็วและความยืดหยุ่นที่เป็นเลิศ เพื่อขับเคลื่อนปริมาณงานที่มีอยู่เดิม รวมถึงปริมาณงานใหม่ ๆ จำนวนมหาศาลที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมแบบมัลติคลาวด์และระบบที่มีการใช้งาน AI โซลูชันนี้รองรับการจัดเก็บข้อมูลแบบบล็อกและไฟล์ ทั้งยังรองรับปริมาณงานหลากหลายประเภท ตั้งแต่การใช้งานทางธุรกิจที่มีความสำคัญ ไปจนถึงคอนเทนเนอร์และเมนเฟรม Hitachi VSP 5000 Series รองรับปริมาณงานทั้งหมดซึ่งทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้นถึงขีดสุด

    สถาปัตยกรรมใหม่ยกเครื่อง

    VSP 5000 เป็น Flash Array ระดับ Enterprise ใหม่เอี่ยมที่พัฒนาขึ้นเพื่อมอบประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นสูงสุด ด้วยสถาปัตยกรรมที่รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น SAS, NVMe และ Storage Class Memory (SCM) พร้อมขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจาก Hitachi Accelerator Fabric ส่งผลให้เป็น NVMe Flash Array ที่เร็วที่สุดในโลก ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลเชิงลึกและผลลัพธ์ทางธุรกิจเร็วขึ้น ด้วย IOPS สูงถึง 21 ล้าน นอกจากนี้ เจ้าของแอปพลิเคชันที่ใช้ทรัพยากรเยอะยังได้เห็นพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดด้วยเวลาตอบสนองที่รวดเร็วเพียง 70 ไมโครวินาที

    VSP 5000 มาพร้อมกลไกลดพื้นที่การเก็บข้อมูลแบบใหม่ โดยใช้อัลกอริทึมแมชชีนเลิร์นนิง (ML) ขั้นสูงในการลดพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลขณะเขียนแบบ On-The-Fly โดยประเมินจากขนาดของบล็อกและคุณลักษณะอื่น ๆและอาศัยการกำจัดข้อมูลซ้ำซ้อนแบบ In-line และ Post-process เพื่อลดปริมาณการจัดเก็บข้อมูลให้มากที่สุดและส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานน้อยที่สุด ด้วยอัตราส่วนสูงสุดถึง 7:1 ในการจัดเก็บข้อมูลจริง

    VSP 5000 สร้างขึ้นเพื่อรองรับธุรกิจดิจิทัลที่มีการทำงานตลอดเวลา ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Self-protecting พร้อมโครงสร้างทวีความแข็งแกร่ง ระบบจึงสามารถส่งต่อระดับการบริการได้แบบ 99.999999% Availability

    พลิกโฉมการทำงานของศูนย์ข้อมูล

    VSP 5000 ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญสำหรับองค์กรที่กำลังมองหาวิธียกระดับศูนย์ข้อมูลให้ทันสมัย เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการให้บริการอันเข้มงวด ครอบคลุมปริมาณงานหลากหลายประเภทและโมเดลการใช้งานแบบ Edge-to-core-to-multicloud

    ส่วนซอฟต์แวร์ Hitachi Ops Center นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการดำเนินการและบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อยกระดับการตัดสินใจและทำให้การส่งมอบทรัพยากรมีความทันสมัยยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนให้ได้สูงสุด โดย Ops Center ช่วยให้ลูกค้าสามารถเร่งพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่ชาญฉลาด ด้วยการช่วยทำงานอัตโนมัติสูงสุดถึง 70% ทั้งยังสามารถแสดงข้อมูลเชิงลึกอย่างรวดเร็วและถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อใช้วินิจฉัยสภาพของระบบและดูแลการดำเนินงานด้านข้อมูลให้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ

    อีกทั้งลูกค้ายังสามารถนำระบบจัดเก็บที่มีอยู่เดิมมาเพิ่มความสามารถให้เทียบเท่ากับ VSP 5000 ด้วยการทำStorage Virtualization โดย VSP 5000 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการเปลี่ยนระบบจัดเก็บที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ถึง 20%

    มากไปกว่านั้น VSP Cloud Connect Pack เป็นการเพิ่มเกทเวย์ HNAS 4000 สำหรับการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างศูนย์ข้อมูลและคลาวด์สาธารณะ เพิ่มความยืดหยุ่น แต่คงไว้ซึ่งความสามารถในการค้นหา ผ่านกลไกmetadata enrichment

    ความยืดหยุ่นในการรองรับปริมาณงานสูงสุด

    Hitachi Storage Virtualization Operating System (SVOS) คือขุมพลังของ VSP 5000 และได้รับการปรับให้เหมาะสมกับสถาปัตยกรรมแบบ Scale-out พร้อมรองรับเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็น NVMe และSCM นอกจากนั้นยังมี AI อัจฉริยะที่สามารถปรับให้เข้ากับสภาพที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อรองรับปริมาณงานทุกรูปแบบด้วยประสิทธิภาพสูงสุด ลดต้นทุนการจัดเก็บข้อมูล และคาดการณ์ข้อบกพร่องที่อาจกระทบต่อการทำงาน

    VSP 5000 เป็นระบบจัดเก็บข้อมูลเพียงหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมที่มีความยืดหยุ่น สามารถใช้งานเทคโนโลยีNVMe กับ SAS Flash Media ภายใต้ระบบเดียวกัน เพื่อให้คุ้มทุนและมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนั้นยังมีการทำ tiering แบบอัจฉริยะด้วย AI และ ML เพื่อจัดสรรการใช้งานของระบบจัดเก็บอย่างชาญฉลาด เพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน

    VSP 5000 ออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าสามารถเริ่มต้นจากขนาดเล็ก ๆ และเติบโตไปสู่ขนาดใหญ่ได้ตามต้องการพร้อมกับให้บริการในแบบที่สามารถคาดการณ์ได้ นอกจากนั้นยังออกแบบมาเพื่อเร่งความเร็วและรวมปริมาณงานหลายประเภทเข้าด้วยกัน ทั้งระบบการทำธุรกรรมแบบดั้งเดิม การจัดเก็บที่ทันสมัย การวิเคราะห์ หรือแม้แต่เมนเฟรม โดยสามารถรวมการทำงานได้มากกว่าที่เคยเพื่อประหยัดต้นทุนและลดพื้นที่ของศูนย์ข้อมูล

    สถาปัตยกรรมที่อัพเกรดได้ พร้อมที่จะเชื่อมต่อเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลที่มั่นคงอยู่แล้วกับเทคโนโลยีใหม่ ๆเช่น SCM และ NVMe over Fabrics (NVMe-oF) โดยไม่ต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม

    ประโยชน์เพิ่มเติมของ Hitachi VSP 5000 Series, Hitachi Ops Center และ SVOS ประกอบด้วย

    • Hitachi VSP 5100 เป็นโมเดลเริ่มต้นในตระกูล VSP 5000 Series มาพร้อมซอฟต์แวร์เสริมมากมายที่ช่วยบริหารข้อมูลครบวงจร วิเคราะห์ระบบอย่างทรงพลัง และบริหารจัดการข้อมูลดั้งเดิม

    • รับประกันข้อมูลไม่สูญหาย 100% สำหรับ VSP ทุกรุ่น รวมถึงรุ่นใหม่อย่าง VSP 5000

    • สำหรับลูกค้าที่ต้องการทำงานได้อย่างต่อเนื่องแม้เกิดภาวะฉุกเฉิน ฮิตาชิขอนำเสนอโซลูชัน Global-Active Device (GAD) ในการทำ active-active datacenter cluster 

    • Hitachi Ops Center Administrator ใช้งานง่าย ทำให้การบริหารจัดการและการทำงานด้าน IT คล่องตัวและง่ายขึ้น

    • Hitachi Ops Center ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนการบริหารจัดการให้เป็นระบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้าน IT และช่วยให้ลูกค้าสามารถแบ่งเวลาไปโฟกัสกับการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ อันเป็นประโยชน์ในการต่อยอดธุรกิจ

    ]]>
    Mon, 23 Dec 2019 04:07:14 +0000
    <![CDATA[Cisco เปิดตัว Meraki MG – Cloud-managed Cellular]]> https://encom.co.th/blog/191223-1/ Cisco ประกาศเปิดตัว Cisco Meraki MG ซึ่งเป็น Cellular Gateway สำหรับเชื่อมต่อระบบเครือข่ายภายในองค์กรกับอินเทอร์เน็ตผ่าน Cellular ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 300 Mbps รองรับการบริหารจัดการผ่านระบบ Cloud และผ่านมาตรฐาน IP67 ป้องกันฝุ่นละอองและความชื้น พร้อมติดตั้งได้ทั้งฝาหนัง เพดาน หรือบนโต๊ะ



    Cisco Meraki MG มีให้เลือกใช้บริการ 2 รุ่น คือ MG21 และ MG21E โดยรุ่นแรกจะใช้เสาส่งสัญญาณภายใน และรุ่นหลังจะใช้เสาส่งสัญญาณภายนอก มีพอร์ตการเชื่อมต่อแบบ 1 GbE จำนวน 2 พอร์ต (รองรับ PoE) และสามารถใส่ Nano Sim เพื่อเชื่อมต่อผ่าน CAT6 Cellular Modem ด้วยความเร็วสูงสุด 300 Mbps

    รายละเอียดเพิ่มเติม: https://meraki.cisco.com/products/cellular

    ที่มา: Cisco Thailand User Group

    ]]>
    Mon, 23 Dec 2019 03:59:48 +0000
    <![CDATA[ทีมงานด้านการตลาดและไอทีโซลูชั่นยักษ์ใหญ่ ของบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ ในประเทศญี่ปุ่น พลิกรูปแบบการทำงาน เพื่อประสิทธิภาพที่เหนือกว่า]]> https://encom.co.th/blog/191216-5/ เกี่ยวกับบริษัทและระบบ

    ทีมงานด้านการตลาดและไอทีโซลูชั่นยักษ์ใหญ่ ของบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ ในประเทศญี่ปุ่น มีความต้องการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ ลดเวลาตอบสนองของระบบลง (Response times), เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้าและพนักงานของเขา เพื่อต้องการลดระยะเวลาการทำงานด้านการทำรายงาน (Report) ,ดึงข้อมูลในแต่ละวันของแอพพลิเคชั่นหลัก(critical applications) และต้องรองรับ transactions การทำธุรกรรมของลูกค้าให้ได้มากขึ้น

     

    โดยก่อนหน้านี้ สำนักงานใหญ่ มีพนักงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการบำรุงรักษาและใช้งานของแอพพลิเคชั่นหลักนี้อยู่ทั่วทุกสาขา ซึ่งในแต่ละวันมีพนักงานประมาณ 4,000 คน จากทั้งหมด 18,000 คน ทั่วสำนักงานช่วยในการทำงาน นับเป็น 4.5เท่าของพนักงานทั้งหมด และยังไม่รวมลูกค้าผู้ใช้งานระบบทางด้านออนไลน์ ที่เกี่ยวข้องกับระบบการสั่งซื้อสินค้า

     

    Business challenge:

    สำหรับพนักงานทางด้านการตลาดและไอทีที่ดูแลระบบของสำนักงานใหญ่ จะทำการเตรียม Data Mart ที่ได้มาจาก Data Warehouse ไว้และจะทำการแบ่งข้อมูลให้ตรงกับการใช้งาน เพื่อจะได้สะดวกกับการดำเนินการสืบค้น (Searching) และดึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว และมีบางส่วนที่แอพพลิเคชั่น (critical applications) จะต้องดึงนำข้อมูลที่มีอยู่ มาใช้งานร่วมกับในส่วนของ Database เพื่อทำรายงานทางด้านการตลาดในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าและสินค้าที่ผลิตอยู่

     

    ข้อมูลส่วนใหญ่ของจะรวบรวมข้อมูลมาเป็นเวลาประมาณหนึ่งปีและถูกดึงมาใช้งานรวมกับข้อมูลปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลให้ข้อมูลที่ต้องการดึงข้อมูลจากระบบได้ช้ามากและด้วยระบบเดิมกับปริมาณข้อมูลที่มาก ทำให้การดำเนินการ มีการใช้เวลาการทำ ธุรกรรมของลูกค้าและพนักงานเกินกว่า เวลาที่คาดการณ์ไว้และมีการตอบสนองที่ช้าลง ด้วยจำนวนธุรกรรมเฉลี่ยประมาณ 15,000 รายการต่อวันและเกิน 50,000 ธุรกรรม ณ ช่วงเวลาสูงสุดในช่วงต้นเดือน ของแต่ละเดือน บริษัทจึงมีการตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มความเร็วในการประมวลผลข้อมูลเป็น 10เท่า

     

    IBM Solution components :

    IBM FlashSystem Family

    IBM Spectrum Control

    IBM Spectrum Virtualize

    IBM Storwize

    ทางบริษัท ได้เลือกจัดเก็บข้อมูลบน IBM FlashSystem และ IBM All-Flash storage ที่มีการออกแบบมาเป็นพิเศษ ที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้ใช้เวลาในการตอบสนอง (Response time)เฉลี่ยที่ทำได้ในช่วงเวลาสูงสุด ในช่วงต้นเดือนเหลือเพียงแค่ 60 วินาที หรือ 1 นาที เท่านั้น

     

    จากการวิเคราะห์ปัญหาที่ทำให้ระบบช้านั้น เกิดจากการที่ Storage แบบ Disk จานหมุนแบบเดิมทำให้เกิด I/O wait time ที่สูงของระบบประมวลผลของ database ในเวลาต่อมา ไอทีคาดการณ์ว่าอาจจะเป็นที่ Server มีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ จึงเลือกที่จะแก้ปัญหาโดยการเพิ่ม Server แทน แต่สิ่งที่ตามมาคือ “Hidden Cost” ของซอฟแวร์ ทั้ง Database, OS หรือ Hardware server รวมถึงค่า Maintenance ปรับปรุงระบบต่างๆ ในระยะยาวด้วย

     

     

    IBM Systems Solution :

    ทางไอบีเอ็มได้เสนอโซลูชั่น เข้ามาจัดการระบบการจัดเก็บข้อมูลและการใช้งานข้อมูลให้เหมาะสมกับลักษณะงานเป็น IBM FlashSystem และ Software Defined Storage (SDS) ด้วย IBM FlashSystem เข้ามาช่วยจัดการระบบการจัดเก็บข้อมูลของการทำ Data Analytics ทั้งการ generate report และงาน OLTP ต่างๆ ให้ใช้งานผ่าน FlashSystem ที่มีความเร็วสูง ,Latency ต่ำ โดย IBM FlashSystem จะมี Flash Core Module (FCM) ซึ่งเป็น Flash Core Technology ลิขสิทธิ์เฉพาะของไอบีเอ็มเท่านั้น หลังใช้งานจริง โดยรวมแล้ว เวลาการออก report จะเร็วขึ้นประมาณ 75-80% เนื่องจาก…

     

    ความเร็วของ Flash Core Module บน IBM FlashSystem รองรับ throughput ปริมาณมาก

    Flash Core Module ที่มี high-speed NAND memory chip อยู่ภายในโมดูล ทำงานร่วมด้วยกับ NVMe เทคโนโลยี และ PCIe Gen3 U.2 interface ทำให้รองรับ I/O transactions ได้ในปริมาณมาก

    Flash Core Technology มีเทคโนโลยีเพิ่มความปลอดภัยป้องกันการเสียหายของข้อมูลด้วย เทคโนโลยี 2D-Dimansional RAID technology ช่วยปกป้องข้อมูล 2 ระดับ ทั้งป้องกัน chip ภายใน disk module ด้วยเทคโนโลยี Variable Stripe RAID (VSR) และการทำ RAID protection ในระดับ System level อีกชั้นหนึ่ง

    ลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลของ Data ด้วยการทำ Data Reduction Pool (DRP) โดยสามารถทำการ Deduplication , Thin Provisioning pool ได้ และนอกจากนี้การ compression และ encryption ข้อมูล สามารถทำได้จากภายในโมดูลด้วย ทำให้ช่วยลดภาระงานจาก controller และทำให้ลดพื้นที่ในการจัดเก็บได้มากขึ้น โดยลักษณะของ Database Application สามารถบีบอัดได้สูงประมาณ 70-80% ช่วยลดต้นทุนในการจัดซื้อ storage เพิ่มได้มาก

    รวมทั้งการใช้งานฟังก์ชั่นอื่นๆ ช่วยให้ง่ายต่อการจัดการมากขึ้น ที่มีอยู่บน IBM FlashSystem ด้วย

    อ่านเพิ่มเติม : https://www.ibm.com/us-en/marketplace/flashsystem-9100

     

    ]]>
    Mon, 16 Dec 2019 03:35:49 +0000
    <![CDATA[รู้จักกับ Secure Access Service Edge (SASE) หัวใจแห่ง Network Security ในอนาคต]]> https://encom.co.th/blog/191216-4/ Gartner บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชื่อดังจากสหรัฐฯ ออกรายงาน The Future of Network Security is in the Cloud บรรยายถึงแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านด้านเครือข่ายและความมั่นคงปลอดภัยบนระบบ Cloud โดยนำเสนอโมเดลใหม่ที่เรียกว่า Secure Access Service Edge (SASE) ซึ่งพลิกโฉมแนวคิด Network Security ดั้งเดิมไปสู่การโฟกัสที่อัตลักษณ์ของผู้ใช้และอุปกรณ์ปลายทาง

    Credit: CatoNetworks.com

    สถาปัตยกรรมด้าน Network Security แบบดั้งเดิมนั้น ถูกออกแบบมาให้อยู่ ณ ศูนย์กลางการเชื่อมต่อภายใน Data Center เนื่องจากสมัยก่อน Data Center ขององค์กรเป็นสถานที่เชิงกายภาพที่รวมการเข้าถึงทรัพยากรของผู้ใช้และอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ในที่เดียว อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ยุค Cloud สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมไม่สามารถรองรับแนวคิดด้านเครือข่ายและการใช้งานรูปแบบใหม่ๆ อย่าง Edge Computing, SaaS หรือ Hybrid Network ได้อีกต่อไป ก่อให้เกิดปัญหาทั้งทางด้าน Latency, จุดบอดบนเครือข่าย, การบริหารจัดการที่สูญเปล่ามากเกินไป รวมไปถึงการต้องคอยตั้งค่าใหม่เรื่อยๆ เมื่อบริการเกิดการเปลี่ยนแปลง

    ด้วยเหตุนี้ Neil MacDonald, Lawrence Orans และ Joe Skorupa นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงปลอดภัยจาก Gartner จึงได้คิดค้นโมเดล Secure Access Service Edge (SASE) ที่จะเข้ามาช่วยจัดการกับปัญหาของการใช้สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมบนระบบ Cloud ที่รอการแก้ไขมาจนถึงทุกวันนี้ โดยเน้นที่การลดความซับซ้อนด้านเครือข่ายและย้ายกระบวนการด้านความมั่นคงปลอดภัยไปยังจุดที่ทำหน้าที่ได้ดีกว่า คือ Network Edge

    Gartner ได้นิยาม SASE ว่าประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญ 4 ประการ คือ

    • Identity-driven – อัตลักษณ์ของผู้ใช้และทรัพยากรต่างๆ ไม่ใช่เพียงแค่หมายเลข IP อีกต่อไป แต่รวมไปถึง Networking Experience และระดับสิทธิ์ในการเข้าถึง ไม่ว่าจะเป็น Quality of Service การเลือกเส้นทางทราฟฟิก หรือการใช้มาตรการควบคุมด้านความมั่นคงปลอดภัยโดยพิจารณาจากความเสี่ยง สิ่งเหล่านี้จะถูกขับเคลื่อนโดยอัตลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับทุกๆ การเชื่อมต่อเครือข่าย ด้วยวิธีการนี้จะช่วยใช้องค์กรสามารถออกนโยบายด้านเครือข่ายและความมั่นคงปลอดภัยเพียง 1 ชุดสำหรับผู้ใช้โดยไม่ต้องสนว่าจะใช้อุปกรณ์ใดหรืออยู่ที่ไหน ช่วยลดการดำเนินการอันสูญเปล่าลงได้

    • Cloud-native Architecture – สถาปัตยกรรม SASE นี้ใช้ประโยชน์จากความสามารถของ Cloud ได้แก่ ความยืดหยุ่น ความสามารถใในการปรับตัว ความสามารถในการฟื้นฟูและบำรุงรักษาด้วยตนเอง ในการให้บริการแพลตฟอร์มประสิทธิภาพสูงในราคาที่จับต้องได้ และสามารถใช้งานได้ทุกที่ รวมไปถึงง่ายต่อกับปรับใช้กับความต้องการเชิงธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น

    • Supports All Edges – SASE ช่วยสร้างเครือข่ายเพียงหนึ่งเดียวสำหรับทุกทรัพยากรขององค์กร ไม่ว่าจะเป็น Data Center, สำนักงานสาขา, ระบบ Cloud และผู้ใช้อุปกรณ์พกพา ยกตัวอย่างเช่น SD-WAN Appliance รองรับ Physical Edge ในขณะที่ Mobile Client และ Clientless Browser Access เชื่อมต่อผู้ใช้สู่อินเทอร์เน็ตได้ทันที

    • Globally Distributed – เพื่อให้มั่นใจว่า Networking และ Security สามารถใช้งานได้ทุกแห่งและส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยวที่สุดให้ทุก Edges ระบบ SASE Cloud จะต้องกระจายไปยังทั่วโลก – เพื่อให้มั่นใจว่า Networking และ Security สามารถใช้งานได้ทุกแห่งและส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยวที่สุดให้ทุก Edges ระบบ SASE Cloud จะต้องกระจายไปยังทั่วโลก

    Credit: Gartner.com

    โดยสรุปแล้ว เป้าหมายของสถาปัตยกรรมแบบ SASE คือการสร้างการใช้งานระบบ Cloud อย่างมั่นคงปลอดภัยให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายยิ่งขึ้น โดย SASE จะให้บริการแนวทางในการออกแบบเพื่อลดวิธีการแบบดั้งเดิมที่ใช้การปะติดปะต่อโซลูชันด้านเครือข่ายและความมั่นคงปลอดภัย เช่น SD-WAN, Firewall, IPS มาผสมปนเปเข้าด้วยกัน ซึ่งยากต่อการบริหารจัดการ และแทนที่ด้วยบริการ SD-WAN ระดับโลกที่มีความมั่นคงปลอดภัย

    Gartner ระบุว่า ตลาด SASE นั้นมีความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ยังไม่มี Vendors รายใดที่นำเสนอโซลูชันที่ครอบคลุมโมเดล SASE ทั้งหมด เช่น ZScaler มี Firewall as a Service แต่ยังไม่สามารถให้บริการ SD-WAN สำหรับ SASE ได้ ในขณะที่ Vendors อีกหลายรายที่ให้บริการด้านความมั่นคงปลอดภัยในรูปของ Appliance ไม่ใช่ Cloud-native, Global Network

     

    ]]>
    Mon, 16 Dec 2019 03:34:39 +0000
    <![CDATA[นิวออร์ลีนส์ประกาศ “ภาวะฉุกเฉิน” หลังถูก Ransomware โจมตี]]> https://encom.co.th/blog/191216-3/ LaToya Cantrell นายกเทศมนตรีแห่งเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา สหรัฐฯ สั่งปิดระบบคอมพิวเตอร์ของเมืองและประกาศ “ภาวะฉุกเฉิน” เมื่อวันศุกร์ที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังถูก Ransomware โจมตี


    จากรายงานของ NOLA Ready ของเมืองนิวออร์ลีนส์ ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานด้านความมั่นคงปลอดภัยมาตุภูมิและการเตรียมพร้อมตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉิน สหรัฐฯ ระบุว่า ตรวจพบเหตุการณ์ต้องสงสัยบนระบบเครือข่ายของเมืองราว 5 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งหลังจากตรวจสอบจนถึง 11 นาฬิกาทำให้ยืนยันได้ว่าเป็นการโจมตีไซเบอร์ ส่งผลให้แผนก IT ของเมืองสั่งให้พนักงานทุกคนปิดคอมพิวเตอร์และยกเลิกการเชื่อมต่อ Wi-Fi ทันที รวมไปถึงปิดเซิร์ฟเวอร์และดึงปลั๊กออกทั้งหมดด้วย

    นายกเทศมนตรี Cantrell ได้ประกาศ “ภาวะฉุกเฉิน” หลังจากนั้น และได้ออกแถลงการณ์กับสื่อมวลชนว่า เมืองนิวออร์ลีนส์กำลังถูก Ransomware โจมตี ถึงแม้ว่า “ศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมแบบเรียลไทม์” จะถูกปิด แต่กล้องวงจรปิดในพื้นที่สาธารณะยังคงบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ได้ ถ้ามีเหตุไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นก็สามารถนำบันทึกวิดีโอมาดูย้อนหลังได้ ในขณะที่สถานีตำรวจและสถานีดับเพลิงก็ยังคงสามารถให้บริการตามปกติเช่นกัน

    ขณะนี้ยังไม่ทราบข้อมูลแน่ชัดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานจากรัฐบาลกลางกำลังสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเต็มที่ และพยายามกู้คืนระบบทั้งหมดกลับคืนมา ทางนายกเทศมนตรี Cantrell ก็ออกมาระบุว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการเรียกค่าไถ่ใดๆ จากทางแฮ็กเกอร์

     

    ]]>
    Mon, 16 Dec 2019 03:19:31 +0000
    <![CDATA[เปิดตัว Aruba CX 6300/6400 Switch ในเมืองไทย ตอบโจทย์ Software-Defined Networking ระดับ Campus รองรับ IoT อย่างเต็มตัว]]> https://encom.co.th/blog/191216-2/ วันนี้ทีมงาน Aruba Networks ในประเทศไทยได้จัดงานเปิดตัว Aruba CX 6300/6400 Switch Series ในเมืองไทย พร้อมแนวคิดในการบริหารจัดการระบบเครือข่ายแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ได้ทั้งการจัดการประสบการณ์ในการบริหารจัดการและใช้งานที่ดี ควบคู่ไปกับการวางระบบเครือข่ายเพื่อรองรับ IoT ได้อย่างมั่นคง


    ในการเปิดตัวครั้งนี้ ได้เล่าถึง Flagship Switch ใหม่อย่าง Aruba CX 6400 Switch ในแบบ Modular Chassis https://www.arubanetworks.com/products/networking/switches/6400-series/ และ Aruba CX 6300 Switch ในแบบ 1U Rack Mount https://www.arubanetworks.com/products/networking/switches/6300-series/ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีและแนวคิดใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้

    • ASIC รุ่นที่ 7 ใหม่ล่าสุดแบบ Cloud-Native ที่มีประสิทธิภาพสูง, สามารถอัปเกรดได้ในเวลาอันสั้น และรองรับการประมวลผลทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและการทำ AI ได้ในตัว

    • รองรับระบบปฏิบัติการ AOS-CX 10.4 รุ่นใหม่ล่าสุดที่ทำงานแบบ Modular สามารถทำ Dynamic Segmentation และการทำ VXLAN with MP-BGP EVPN ได้ในตัว อัปเกรดได้รวดเร็ว

    • เชื่อมต่อได้ด้วย HPE Smart Rate 1/2.5/5GbE และมี Uplink เร็วสูงสุด 40/50/100GbE

    • รองรับการจ่ายพลังงานผ่าน PoE ได้สูงสุดถึง 60W โดยการจ่ายพลังงานยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องแม้จะมีการอัปเกรดหรือ Reboot อุปกรณ์ ทำให้ Uptime ของอุปกรณ์ IoT มีความต่อเนื่องด้วย Always-On PoE

    • รองรับการบริหารจัดการผ่าน NetEdit 2.0 ช่วยให้การบริหารจัดการ, การตรวจสอบการตั้งค่า และการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นไปได้นั้นเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย รวมถึงทำการบริหารจัดการแบบอัตโนมัติหรือ Automation

    • บริหารจัดการผ่าน CX Mobile App ผ่าน Bluetooth Dongle

    คุณประคุณ Country Manager แห่ง HPE Aruba ได้เล่าว่าตลาดเมืองไทยเริ่มมีการอัปเกรดระบบเครือข่ายครั้งใหญ่สำหรับรองรับอุปกรณ์ IoT กันมากขึ้นในทุกๆ อุตสาหกรรม เนื่องจากการนำอุปกรณ์ IoT มาใช้เพื่อให้กระบวนการทำงานในธุรกิจต่างๆ เป็นไปได้แบบอัตโนมัติและให้บริการลูกค้าได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้นกำลังเป็นที่แพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งอุปกรณ์ IoT ภายในห้องพักโรงแรมสำหรับสร้างประสบการณ์แก่ลูกค้าผู้เข้าพักที่ดี และการจัดการเครื่องจักรในโรงงานให้รองรับการทำ Predictive Maintenance

    ทางด้านคุณสุรชัย Systems Engineer Manager แห่ง HPE Aruba ได้ให้ความเห็นว่าการบริหารจัดการเครือข่ายในอนาคตนั้นจะเป็นรูปแบบ Day-0, Day-1 และ Day-2 แทน โดยใน Day-0 ที่เป็นขั้นตอนการติดตั้งเริ่มต้นใช้งานนั้นจะกลายเป็นแนวทาง Zero Touch Provisioning ทั้งหมด ในขณะที่ Day-1 จะเป็นการบริหารจัดการและปรับแต่งระบบเครือข่ายในเชิงลึก และ Day-2 จะเป็นการบริหารจัดการด้วยการทำ Network Analytics ควบคู่กับการใช้ AI และ Machine Learning เป็นหลัก

    การเปิดตัว Aruba CX 6300/6400 Switch Series ในครั้งนี้จะเข้ามาช่วยเติมเต็มความต้องการให้กับธุรกิจองค์กร ที่ต้องการบริหารจัดการ Campus Networking ด้วยแนวคิดที่ทันสมัยและเป็นอัตโนมัติมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน รองรับการใช้งานอุปกรณ์ IoT ให้มี Uptime ที่ยาวนานได้ เสริมจากโซลูชันเดิมของ Aruba Networks ที่ยังบริหารจัดการได้แบบ Traditional อย่าง Aruba Intelligent Edge Switch และ Aruba Small Business Switch

     

    ]]>
    Mon, 16 Dec 2019 03:16:44 +0000
    <![CDATA[Cisco เปิดตัวชิป Silicon One และสวิตซ์ซีรีส์ 8000 วางรากฐานอินเทอร์เน็ตแห่งอนาคต]]> https://encom.co.th/blog/191216-1/ Cisco ได้เผยถึงคอนเซปต์ใหม่ภายใต้ชื่ออินเทอร์เน็ตแห่งอนาคต และเพื่อตอบสนองดังกล่าวจึงได้มีการเปิดตัวชิป ASIC สุดล้ำใหม่ของภายใต้ชื่อ Silicon One พร้อมออกสวิตซ์ระดับผู้ให้บริการในซีรีย์ 8000 ที่ติดอาวุธด้วยชิป Silicon One Q100

    credit : cisco

    ภายใต้เนื้อหาของ ‘อินเทอร์เน็ตแห่งอนาคต’ Cisco ได้ตั้งเป้าพัฒนาเทคโนโลยีใน 3 ส่วนประกอบด้วย ซิลิคอน ออปติก และซอฟต์แวร์ ในวันนี้จึงมีการประกาศความคืบหน้าหลายส่วนดังนี้

    credit : cisco

    • Silicon One – Application-specific Integrated Circuit (ASIC เป็นชิปที่สร้างขึ้นเพื่อใช้งานอย่างเฉพาะเจาะจง) ซึ่งสามารถโปรแกรมเข้าไปได้ที่รองรับการพัฒนาทั้งด้านประสิทธิภาพ แบนวิดท์ การใช้พลังงาน การรองรับการขยายตัว และความยืดหยุ่น อย่างไรก็ตามไอเดียที่ Cisco นำเสนอคือการตอบโจทย์ได้ทั้งฟังก์ชันสวิตซ์และเราเตอร์ (ตามภาพด้านบน) เช่น Queqe, Buffer, NPU Table และ Programmable นอกจากนี้ยังแก้ปัญหาอุปกรณ์แบบเดิมมีชิปหลายตัว เช่น Network Process, Line Card ทดแทนด้วย Silicon ทั้งนี้ชิปรุ่นแรก Q100 สามารถผ่านประสิทธิภาพ Network Bandwidth ไปที่ 10 Tbps อย่างไรก็ตามทาง Cisco หวังว่าจะสามารถดันประสิทธิภาพ Silicon One ไปสู่จุด 25 Tbps ให้ได้

    credit : cisco

    • Cisco 8000 – สวิตซ์รุ่นใหม่สำหรับผู้ให้บริการและบริษัทขนาดใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการมาถึงของ 5G และ IoT โดยสามารถตอบโจทย์ได้ถึง 400 Tbps ซึ่งเริ่มต้นที่ 10.8 Tbps ด้วยอุปกรณ์เพียงตัวเดียว ที่ภายในอาศัยขุมพลังของ Silicon One Q100 นั่นเอง นอกจากนี้ยังใช้ซอฟต์แวร์ IOS XR7 อีกด้วย

    • Optics – พัฒนาเทคโนโลยีใยแก้วให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานระดับ 400G และคอมไพล์กับมาตรฐานทางอุตสาหกรรม รวมถึงทำให้ใช้ได้กับอุปกรณ์ทั้งจาก Cisco และยี่ห้ออื่นๆ ได้ นอกจากนี้ยังเตรียมออกโซลูชันด้าน silicon photonic ในรูปแบบของ Plugable เพื่อตอบโจทย์ระดับ Chassic (รูปด้านล่าง) อีกด้วย

    credit : cisco

    ที่มา :  https://newsroom.cisco.com/press-release-content?type=webcontent&articleId=2039386 และ  https://blogs.cisco.com/sp/one-silicon-one-experience-multiple-roles

    ]]>
    Mon, 16 Dec 2019 03:08:48 +0000
    <![CDATA[การเลือกใช้ตู้ Rack ของ Ecom Rack 19″ High Quality Export Rack ให้เหมาะสมต่อการใช้งาน]]> https://encom.co.th/blog/racktype/
  • ความสูง(ที่ใช้งานได้จริง) ตามมาตรฐานสากลและ  Ecom Rack 19″ High Quality Export Rack เรียกว่า U โดยที่ 1U = 1.75″ หรือ 44.45 mm. โดย 6U, 9U และ 12U สำหรับรุ่นติดผนัง (Wall Rack)  15U, 27U, 36U, 39U, 42U และ 45U สำหรับรุ่นตั้งพื้น (Close Rack)

  • ความกว้าง(ระหว่างเสาที่ใช้สำหรับยึดอุปกรณ์) ตามมาตรฐานสากลและ  Ecom Rack 19″ High Quality Export Rack  มีระยะจากขอบเสาด้านซ้ายถึงขอบเสาด้านขวา 450 mm. และมีระยะจุดยึดจากเสาด้านซ้ายถึงเสาด้านขวา 465 mm. ด้วยระยะดังกล่าวทำให้ท่านสามารถตรวจสอบอุปกรณ์ของท่านได้ว่าสามารถติดตั้งบน Ecom Rack 19″ High Quality Export Rack  รุ่นมาตรฐานได้หรือไม่

  • ความลึก(ที่ใช้งานได้จริง) ของ Ecom Rack 19″ High Quality Export Rack  มีดังนี้

    3.1 สำหรับรุ่นติดผนัง (Wall Rack)  มีความลึก 40 cm., 50 cm. และ 60 cm. โดย
    - รุ่นความลึก 40 cm. ความลึกที่ใช้งานได้จริง 37.5 cm. ความลึกสุทธิรวมบานประตู 40 cm.
    - รุ่นความลึก 50 cm. ความลึกที่ใช้งานได้จริง 47.5 cm. ความลึกสุทธิรวมบานประตู 50 cm.
    - รุ่นความลึก 60 cm. ความลึกที่ใช้งานได้จริง 57.5 cm. ความลึกสุทธิรวมบานประตู 60 cm.

    3.2 สำหรับรุ่นตั้งพื้น (Close Rack) มีความลึก 60 cm., 80 cm., 90 cm., 100 cm. และ 110 cm. โดย
    - รุ่นความลึก 60 cm. ความลึกที่ใช้งานได้จริง 60 cm. ความลึกสุทธิรวมบานประตู 65 cm.
    - รุ่นความลึก 80 cm. ความลึกที่ใช้งานได้จริง 80 cm. ความลึกสุทธิรวมบานประตู 85 cm.
    - รุ่นความลึก 90 cm. ความลึกที่ใช้งานได้จริง 90 cm. ความลึกสุทธิรวมบานประตู 95 cm.
    - รุ่นความลึก 100 cm. ความลึกที่ใช้งานได้จริง 100 cm. ความลึกสุทธิรวมบานประตู 105 cm.
    - รุ่นความลึก 110 cm. ความลึกที่ใช้งานได้จริง 110 cm.  ความลึกสุทธิรวมบานประตู 115 cm.


  • ***ซึ่งท่านสามารถตรวจสอบจากอุปกรณ์ของท่านก่อนเลือกความลึกของ Ecom Rack 19″ High Quality Export Rack  ได้อย่างง่ายดาย โดยควรเผื่อระยะการโค้งงอของสายตัวเชื่อมต่อทางด้านหลังประมาณ 10-15 cm. และนำมารวมกับระยะความลึกอุปกรณ์ของท่าน(วัดจากอุปกรณ์ที่มีความลึกมากที่สุด) ท่านก็จะได้ระยะความลึกของตู้ที่จะใช้งานทันที

     

    C:\Users\DELL\Downloads\1568868049599.jpg

    ]]>
    Fri, 25 Oct 2019 07:30:21 +0000
    <![CDATA[การเลือกใช้ Accessory ให้เหมาะสมกับ Ecom Rack 19″ High Quality Export Rack ในแต่ละรุ่น]]> https://encom.co.th/blog/accessory/

    1. พัดลมระบายอากาศ 

    1.1 สำหรับรุ่นติดผนัง (Wall Rack) สามารถติดตั้งพัดลมระบายอากาศได้ตั้งแต่ 1-2 ตัว 

    1.2 สำหรับรุ่นตั้งพื้น (Close Rack) สามารถติดตั้งพัดลมระบายอากาศได้ตั้งแต่ 1-6 ตัว 


    2. รางปลั๊กไฟ 

    2.1 รุ่นติดผนัง (Wall Rack) ทุกรุ่น สามารถเลือกใช้รางปลั๊กไฟที่มีขนาด 4-8 Outlet เท่านั้น โดยติดตั้งได้  เฉพาะแนวนอนเท่านั้น 

    2.2  รุ่นตั้งพื้น (Close Rack) ขนาดความสูง 15U สามารถเลือกใช้รางปลั๊กไฟที่มีขนาด 4-8 Outlet เท่านั้น และสามารถติดตั้งได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน

    2.3  รุ่นตั้งพื้น (Close Rack) ขนาดความสูง 27U สามารถเลือกใช้รางปลั๊กไฟขนาด 4-12 Outlet เท่านั้น โดยรางปลั๊กไฟขนาด 4-8 Outlet สามารถติดตั้งได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ส่วนรางปลั๊กไฟขนาด 12 Outlet สามารถติดตั้งได้เฉพาะแนวตั้งเท่านั้น 

    2.4  รุ่นตั้งพื้น (Close Rack) ขนาดความสูงตั้งแต่ 36U – 45U สามารถเลือกใช้รางปลั๊กไฟขนาด 4-20 Outlet   เท่านั้น โดยรางปลั๊กไฟขนาด 4-8 Outlet สามารถติดตั้งได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ส่วนรางปลั๊กไฟขนาด 12 และ 20 Outlet สามารถติดตั้งได้เฉพาะแนวตั้งเท่านั้น 


    3. ถาดรองอุปกรณ์ แบ่งเป็น 2 ประเภท

    3.1. ประเภทยึดน็อต ลักษณะเป็นการยึดน็อต 4  มุมแบบตายตัว ไม่สามารถเลื่อนได้เหมาะสำหรับรับน้ำหนักอุปกรณ์แบ่งเป็น 3 ลักษณะดังนี้

    3.1.1. ยึดน็อต 2 เสา (รุ่น FS-6430) ใช้กับงานรับน้ำหนักน้อย (ไม่เกิน 20 กิโลกรัม) มีขนาดความลึก 30 cm. ใช้ได้กับตู้ทุกรุ่น

    3.1.2. ยึดน็อต 4 เสา ใช้สำหรับรุ่นตั้งพื้นแบบปิด (Close Rack) โดยเฉพาะ รับน้ำหนักได้ไม่เกิน 100 

    กิโลกรัม รุ่นและขนาดแบ่งตามความลึกดังนี้ 

    - รุ่น FS-6645 ขนาดความลึก 45 cm. จะใช้กับตู้ที่มีความลึก 60 cm. 

    - รุ่น FS-6660 ขนาดความลึก 60 cm. จะใช้กับตู้ที่มีความลึก 80 cm.

    - รุ่น FS-6675 ขนาดความลึก 75 cm. จะใช้กับตู้ที่มีความลึก 90 cm.

    - รุ่น FS-6680 ขนาดความลึก 80 cm. จะใช้กับตู้ที่มีความลึก 100 cm.

    - รุ่น FS-6695 ขนาดความลึก 95 cm. จะใช้กับตู้ที่มีความลึก 110 cm.

    3.1.3. ยึดน็อต 2 เสา 4 จุด สำหรับรุ่นตั้งพื้นแบบเปิด (Open Rack)  โดยเฉพาะ รับน้ำหนักได้ไม่เกิน   

    50 กิโลกรัม รุ่นและขนาดแบ่งตามความลึกดังนี้ 

    - รุ่น FS-6745 ขนาดความลึก 45 cm. 

    - รุ่น FS-6760 ขนาดความลึก 60 cm. 

    - รุ่น FS-6775 ขนาดความลึก 75 cm. 

    - รุ่น FS-6780 ขนาดความลึก 80 cm. 

    ***โดยลูกค้าสามารถเลือกความลึกตามความต้องการเพื่อให้เหมาะสมกับระยะอุปกรณ์ได้***


    3.2. ประเภทรางเลื่อน สามารถเลื่อนเข้าออกได้ใช้วางอุปกรณ์ที่ต้องการปรับแต่งหรือดูแลบำรุงรักษา   
    บ่อย แบ่งเป็น 2 ลักษณะดังนี้

    3.2.1. รางเลื่อน 4 เสา ใช้สำหรับรุ่นตั้งพื้นแบบปิด (Close Rack)  รับน้ำหนักได้ไม่เกิน 70 กิโลกรัม รุ่นและขนาดแบ่งตามความลึกดังนี้ 

    - รุ่น SS-6645 ขนาดความลึก 45 cm. จะใช้กับตู้ที่มีความลึก 60 cm. 

    - รุ่น SS-6660 ขนาดความลึก 60 cm. จะใช้กับตู้ที่มีความลึก 80 cm.

    - รุ่น SS-6675 ขนาดความลึก 75 cm. จะใช้กับตู้ที่มีความลึก 90 cm.

    - รุ่น SS-6680 ขนาดความลึก 80 cm. จะใช้กับตู้ที่มีความลึก 100 cm.

    - รุ่น SS-6695 ขนาดความลึก 95 cm. จะใช้กับตู้ที่มีความลึก 110 cm.

    3.2.2. รางเลื่อนยึดน็อต 2 เสา 4 จุด สำหรับตั้งพื้นแบบเปิด (Open Rack)   รับน้ำหนักได้ไม่เกิน   

    50 กิโลกรัม รุ่นและขนาดแบ่งตามความลึกดังนี้ 

    - รุ่น SS-6745 ขนาดความลึก 45 cm. 

    - รุ่น SS-6760 ขนาดความลึก 60 cm. 

    - รุ่น SS-6775 ขนาดความลึก 75 cm.

    - รุ่น SS-6780 ขนาดความลึก 80 cm. 

    ***โดยลูกค้าสามารถเลือกความลึกตามความต้องการเพื่อให้เหมาะสมกับระยะอุปกรณ์ได้***

    ]]>
    Fri, 25 Oct 2019 07:21:31 +0000
    <![CDATA[การโจมตี DDoS คืออะไร ? ทำไมถึงเป็นสาเหตุให้เว็บล่ม]]> https://encom.co.th/blog/04n/



    ในยุคนี้นอกจากเทคโนโลยีและโลกออนไลน์จะพัฒนาก้าวล้ำไปเรื่อย ๆ แล้ว ผู้ร้ายในโลกไซเบอร์หรือที่เราเรียกกันว่าแฮกเกอร์นั้นก็มีการพัฒนามากขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้มีภัยคุกคามเกิดขึ้นในโลกออนไลน์อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งนอกจากการคุกคามผู้ใช้ทั่วไปแล้ว บรรดาเว็บไซต์และบริการของบริษัทต่าง ๆ ก็มีโอกาสโดนคุกคามด้วยเช่นกัน อย่างที่เราเคยเห็นกันเมื่อเว็บไซต์หรือบริการต่าง ๆ โดนแฮกหรือโดนโจมตีจนระบบล่ม ซึ่งหนึ่งในวิธีโจมตีที่เราพบเห็นกันได้บ่อย ๆ ก็คือ DDoS แต่หลายคนก็อาจจะยังไม่ค่อยรู้ว่า DDoS นั้นคืออะไร มันเป็นยังไงกันแน่ วันนี้เราจะมาอธิบายให้เข้าใจแบบง่าย ๆ กัน

     

           การโจมตีแบบ DDoS นั้นย่อมาจาก Distributed Denial of Service เป็นการโจมตีเว็บไซต์หรือบริการด้วยการส่งการเชื่อมต่อหรือคำขอในการเข้าถึงข้อมูลจำนวนมาก ๆ พร้อม ๆ กัน ซึ่งโดยปกติแล้วเว็บไซต์ต่าง ๆ จะทำเซิร์ฟเวอร์ให้มีขนาดมากพอสำหรับรองรับผู้ใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เช่น อาจสามารถรองรับให้คนเข้ามาดูเว็บไซต์ได้พร้อมกัน 1 แสนคนในยามปกติ ซึ่งการโจมตีแบบ DDoS นั้นจะส่งผู้ใช้ในจำนวนที่มากกว่าที่เซิร์ฟเวอร์จะรองรับไหว (เช่น 1 ล้านคน) มาเข้าเว็บไซต์พร้อมกัน ทำให้เว็บไซต์รองรับผู้ใช้ไม่ไหวจนล่มและไม่สามารถใช้งานได้ในที่สุด

     

     

    ภาพจาก cloudflare.com

     

           ทีนี้หลายคนก็อาจจะสงสัยว่าแฮกเกอร์จะไปเอาคนจำนวนมากขนาดนั้นมาจากไหนกันล่ะ... คำตอบก็คือ แฮกเกอร์ใช้วิธีปล่อยไวรัสผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างที่หลายคนรู้กัน เช่น สแปมอีเมล, แฝงตามเว็บไซต์ต่าง ๆ, ลิงก์หลอกให้คนคลิกดาวน์โหลดไวรัส ฯลฯ ซึ่งหลังจากที่มีเหยื่อโดนไวรัสไปแล้ว แฮกเกอร์ก็จะสามารถแอบควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อได้ และเมื่อได้จำนวนเครื่องที่ติดไวรัสมากพอ แฮกเกอร์ก็จะเขียนโปรแกรมส่งคำสั่งให้เครื่องที่ติดไวรัสทั้งหมดเชื่อมต่อเข้าถึงเว็บไซต์หรือบริการที่ต้องการโจมตีพร้อมกันจนระบบล่มนั่นเอง

     

           อย่างไรก็ตาม การที่เว็บไซต์หรือบริการใด ๆ ล่มเพราะมีผู้ใช้งาน (จริง ๆ) พร้อมกันมากเกินไปจนระบบล่มนั้น ไม่นับว่าเป็นการโจมตีแบบ DDoS เพราะเกิดจากการที่เว็บไซต์ทำเซิร์ฟเวอร์มารองรับจำนวนผู้ใช้ได้ไม่ดีพอ ไม่ได้เกิดจากการถูกแฮกเกอร์โจมตีด้วย DDoS แต่อย่างใด

     

    ข้อมูลจาก us.norton.com, cloudflare.com

     

    ]]>
    Fri, 27 Sep 2019 08:49:27 +0000
    <![CDATA[“ยูไอเอช”เปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก]]> https://encom.co.th/blog/03new/ ยูไอเอช เปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์ UIH BCH4 มาตรฐานระดับโลก ยกระดับการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ ครบวงจรรองรับเทคโนโลยีแห่งอนาคต

     

    นายสันติ เมธาวิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด (ยูไอเอช) ในกลุ่มบริษัท เบญจจินดา โฮลดิ้ง กล่าวว่า ยูไอเอช เปิดตัว ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ “UIH BCH4” ซึ่งตั้งอยู่ที่อาคารเบญจจินดา เขตจตุจักร เพื่อเพิ่มความสามารถในการรองรับความต้องการใช้เทคโนโลยีในอนาคตของลูกค้า และยกระดับสู่การเป็นผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ครบวงจร ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ ในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญทั่วประเทศ

     

     

    ประกอบด้วย ดาต้าเซ็นเตอร์ของยูไอเอช และดาต้าเซ็นเตอร์ที่อยู่บนเครือข่าย UIH Data Center Ring โครงข่ายไฟเบอร์ออฟติกความเร็วระดับเทราบิต รวม 22 แห่ง และยังเชื่อมต่อกับดาต้าเซ็นเตอร์กลางของภูมิภาคที่สิงคโปร์ ฮ่องกง รวมถึงในเมียนมา เพื่อให้บริการได้ทั้งศูนย์ข้อมูลหลักหรือ ศูนย์ข้อมูลสำรอง โดยที่ลูกค้าสามารถเลือกดาต้าเซ็นเตอร์ลักษณะ Multi-Location ได้

     

    https://youtu.be/E1L0xU7bxF0



     

    โดยดาต้าเซ็นเตอร์ ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจยุคดิจิทัล เพื่อเพิ่มศักยภาพระบบไอทีให้มีความคล่องตัว รวดเร็ว ช่วยเร่งนวัตกรรมให้เกิดขึ้นเร็ว ซึ่ง UIH BCH4 จะเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งของระบบโครงสร้างพื้นฐานทางไอทีให้กับองค์กรต่างๆ บนแนวโครงข่ายที่เชื่อมต่อถึงกันที่ปลอดภัยสูง สนับสนุนลูกค้าให้เปลี่ยนแปลงองค์กรได้อย่างมั่นใจ และพร้อมเปิดให้บริการแล้วเต็มรูปแบบมั่นใจจะสามารถแข่งขันในภูมิภาคได้

     

     



    ]]>
    Fri, 27 Sep 2019 08:19:48 +0000
    <![CDATA[ทดลองใช้คลาวด์เซิร์ฟเวอร์ขั้นเทพของ HUAWEI CLOUD ได้ฟรี ๆ]]> https://encom.co.th/blog/n02/ องค์กรมากมายต่างทยอยย้ายข้อมูลมาเก็บไว้ในคลาวด์ และค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่คลาวด์ก็ลดลงเรื่อย ๆ ตอนนี้ HUAWEI CLOUD มีแคมเปญใหม่มาให้ลูกค้าได้ทดลองใช้ระบบคลาวด์โดยไม่เสียค่าบริการใด ๆ ซึ่งจะช่วยประหยัดเงินคุณไปได้เกือบ 1 แสนบาทเลยทีเดียว



    HUAWEI CLOUD มอบแพ็กเกจการใช้งานฟรีเป็นระยะเวลา 12 เดือน โดยครอบคลุมบริการยอดนิยมมากมาย บวกกับบริการที่ไม่มีค่าใช้จ่ายอยู่แล้วอีก 10 รายการ เพียงสมัครสมาชิก HUAWEI CLOUD คุณจะได้รับสิทธิ์ใช้บริการฟรีนานถึง 12 เดือน

    สิทธิประโยชน์ที่ได้รับแบบไม่มีค่าใช้จ่าย:



    1. คลาวด์เซิร์ฟเวอร์ S3 สำหรับการประมวลผลทั่วไปที่มาพร้อมกับ 2 vCPU และหน่วยความจำ 4 GB เหมาะสำหรับการใช้งานในเกือบทุกสถานการณ์

    คลาวด์เซิร์ฟเวอร์ S3 สามารถโฮสต์เว็บไซต์ที่มีการเข้าชมระดับน้อยถึงปานกลาง เว็บแอปพลิเคชัน สภาพแวดล้อมการพัฒนาและการทดสอบ เซิร์ฟเวอร์บิวด์ ไลบรารีโค้ด และบริการขนาดเล็กสำหรับการใช้งานส่วนตัวและภายในองค์กร

    2. การใช้ที่งานเสถียร พร้อมทีมสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมง

    คลาวด์เซิร์ฟเวอร์ S3 มีระบบประมวลผลที่เสถียร เมื่อใช้คลาวด์เซิร์ฟเวอร์ S3 ของหัวเว่ย CPU จะรันได้ในระดับ 100% ได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ HUAWEI CLOUD ยังมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้การสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย

    3. ปริมาณรับส่งข้อมูล 20 GB/เดือน ฟรี

    HUAWEI CLOUD มอบการรับส่งข้อมูลฟรีมากถึง 20 GB/เดือน ซึ่งพร้อมให้คุณใช้งานได้ฟรีเป็นเวลานานถึง 12 เดือนกันเลย

    4. ใช้บริการฟรีนาน 1,500 ชั่วโมง เป็นเวลา 12 เดือน

    คุณจะได้รับช่วงการใช้งานฟรีนานกว่าผู้ให้บริการคลาวด์เจ้าอื่น ๆ



    นอกจากสิทธิประโยชน์เหล่านี้แล้ว HUAWEI CLOUD ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูล บริษัทได้รับใบรับรองด้านความปลอดภัยระหว่างประเทศ 50 ใบ และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีมามากกว่า 30 ปี เมื่อใช้ HUAWEI CLOUD คุณสามารถย้ายธุรกิจของคุณไปไว้ในคลาวด์ได้ ด้วยต้นทุนที่ไม่มาก แต่สามารถเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุด

    ฟรีขนาดนี้แล้ว จะไม่ให้ลองใช้ได้ยังไง HUAWEI CLOUD มาพร้อมสิทธิประโยชน์มากมาย แต่เราสามารถทดลองใช้แบบฟรี ๆ ไปเลย

    รับแพ็กเกจฟรี: https://activity-intl.huaweicloud.com/en-us/free_packages/index.html?utm_source=Techtalkthai_intl&utm_medium=pr&utm_campaign=Asia_Freetrial_201909

    ดูวิธีรับเซิร์ฟเวอร์ฟรี: https://activity-intl.huaweicloud.com/en-us/20190906203225224.html

    ]]>
    Fri, 27 Sep 2019 07:33:46 +0000
    <![CDATA[เปิดตัว IBM z15 ระบบ Mainframe ล่าสุด รองรับ 2.4 ล้าน Container ในระบบเดียว]]> https://encom.co.th/blog/new1/ IBM ได้ออกมาประกาศเปิดตัว IBM z15 แล้วอย่างเป็นทางการเพื่อตอบโจทย์ด้านการจัดการกับข้อมูลปริมาณมหาศาลบน Hybrid Multicloud และมาพร้อมกับความสามารถที่จะช่วยเสริมประเด็นทางด้าน Data Privacy ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับทุกๆ ธุรกิจในยามนี้ด้วย

              Credit: IBM


    IBM z15 นี้ใช้เวลาพัฒนายาวนานถึง 4 ปีโดยมีการนำสิทธิบัตรของ IBM มากกว่า 3,000 รายการมาใช้ภายในระบบนี้ โดยความสามารถที่โดดเด่นของ IBM z15 มีดังนี้

    • รองรับการประมวลผล Web Transaction ได้มากถึง 1 ล้านล้านรายการต่อวัน

    • รองรับ Linux Container มากถึง 2.4 ล้าน Container ภายในระบบเดียว

    • สามารถลด Latency ลงกว่าเดิมได้ถึง 30 เท่าและใช้ CPU Utilization น้อยลงถึง 28 เท่า ด้วยการทำ Compression แล้วค่อยทำ Encryption ให้กับข้อมูล Web Transaction ที่เกิดขึ้นโดยใช้ Integrated Accelerator for z Enterprise Data Compression มาช่วยในการบีบอัดข้อมูล

    • มีจำนวน Core สูงกว่า z14 ถึง 12% และรองรับหน่วยความจำสูงสุดได้มากขึ้นถึง 25%

    • เข้ารหัสข้อมูลในทุกๆ ส่วน โดยนำเทคโนโลยี IBM Data Privacy Passports เข้ามาใช้ทำให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมได้ว่าข้อมูลแต่ละชุดจะถูกจัดเก็บและแบ่งปันการใช้งานอย่างไร และสามารถทำการ Revoke การเข้าถึงข้อมูลได้ทันทีที่ต้องการ

    • รองรับการทำ Cloud-Native Development อย่างเต็มตัวสามารถใช้งานกับ Mission-Critical Workload ได้ และยังสามารถย้าย Workload ระหว่าง IBM z15 กับ Cloud ต่างๆ ได้อย่างอิสระ

    • Instant Recovery ความสามารถใหม่ที่จะมาช่วยลด Downtime ที่จะเกิดขึ้นกับระบบต่างๆ ที่ทำงานบน IBM z15 โดยจะเปิดให้การ Shutdown และ Restart บริการใดๆ ที่ทำงานบน IBM z15 นั้นสามารถเกิดขึ้นได้บนทรัพยากรอย่างเต็มพิกัด ทำให้มีความเร็วในการจัดการกับกระบวนการเหล่านี้สูงขึ้นนั่นเอง

    • มีระบบ Key Management ในตัวพร้อมใช้งานได้ทันที

    • รองรับการทำงานร่วมกับ IBM DS8900F ระบบ Enterprise Storage ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวมาได้

    สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดฉบับเต็ม สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IBM z15 ได้ที่ https://www.ibm.com/th-en/marketplace/z15

    ที่มา: https://newsroom.ibm.com/2019-09-12-IBM-Unveils-z15-With-Industry-First-Data-Privacy-Capabilities

    ]]>
    Thu, 26 Sep 2019 06:30:51 +0000
    <![CDATA[การเลือกซื้อ UPS]]> https://encom.co.th/blog/Upsbuy/
    หลักการทำงานของ UPS







    UPS จะแปลงพลังงานไฟฟ้า แบบ AC (กระแสไฟสลับที่จ่ายมาจากการไฟฟ้า) ทาง Input ซึ่งจะมีปัญหาทางไฟฟ้าให้เป็นแบบ DC (กระแสไฟตรง) ซึ่งจะปราศจากปัญหาทางไฟฟ้าต่างๆ เพื่อเก็บลง Battery ไว้ใช้สำรอง (Charger) และเมื่อระบบไฟ AC นั้น มีปัญหา UPS จะมีส่วนที่เรียกว่า Inverter ทำหน้าที่แปลงไฟฟ้าที่สะสมใน Battery นั้นกลับไปเป็น พลังงานไฟฟ้าแบบAC ที่ปราศจากปัญหา ทางไฟฟ้า เพื่อจ่ายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ ต่อเชื่อมอยู่ทางด้าน Output

    ในปัจจุบันนี้สามารถจำแนกเทคโนโลยีทาง UPS ออกเป็น 


    1 Off-Line (Standby) UPS


    สถานะมีไฟฟ้ามาปกติ 


    เมื่อมีปัญหาทางไฟฟ้า



    เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ต้นทุนของเครื่อง UPS ต่ำสุด และ ให้คุณภาพไฟฟ้าต่ำสุด เช่นเดียวกัน UPS แบบ Off-Line ระบบนี้มีความสามารถ เพียงแต่จ่ายกระแสสำรองให้อุปกรณ์เท่านั้นแต่จะไม่สามารถป้องกันมลภาวะทางไฟฟ้าได้


    2 On-Line Protection UPS

    สถานะมีไฟฟ้ามาปกติ

    เมื่อมีปัญหาทางไฟฟ้า


    เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ ต้นทุนของเครื่อง UPS ปานกลาง และ ให้คุณภาพไฟฟ้าปานกลาง เช่นเดียวกัน UPS แบบ On-Line Protection ระบบนี้มีความสามารถจ่ายกระแสสำรองให้อุปกรณ์และมีความสามารถป้องกันมลภาวะทางไฟฟ้าได้ระดับหนึ่ง


    3 Ture On-Line UPS

    สถานะมีไฟฟ้ามาปกติ

    สถานะไฟฟ้าดับ

    สถานะ Bypass

     

    เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ ต้นทุนของเครื่อง UPS สูงสุด และ ให้คุณภาพไฟฟ้าสูงสุด เช่นเดียวกัน


    เราควรจะเลือกซื้อ UPS แบบไหนให้ตรงกับการใช้งานมากที่สุด

    ส่วนมากหลายๆท่านจะเข้าใจกันว่าการเลือกซื้อ UPS นั้นจะพิจารณาเพียงแค่ ขนาด (VA) , ระยะเวลาสำรองไป , และราคา แต่จริงๆ แล้ว ยังมีอีกหลายอย่างที่จะนำมาพิจารณาในการเลือกซื้อ UPS ดังนี้ 


    1 ขนาดและการนำไปใช้งาน

    โดยปกติ เราจะดูที่ขนาดก่อนใช่ไหมครับว่าขนาดเท่าไรจึงจะเหมาะกับคอมของเรา ทีนี้มาดูให้มันลึกลงไปอีกในเรื่องเดียวกันนี้ โดยทั่วไปนั้นคอม 1 ชุด จะใช้ไฟฟ้าประมาณ 350 - 450 VA โดยวิธีการหาค่า VA ของอุปกรณ์คอมนั้นให้ทำดังนี้ครับ 


    ยกตัวอย่าง เครื่องคอม และจอ 17 นิ้ว จะใช้แรงดันไฟฟ้า 220 V และใช้กระไฟฟ้าที่ 1.5 A ดังนั้นจะมีขนาดคำนวนออกมา ให้เป็นกำลังหรือค่า VA คือ 220 x 1.5 = 330 VA ส่วนอุกรณ์ที่จะนำมาต่อพ่วงเข้าไป วิธีคิดก็เหมือนกันครับ โดยสามารถ ดูได้จากคู่มือของอุปกรณ์นั้นๆ แล้วก็นำมาคำนวนดู จากนั้นนำมารวมกัน ทีนี้เราก็จะได้ขนาดของ VA ที่เราจะใช้เพื่อที่จะได้เลือก UPS ให้ตรงกับการใช้งานแล้วล่ะ


    2 ระยะเวลาการสำรองไฟ [ Back Time ]

    หมายถึงระยะเวลาที่ UPS จะจ่ายกระแสไฟได้หลังจากที่เกิดไฟดับหรือเกินความสามารถที่ UPS จะปรับแรงดันไฟฟ้า UPS ก็จะจ่ายไฟฟ้าออกมาจากแบตเตอรี่ ซึ่งความสามารถในการจ่ายไฟด้วยแบตเตอรี่นั้นต้องดูที่ Output ในส่วนของ Voltage Blackup โดยทั่วไป Back Time จะมีความสัมพันธ์กับขนาดกำลังไฟฟ้าของ UPS และขนาดกำลังไฟฟ้าของอุปกรณ์ โดยปกติหลังจากเกิดไฟฟ้าดับ และ UPS เริ่มทำงาน เราจะใช้เวลาเพียงแค่บันทึกงานที่ค้างอยู่ และปิดเครื่องเท่านั้น ดังนั้น ระยะเวลาการสำรองไฟ อาจจะไม่จำเป็นมากนัก เช่นอาจจะนานอยู่ระหว่าง 10 - 20 นาที แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ไฟฟ้า และชนิดของแบตเตอรี่ด้วย ถ้าแบตเตอรี่เป็นแบบชนิด Hige-Rate จะสมารถสำรองไฟได้นานถึง 25 - 45 นาทีเลยทีเดียว


    3 ความสามารถในการปรับแรงดันไฟฟ้า

    ในข้อนี้ ให้ดูตรงส่วนของ Protection ว่าสามารถปรับแรงดันให้เราได้ในระดับไหน (จะบอกค่าเป็น%) ที่เหมาะสมที่สุด จะอยู่ที่ 20 %


    4 จำนวนปลั๊กไฟ

    คงจะไม่ใช่ทางเลือกที่สำคัญมากนัก แต่ก็ควรที่จะนำมาประกอบการตัดสินใจได้เหมือนกัน ตรงนี้ให้ดูตามความต้องการ


    5 ปลั๊กต่อสำหรับสายโทรศัพท์

    อันนี้จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อปกกันความเสียหายจากฟ้าผ่าได้ ถึงแม้จะได้ไม่ 100 % แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้กระแสไฟเหล่านั้น ไหลเข้าสู่เครื่องเราเต็มๆ ไม่ใช่เหรอครับ 


    6 ซอฟต์แวร์

    เป็นอีกทางเลือกหนึ่งครับ ที่จะนำมาประกอบการเสียตังค์ของเรา เพราะปัจจุบันมีหลายยี่ห้อที่นำโปรแกรมมาทำงานร่วมกับ UPS ยกตัวอย่างนะครับ ถ้าเกิดไฟดับในขณะที่คุณไม่ได้ทำงานอยู่ที่หน้าเครื่อง โปรแกรมดังกล่าวจะคอยตรวจสอบ และจะช่วยบันทึกข้อมูลสำคัญไว้ แล้วก็จัดการ Shutdown เครื่องของคุณก่อนที่แบตเตอรี่จะหมด

     

    ]]>
    Fri, 30 Aug 2019 02:22:28 +0000
    <![CDATA[วิธีการคำนวณหาขนาดของตู้ Rack เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ]]> https://encom.co.th/blog/Howtorack/


    ตู้ Rack server หรือ 19” Rack ปัจจุบันมีความสำคัญและมีความจำเป็นต่อระบบ IT ในด้านของการจัดเก็บอุปกรณ์ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและง่ายต่อการจัดการของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลระบบ การเลือกอุปกรณ์ Rack Server จึงจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน


    วิธีการเลือกรุ่น Rack Server ต้องคำนึงถึงรายละเอียดดังต่อไปนี้

    1. ความกว้าง (width) ตามมาตรฐานแล้ว ความกว้างของตู้ Rack server 19”  นับจากขอบด้านนอกจากซ้ายไปขวามีความกว้างเท่ากับ 60 เซนติเมตร ส่วนเนื้อที่การใช้งานได้จริงนับจากขอบเสาที่สามารถยึดอุปกรณ์ได้ความกว้างเท่ากับ 45.15 เซนติเมตร จากระยะดังกล่าวจึงทำให้ท่านสามารถตรวจสอบอุปกรณ์ของท่านว่าสามารถติดตั้งในตู้ Rack Server 19” ได้หรือไม่


    2. ความลึก (Depth) ความลึกของตู้  Rack server 19” มีดังต่อไปนี้ 
        - รุ่นติดผนัง Wall Mount Rack   มีความลึกที่ 40cm., 50cm. และ 60cm.
        - รุ่นตั้งพื้น Close Rack มีความลึกที่ 60cm.,80cm.,90cm.,100cm. และ 110cm.

    3. ความสูง (Height)  หน่วยความสูง ของตู้  Rack server 19” เรียกว่า U  1U = 4.45cm. หรือ 1.75 นิ้ว  
        - รุ่นติดผนัง Wall Mount Rack มีความสูงที่ 6U,9U และ 12U 
        - รุ่นตั้งพื้น Close Rack  มีความสูงที่ 15U,27U,36U,39U,42U และ 45U

    ซึ่งท่านสามารถคำนวณความลึกของอุปกรณ์ก่อนเลือกความลึกของตู้ Rack server 19” ทั้งนี้ควรเผื่อระยะในการติดตั้งด้านหลังประมาณ 10-15 cm. ซึ่งท่านจะได้ระยะความลึกที่สามารถใช้งานได้

    วิธีการคำนวณหาขนาดของตู้ Rack เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน

    ตัวอย่างการคำนวณหาขนาดตู้ Rack โดยอุปกรณ์ที่ต้องการใส่เข้าไปในตู้มีดังต่อไปนี้

    • จอมอนิเตอร์ 17” (ขนาดกว้าง 40 x ลึก 25 x สูง 40 ซม.)

    • Server  แบบ Rack (ขนาดกว้าง 45 x ลึก 65 x สูง 20 ซม.) 

    • Swith Hub (ขนาดกว้าง 45 x ลึก 30 x สูง 10 ซม.)

    • Mouse , Keybord (ขนาดกว้าง 45 x ลึก 20 x สูง 15 ซม.)

    ก่อนอื่นต้องคำนวณหาขนาดความสูงรวม ของอุปกรณ์ทั้งหมดบวกกับระยะห่างในการติดตั้งแต่ละชั้น (ช่องไฟ) ดังนี้ 

    คำนวณความสูง  : จอมอนิเตอร์(40 ซม.)+ Server(20 ซม.)+Swith Hub(10 ซม.)+Mouse,Keybord(15 ซม.) และให้บวกระยะห่างแต่ละชั้นประมาณ 20 ซม. จะได้ความสูงโดยประมาณเท่า 105 ซม.

    คำนวณความลึก  : นำความลึกของอุปกรณ์ที่มีความลึกมากที่สุด + เผื่อระยะในร้อยสายอุปกรณ์ 15 ซม. ในตัวอย่างนี้ อุปกรณ์ที่มีความลึกมากที่สุดคือ  Server จะมีความลึกอยู่ที่ 65 ซม. + เผื่อระยะในร้อยสายอุปกรณ์ 15 ซม. ดังนั้นความลึกที่จะใช้งานจริงจะอยู่ที่ 80 ซม.

    คำนวณหน้ากว้าง  : หน้ากว้างของอุปกรณ์ต้องไม่เกิน 45.15 ซม. 
     

    จากการคำนวณข้างต้นสรุปได้ว่า ควรจะใช้ตู้รุ่นที่มีขนาดความสูงไม่ต่ำกว่า 105 ซม. และมีขนาดความลึกไม่น้อยกว่า 80 ซม. ซึ่งตรงกับรุ่น CR-6827 ที่มีขนาดหน้ากว้าง 60 x ลึก 80 x สูง 139 ซม. 


     

     

    ]]>
    Thu, 29 Aug 2019 10:06:57 +0000
    <![CDATA[พัดลมมีสายไฟยาวกี่เมตร]]> https://encom.co.th/blog/fan3/ สำหรับพัดลมตู้ Rack Server นั้นจะมีทั้งหมด 3 ขนาด โดยแต่ละขนาดจะมีความยาวของสายไฟดังนี้

    1.  ขนาด 1X4" (พัดลม 1 ตัว) สายไฟยาว 1.5 เมตร พร้อมปลั๊ก สามารถติดตั้งได้ทั้งตู้ Wall Rack และตู้ Close Rack 

    2.  ขนาด 2X4" (พัดลม 2 ตัวติดกัน) สายไฟยาว 1.5 เมตร พร้อมปลั๊ก สามารถติดตั้งได้ทั้งตู้ Wall Rack และตู้ Close Rack 

    3.  ขนาด 3X4" (พัดลม 3 ตัวติดกัน) สายไฟยาว 1.5 เมตร พร้อมปลั๊ก สามารถติดตั้งได้เฉพาะตู้ Close Rack เท่านั้น

    ]]>
    Fri, 23 Aug 2019 09:35:04 +0000
    <![CDATA[พัดลมใช้ไฟเท่าไหร่ ]]> https://encom.co.th/blog/fan2/ สำหรับพัดลมระบายอากาศตู้ Rack Server นั้น จะใช้แรงดันไฟฟ้าอยู่ที่ Volt 220/240 VAC 50/60 HZ หรือ 48VDC. มีขนาดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของใบพัดอยู่ที่ 4 นิ้ว ความเร็ว 2,550 รอบ/นาที อัตราการไหลของอากาศ 2.3 ลูกบาศก์เมตร/นาที ทำงานในสภาวะปกติที่อุณหภูมิ +25 ถึง +72 องศาเซลเซียส และโครงผลิตจากอลูมิเนียม มีตระแกรงผลิตจากเหล็กและชุบโครมเมียมมาตรฐานความปลอดภัย UL/CSA

    ]]>
    Fri, 23 Aug 2019 09:33:38 +0000
    <![CDATA[ใบพัดลมมีขนาดกี่นิ้ว]]> https://encom.co.th/blog/fan1/ สำหรับพัดลมระบายอากาศตู้ Rack Server นั้น จะมีขนาดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของใบพัดอยู่ที่ 4 นิ้ว ความเร็ว 2,550 รอบ/นาที แรงดันไฟฟ้า Volt 220/240 VAC 50/60 HZ หรือ 48VDC. อัตราการไหลของอากาศ 2.3 ลูกบาศก์เมตร/นาที ทำงานในสภาวะปกติที่อุณหภูมิ +25 ถึง +72 องศาเซลเซียส และโครงผลิตจากอลูมิเนียม มีตระแกรงผลิตจากเหล็กและชุบโครมเมียมมาตรฐานความปลอดภัย UL/CSA

    ]]>
    Fri, 23 Aug 2019 09:30:16 +0000
    <![CDATA[ตู้ Rack มีล้อไหม]]> https://encom.co.th/blog/roll/ ตู้ Rack Server นั้นจะมี 2 แบบ คือ แบบแขวนผนังและแบบตั้งพื้นมีล้อ รายละเอียดดังนี้

    - ตู้ Wall Rack เป็นตู้ขนาดเล็ก เหมาะสำหรับจัดเก็บอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา และต้องการประหยัดพื้นที่ใช้งานจึงออกแบบมาเพื่อแขวนผนังโดยเฉพาะ จึงไม่มีล้อ

    - ตู้ Close Rack เป็นตู้ขนาดใหญ่แบบปิด เหมาะสำหรับติดตั้งอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก ต้องการจัดเก็บอุปกรณ์ให้ปลอดภัยและเป็นระเบียบ จึงออกแบบให้มีประตูพร้อมกุญแจล็อคทั้งประตูหน้า ประตูหลัง และฝาข้าง อีกทั้งมีล้อเพื่อสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายและติดตั้งอุปกรณ์ โดยจะมีทั้งหมด 4 ล้อ ทําจาก Nylon Six สีขาว สามารถหมุนได้ 360 องศา และรับนํ้าหนักได้ล้อละ 100 กิโลกรัม 


    - ตู้ Open Rack เป็นตู้ขนาดใหญ่แบบเปิด เหมาะสำหรับติดตั้งอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก และต้องการระบายความร้อนของอุปกรณ์ได้ดี จึงออกแบบให้ไม่มีประตูและฝาข้าง เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกและมีล้อเพื่อสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายและติดตั้งอุปกรณ์ โดยจะมีทั้งหมด 4 ล้อ ทําจาก Nylon Six สีขาว สามารถหมุนได้ 360 องศา และรับนํ้าหนักได้ล้อละ 100 กิโลกรัม

    ]]>
    Thu, 15 Aug 2019 09:48:07 +0000
    <![CDATA[ตู้ Rack ติดตั้งพัดลมได้กี่ตัว]]> https://encom.co.th/blog/fan/ ตู้ Rack Server สามารถติดตั้งพัดลมระบายอากาศได้ดังนี้


    1. สำหรับรุ่นติดผนัง (Wall Rack) สามารถติดตั้งพัดลมระบายอากาศได้ตั้งแต่ 1-2 ตัว ( 1x4”,2x4” )

     

    2. สำหรับรุ่นตั้งพื้น (Close Rack) สามารถติดตั้งพัดลมระบายอากาศได้ตั้งแต่ 1-6 ตัว ( 1x4”,2x4”,3x4” ) หรือสามารถเปลี่ยนเป็นช่องเข้าสายได้ และออกแบบเป็นหลังคายกสูงได้( กรณีสั่งทําพิเศษ )

     

    ]]>
    Thu, 15 Aug 2019 09:47:32 +0000
    <![CDATA[ตูู้ Rack มีกี่แบบ]]> https://encom.co.th/blog/type/ ตู้ Rack มีทั้งหมด 3 แบบ


    1. Wall Rack (แขวนผนัง)
    ตู้ Wall Mount Rack 19” ออกแบบและผลิตแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือสว่นหน้า กลางและหลัง สะดวกต่อการบํารุงรักษาและเดินสายอุปกรณ์


    2. Close Rack (ตั้งพื้นแบบปิด) ตู้ Close Rack 19” ออกแบบและผลิตระบบ Knock down system สะดวกและง่ายสำหรับประกอบและเคลื่อนย้าย เพียบพร้อมด้วยความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการใช้งาน โดยมีกุญแจล็อก ประตูด้านหน้า ,ด้านข้าง และด้านหลัง อีกทั้งยังมีล้อ เพิ่มความสะดวกในการเคลื่อนย้าย 4 ล้อ และหมุนได้ 360 องศา รับน้ำหนักได้ถึงล้อละ 100 กิโลกรัม ซึ่งได้รับการออกแบบโดยวิศวกรผู้มีความรู้และความชำนาญ


    3. Open Rack (ตั้งพื้นแบบเปิด) ตู้ Open Rack 19" ออกและผลิตระบบ Knock Down System สะดวกและง่ายสําหรับประกอบและเคลื่อนย้าย โดยตู้ Open Rack เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการระบายอากาศได้ดีเป็นพิเศษ 

    ]]>
    Thu, 15 Aug 2019 09:42:13 +0000
    <![CDATA[ตู้ Rack มีกี่สี]]> https://encom.co.th/blog/two/ สีมาตรฐานของตู้ Rack Server นั้น จะมี 2 สี และ 2 แบบ โดย


    ตู้ Wall Mount Rack 19" และตู้ Close Rack 19"

    จะเป็นสีทูโทน ( สีครีมขาวและสีเทาดํา ) แบบ Powder Epoxy โดยใช้ระบบ Electro - Static เพื่อความแข็งแรง ทนทาน ป้องกันสนิมได้ 100%


    ตู้ Open Rack 19" 

    จะเป็นสีครีมขาว แบบ Powder Epoxy โดยใช้ระบบ Electro - Static เพื่อความแข็งแรง ทนทาน ป้องกันสนิมได้ 100%

    ***กรณีลูกค้าต้องการตู้สีดำ สามารถแจ้งกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายได้ค่ะ โดยตู้สีดำส่วนใหญ่จะเป็นสินค้ารุ่นสั่งผลิต รอสินค้า 30 วันทำการ นะคะ ***


    ]]>
    Thu, 15 Aug 2019 09:39:16 +0000
    <![CDATA[U ของ ตู้ Rack 19 นิ้ว คืออะไร?]]> https://encom.co.th/blog/rack19/ Construction plans with yellow helmet and drawing tools on bluep Free Photo

    Server Rack ในแต่ละตัวจะมีขนาด U ไม่เท่ากัน และเป็นข้อมูลเฉพาะซึ่งต้องดูจากคุณสมบัติของ Server Rack ในแต่ละเครื่อง เช่น 
    - Chassis : Intel 1U Rack ซึ่งหมายความว่า Server ตัวนี้ ใช้พี้นที่ 1U ในการติดตั้ง ซึ่งค่า U จะมีค่าเท่ากับ 4.445 เซนติเมตร หรือ 1.75 นิ้ว 
    - Server Case ขนาด 5U สำหรับ Entry level ซึ่งหมายความว่า Server ตัวนี้จะใช้พี้นที่ 5U ในการติดตั้ง 

    ศัพท์เฉพาะของขนาด Rack Server คือ Dimension โดยจะแบ่งเป็นค่า กว้างxลึกxสูง [W x D x H]


    W คือ
    หน้ากว้างของตู้ Rack Server โดยปกติแล้วตู้ Rack Server นั้นจะมีขนาดหน้ากว้างอยู่ 2 ขนาดด้วยกัน คือ ขนาดหน้ากว้าง 60 เซนติเมตร และ 80 เซนติเมตร แต่สำหรับหน้ากว้างของเสาที่ใช้สำหรับยึดอุปกรณ์นั้นจะมีขนาดมาตรฐานเท่ากันหมด คือ 19 นิ้ว ซึ่งผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะละไว้ในฐานที่เข้าใจโดยเรียก Rack Server นั้นว่า ตู้ Rack 19"


    D คือ ความลึกของตู้ ส่วนใหญ่จะไม่บอกในใบปลิวหรือใน Overall แต่จะบอกเป็น Specification เป็นค่าที่เราต้องสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าเลือกขนาดความลึกผิดอาจทำให้ใส่อุปกรณ์ได้ไม่พอดีกับตัวตู้ เพราะความลึกของตู้แร็คมีหลายขนาด ที่เห็นกันทั่วไปจะมีขนาดความลึกตั้งแต่ 60 - 110 ซม. โดยการเลือกใช้งานตู้ Rack Server เพื่อให้มีความลึกพอดีกับอุปกรณ์ของเรา เราจะต้องมีการประมาณพื้นที่ร้อยสายด้านหลังเผื่อไว้ 10 - 15 เซนติเมตร เช่น อุปกรณ์ Server ของเรามีขนาดความลึกอยู่ที่ 65 เซนติเมตร + พื้นที่ร้อยสายด้านหลังที่เผื่อไว้ 15 เซนติเมตร = ความลึกที่จะต้องใช้งานจริงจะอยู่ที่ 80 เซนติเมตร ดังนั้นเราจะต้องเลือกใช้งานตู้ Rack Server ที่มีขนาดความลึก 80 เซนติเมตร


    H คือ ขนาดความสูงของเสาที่ใช้สำหรับยึดอุปกรณ์หรือที่เราเรียกกันว่า U โดยที่ 1 U = 4.445 เซนติเมตร หรือ 1.75 นิ้ว 

    ]]>
    Thu, 15 Aug 2019 09:32:02 +0000